อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 811 สลักชื่อ
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 811 สลักชื่อ
ท่ามกลางผู้คนที่กำลังขึ้นไปชั้นสอง เฉินเว่ยวิ่งเร็วที่สุด เขามาถึงชั้นล่างของผับในปราดเดียวก่อนที่จะเริ่มปีนบันไดขึ้นมา ตอนที่ปีนบันไดเขาก็ก้าวข้ามสามขั้นในรวดเดียว
“เจ้าหมอนี่เร็วเกินไปแล้ว เขากระโดดเป็นกระต่ายเลยแฮะ” เมื่อฟางเหิง เจียงฉางซี่และญินยามาถึง พวกเขาก็เห็นแค่แผ่นหลังของเฉินเว่ยที่กำลังพรวดพราดขึ้นบันไดไปแล้ว
ใช่แล้วล่ะ ฟางเหิงเพียงแต่ค่อยๆเดินตามเฉินเว่ยไป แต่เมื่อตอนที่เขามาถึงบันได เฉินเว่ยก็มาถึงชั้นบนแล้ว
สิ่งแรกที่เฉินเว่ยเห็นเมื่อมาถึงก็คือเซินหมินที่กำลังยืนอยู่ข้างบาร์ เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มของเธอดูเอาจริงเอาจังพร้อมปากที่กำลังพร่ำบ่นอยู่
“สาวน้อย มา มา ขอเบียร์ให้ฉันหน่อยสิ” เฉินเว่ยนั่งลงแล้วกล่าวด้วยความฉุนเฉียว
“สวัสดีค่ะพี่เฉิน แต่ละท่านจำกัดแค่ห้าแก้วแล้วจะสั่งอีกแก้วได้หลังจากดื่มแก้วแรกหมดเท่านั้นนะคะ” เซินหมินกล่าว
“เถ้าแก่บอกว่านี่จะช่วยรักษารสชาติของเบียร์เอาไว้ได้เนื่องจากพวกเรากำลังจำหน่ายเบียร์สดอยู่ค่ะ” เซินหมินอธิบายแล้วชะงักไปเป็นครั้งคราวเนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอต้องให้คำอธิบายเช่นนั้น
“โอ้ ใช่แล้วล่ะ ราคาแก้วละ 302 หยวนนะคะ ชำระเงินตอนที่สั่งได้เลยค่ะ” เซินหมินพูดต่อ
“อะไรนะ? เธอจำกัดจำนวนเบียร์ด้วยงั้นเหรอ?” เฉินเว่ยโอดครวญ นี่เป็นเหตุการณ์ตอนที่ฟางเหิงกับคนอื่นๆเพิ่งจะมาถึงนั่นเอง
“เฉินเว่ย นายลืมไปแล้วเหรอว่านี่คือร้านหยวนโจวน่ะ? ถ้าจะจำกัดจำนวนก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย” ฟางเหิงกล่าว
“แต่เบียร์มันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่านี่นา บางทีพวกเรายังใช้ดับกระหายได้อีกต่างหาก แล้วจะจำกัดจำนวนไปเพื่ออะไรกันเล่า?” เฉินเว่ยไม่เข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนั้นเอาเสียเลย
“พี่เฉิน นี่เป็นกฎของเรานะคะ” เซินหมินอธิบาย
“แหม ฉันก็นึกว่าจะสามารถดื่มให้เต็มที่เสียอีก” เฉินเว่ยบ่นพึมพำด้วยความเจ็บปวด
“ฮ่าฮ่า จำกัดให้คนละกี่แก้วงั้นหรือ?” ฟางเหิงหัวเราะขึ้นมาก่อนที่จะถามเซินหมิน
“คนละห้าแก้วค่ะ แถมแก้วยังใหญ่มากด้วยล่ะ” เซินหมินรีบโชว์แก้วให้ทุกคนเห็นเนื่องจากเธอเกรงว่าฟางเหิงจะรู้สึกไม่พอใจ
“ไม่เลวเลยนี่นา แก้วขนาดนี้พอๆกับขวