อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 809 นี่แหละชีวิต
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 809 นี่แหละชีวิต
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดถึงอู๋ไห่อยู่นั้น เขากำลังถูกเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่พูดเป็นต่อยหอยรุมล้อมอยู่
“คุณลุงเป็นจิตรกรดีมากเลยเหรอ?”
“ตาลุงหนวด ดูนี่สิ ดูนี่สิ”
“วันนี้แม่ทำอาหารด้วยล่ะ เธออยากเลี้ยงขนมแป้งทอดลุง ขนมแป้งทอดของแม่อร่อยมากเลย”
กลุ่มเด็กที่มีอายุราวๆสี่ถึงห้าปีกำลังรุมล้อมอู๋ไห่เอาไว้ จากที่พวกเขาพูดมา เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาค่อนข้างสนิทกับอู๋ไห่มากทีเดียว แถมเด็กคนหนึ่งในกลุ่มยังกล้าพอที่จะดึงหนวดของอู๋ไห่อีกต่างหากแน่ะ
นับตั้งแต่มีหญิงสาวแปลกหน้าบอกว่าหนวดเคราของอู๋ไห่ให้ความรู้สึกปลอดภัย เขาก็ดูแลหนวดเคราตัวเองเป็นอย่างดี แม้ว่าหญิงสาวผู้นั้นจะเลิกมาที่ร้านหยวนโจวด้วยเหตุผลกลใดก็สุดรู้แล้วก็ตามที
เจิ้งเจียเว่ยเคยพยายามที่จะหาสาเหตุมาแล้ว มีข่าวลือว่าเธอน่าจะย้ายไปที่อื่นแล้วไม่ก็อาจจะมีเหตุผลอื่นก็ได้ มีลูกค้าอีกมากมายในร้านหยวนโจวทว่ากลับมีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป แถมบางคนได้เจอกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
อู๋ไห่รู้สึกแปลกๆเช่นกัน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้สนใจคำประเมินของคนแปลกหน้ามากขนาดนั้นในเมื่อเขาหาใช่คนที่สนใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของตนเองเลย
“โอเค โอเค ไปเล่นที่อื่นไป ฉันจะเริ่มวาดภาพแล้ว” อู๋ไห่ไล่เด็กๆไป
พวกเด็กตามป่าตามเขาค่อนข้างไร้ระเบียบ สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากเสื้อผ้าที่เปื้อนดินโคลน เมื่อเด็กๆได้ยินเข้าต่างก็วิ่งไปด้านข้างแล้วเริ่มวาดภาพเช่นเดียวกัน โดยอู๋ไห่เป็นผู้จัดหากระดาษวาดเขียนและพู่กันมาให้พวกเขาใช้กัน
หรือจะพูดให้ถูกก็คือกระดาษและพู่กันพวกนี้เป็นของที่เจิ้งเจียเว่ยนำมาที่นี่หลังจากอู๋ไห่บอกให้เขาซื้อของพวกนี้มาจากเมืองที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร
ด้วยเหตุผลกลใดก็สุดรู้ บางทีสิ่งนี้อาจจะหยั่งรากลึกอยู่ในเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ก็เป็นได้ เด็กจึงดูเหมือนจะชอบการวาดภาพไปเสียหมดเลย
ก่อนหน้านี้อู๋ไห่เคยเห็นภาพถ่ายหมู่บ้านบนเขาที่สวยมากซึ่งช่วยกระตุ้นให้เขาอยากวาดภาพหมู่บ้านแห่งนี้เป็นอันมาก
แล้วเขาก็ให้เจิ้งเจียเว่ยวางแผนการเดินทางมาวาดภาพที่หมู่บ้านแห่งนี้ให้เขา แผนในตอนแรกของเขาก็คือพักอยู่ที่นี่อาทิตย์หนึ่ง ถึงอย่างไรสำหรับอู๋ไห่แล้วชีวิตที่ปราศจากร้านหยวนโจวช่างแสนทรมานเหลือเกิน
แต่ผ่านไปสองสัปดาห์แล้วอู๋ไห่ก็ยังอยู่ในหมู่บ้าน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นค่อนข้างสลับซับซ้อนเชียวล่ะ
“อาไห่ ฉันซื้อของที่นายอยากกินมาด้วยล่ะ” เจิ้งเจียเว่ยมาพร้อมกับถุงใบหนึ่ง
“ทำไมนายถึงได้ช้าอย่างนี้เล่า?” อู๋ไห่บ่นพลางรับถุงมา ถุงเต็มไปด้วยเนื้ออบแห้งและลูกอมรสผลไม้รวมกว่าครึ่งถุง ทั้งสองอย่างนี้เป็นอาหารที่ช่วยให้อู๋ไห่อยู่รอดได้ในหมู่บ้านบนเขา
“รถประจำทางมาช้าไปชั่วโมงน่ะสิ” เจิ้งเจียเว่ยอธิบายแล้วถามว่า “นายได้แรงบันดาลใจใหม่ๆแล้วหรือยังล่ะ?”
“น่าจะนะ ใครจะรู้ล่ะ ฉันคงจะได้รู้หลังจากเริ่มวาดภาพนี่แหละ” อู๋ไห่บอกให้เจิ้งเจียเว่ยหลีกทาง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากโดนรบกวนตอนที่กำลังวาดภาพ
ในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อู๋ไห่วาดภาพเสร็จไปห้ารูปแล้ว เขามักจะใช้เวลาไปกว่าครึ่งค่อนปีกับการวาดภาพพวกนี้มากทีเดียว
เจิ้งเจียเว่ยที่อยู่ทางด้านข้างกำลังวิธีวาดภาพให้แก่เด็กๆบนเขา
ในฐานที่เป็นผู้จัดการของอู๋ไห่ เจิ้งเจียเว่ยยังรู้เรื่องเกี่ยวกับภาพเขียนด้วย ถึงอย่างไรเมื่อคุณต้องอยู่เคียงข้างคนผู้หนึ่งมานาน คุณก็จะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างมาจากคนผู้นั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรเสียเจิ้งเจียเว่ยก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินค่างานศิลป์เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่ตัดสินราคาภาพเขียนของอู๋ไห่แต่ละรูปอีกด้วย
แม้แต่เจียงฉางซี่กับหลิงหงต่างก็ยอมรับว่าเจิ้งเจียเว่ยเป็นผู้จัดการที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
“อาไห่เป็นคนที่พูดจาหยาบคายแต่กลับมีหัวใจอันอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่าเขาอยากสอนเด็กๆบนเขาวาดภาพ นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาบอกให้ฉันซื้อของที่จำเป็นต่อเด็กๆไปด้วย แต่เขากลับเอาแต่ยืนกรานว่าเขาแค่อยากให้เด็กๆออกไปให้พ้น” เจิ้งเจียเว่ยพึมพำพลางเหลือบมองภาพเขียนที่อู๋ไห่กำลังวาด
หมู่บ้านบนเขามีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ในภาพเขียนของอู๋ไห่สามารถเห็นพืชพรรณเขียวชอุ่ม ขุนเขาเขียวขจีและน้ำใสแจ๋ว แถมยังสามารถมองเห็นคนเลี้ยงแกะที่สนใจแต่ฝูงแกะเหล่านั้นจากระยะไกล
แน่นอนว่าย่อมสามารถพบเห็นพื้นที่ซึ่งแหมาะแก่การเพาะปลูกในหุบเขา หมู่บ้านบนเขาแห่งนี้นับว่ามีทำเลที่ตั้งที่ดีเนื่องจากดินที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เพียงพอที่จะทำให้เกิดทุ่งกว้างอย่างไม่เป็นระเบียบไปทั่วทั้งหุบเขา
ปัจจุบันนี้สามารถเห็นเกษตรกรชราทำงานอยู่ในท้องทุ่งทั้งหลายได้ หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากปัญหาด้านการคมนาคมขนส่ง คนรุ่นใหม่ของหมู่บ้านส่วนใหญ่จึงต้องออกไปที่อื่นเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น มีเพียงบิดามารดาผู้ชราและเด็กรุ่นหลังที่กำลังจะออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน
ดังนั้นจึงมีเพียงทุ่งกว้างครึ่งบนเท่านั้นที่ยังคงเขียวขจีในขณะที่ครึ่งล่างกลับถูกทอดทิ้งไปเสียแล้ว
อู๋ไห่กำลังวาดแรงบันดาลใจของตัวเองจากทิวทัศน์ เขาเริ่มวาดภาพโดยคงลักษณะเดิมเอาไว้และเป็นเช่นนี้ไปตลอดสามชั่วโมง
เวลาที่เขาใช้วาดภาพเพียงพอให้เด็กๆกลับไปทานอาหารแล้วกลับมาที่นี่ ส่วนเจิ้งเจียเว่ยนั้น เขาไปบ้านที่เชิญอู๋ไห่ไปทานอาหารเพื่ออธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วค่อยกลับไปหาอู๋ไห่พร้อมขนมแป้งทอด
หลังจากนั้นสามชั่วโมง อู๋ไห่รู้สึกเหนื่อยมากแล้วจึงนั่งลงกับพื้นด้วยความอ่อนเพลีย ภาพเขียนของเขาเสร็จสมบูรณ์ในคราวเดียว
เจิ้งเจียเว่ยเดินเอาน้ำอุ่นมาให้อู๋ไห่ แต่เมื่อเขาทอดสายตาไปยังภาพเขียนที่เพิ่งจะวาดเสร็จใหม่ๆ เขาก็ถึงกับเหม่อลอยไปเลยทีเดียว
ภาพเขียนช่างแสนงดงามตระการตาเหลือเกิน
สิ่งที่ดึงดูดเจิ้งเจียเว่ยมากที่สุดเมื่อตอนที่เขาทอดสายตาไปยังภาพเขียนในทีแรกก็คือทุ่งกว้าง ท้องฟ้าอันแสนสดใสและทิวทัศน์งดงามตระการตา ทุกเส้นสายที่อู๋ไห่วาดล้วนแล้วแต่ลื่นไหลราวกับสายลมพัดผ่านท้องทุ่งทำให้เกิดคลื่นสีเขียวที่ผสมกลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์แบบ
ยิ่งเขามองภาพวาดมากเท่าไหร่ก็รู้สึกว่ามันสวยยิ่งขึ้นมากเท่านั้น หาใช่แค่ทิวทัศน์ที่งดงามตระการตาเท่านั้น แต่ยังมีเกษตรกรชราอยู่บนท้องทุ่งที่แสนงดงามตระการตาอยู่ด้วย สีทึมๆที่นำมาใช้กับเสื้อผ้าธรรมดาๆและน้ำแร่ที่กำลังไหลรินลงมาจากหุบเขาทำให้รู้สึกราวกับได้ยินเสียงน้ำแร่กำลังไหลรินออกมาจากภาพเขียนก็ไม่ปาน
นี่แหละคือความงดงามของงานหนักล่ะ
เจิ้งเจียเว่ยเป็นผู้จัดการของอู๋ไห่มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว เขาได้เข้าร่วมงานจัดแสดงงานศิลป์มาหลายต่อหลายครั้งแถมยังเคยพบเห็นบุคคลและภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมาแล้ว แต่ภาพเขียนที่งดงามตระการตาเสียขนาดนี้กลับหาได้ยากยิ่งนัก
“ภาพเขียนชิ้นนี้มีชื่อว่าอะไรงั้นเหรอ?” เจิ้งเจียเว่ยถามขึ้นมาโดยหลงลืมไปว่าเขามาตรงนี้เพื่อเอานำมาให้อู๋ไห่
“นี่แหละชีวิต” อู๋ไห่ตอบอย่างเหนื่อยล้าพลางทรุดตัวลงกับรากไม้
ชื่อประหลาดชะมัดเลย เขาพยายามที่จะบอกว่าการดำรงชีวิตอยู่ในสถานที่อันงดงามตระการตาเช่นนั้นเป็นวิถีชีวิตที่ยอดเยี่ยมที่สุดงั้นหรือ?
ตามความเข้าใจของเจิ้งเจียเว่ยที่มีต่ออู๋ไห่ย่อมไม่ใช่แบบนั้นเป็นแน่ เมื่อเทียบกับทิวทัศน์อันงดงามตระการตาแล้ว อู๋ไห่กลับชื่นชอบอาหารรสเลิศมากกว่า ทางเดียวก็คือลักพาตัวหยวนโจวมาที่นี่เสียเลย
เจิ้งเจียเว่ยวิเคราะห์ภาพเบียนต่อไปแล้วจู่ๆเขาก็รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่เมื่อสังเกตพบลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของภาพเขียน
“มันไม่ใช่งานหนักหรอก แต่กลับเป็นงานที่เหนื่อยต่างหากเล่า” เจิ้งเจียเว่ยกล่าว
ภาพเขียนมากมายที่แสดงลักษณะท่าทางของเหล่าเกษตรกรจะอธิบายว่าเกษตรกรต่างกรำงานหนัก ถึงแม้ว่างานหนักและงานเหนื่อยจะต่างกันแค่พยางค์เดียว แต่ความหมายที่อยู่เบื้องหลังกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ถ้าลองสังเกตภาพเขียนชิ้นนี้ดีๆก็จะพบว่าเกษตรกรกำลังทำงานที่เหนื่อยมากต่างหากเล่า อู๋ไห่ใส่รายละเอียดของภาพเขียนได้ยอดเยี่ยมมาก ผมของเกษตรกรยุ่งเหยิงราวกับท้องทุ่งที่เหี่ยวเฉาขณะที่สีหน้ากลับดำทะมึนราวกับกำลังแบกรับย้ำหนักของเขาทั้งลูกเอาไว้บนหลัง อันที่จริงแล้วเสื้อผ้าของเขาช่างแสนธรรมดา คุณภาพต่ำแถมยังเก่าคร่ำคร่าอีกต่างหาก และถ้ามองไปทางเกษตรกรชราเพียงคนเดียวก็คงคิดแค่จะบอกว่า “ใครจะไปรู้กันล่ะว่าการตรากตรำทำงานเช่นนั้นจะกลายเป็นเมล็ดข้าวทุกเม็ดในถ้วยใบนี้เสียได้?”
ชายชรากำลังทำงานที่เหนื่อยอยู่ในทำเลที่ตั้งที่งดงามตระการเป็นพิเศษ ทั้งสองอย่างต่างตรงข้ามกันแต่อู๋ไห่กลับรวมเข้าด้วยกันในภาพเขียนชิ้นเดียวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่วิเคราะห์ภาพเขียนให้ดีก็คงไม่ทันสังเกตเห็นความหมายที่แท้จริงของมันเป็นแน่
ชีวิตคืออะไรกันเล่า? ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะงดงามตระการตาสักเพียงใดก็ไม่สามารถแทนที่อาหารได้หรอก นั่นแหละคือชีวิตล่ะ สภาพแวดล้อมอาจจะงดงามตระการตาสำหรับนักท่องเที่ยว แต่สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในหุบเขาแล้วผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์กลับมีความสำคัญยิ่งกว่าสภาพแวดล้อมอันงดงามตระการตาเสียอีก
“การชื่นชมธรรมชาติก็เป็นแค่คำปลอบใจชาวบ้านบนเขาไปอย่างนั้นเอง” เจิ้งเจียเว่ยรำพึงออกมา จากนั้นเขาก็ประเมินว่า “อาไห่ นี่เป็นภาพเขียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดนับตั้งแต่นายมาที่นี่เลยเชียวล่ะ”
“พูดให้ถูกก็คือกว่า 20 ปีในอาชีพจิตรกรของนาย นี่เป็นภาพเขียนชิ้นเอกของนายเลยก็ว่าได้” ตามความเห็นอย่างเป็นมืออาชีพของเจิ้งเจียเว่ย มูลค่าของภาพเขียนชิ้นนี้ย่อมไม่ด้อยไปกว่าภาพคนที่เดินผ่านร้านอาหารเล็กๆเลย ควรรู้ว่าภาพเขียนจะถูกพวกเศรษฐีเสนอราคาเอาไว้แพงลิบลิ่วทั้งยังมีบันทึกการตั้งราคาใหม่ของภาพเขียนสมัยใหม่ในประเทศขึ้นมาด้วย
แน่นอนว่าผู้คนที่เดินผ่านร้านอาหารเล็กๆก็ยังแขวนอยู่ในร้านหยวนโจว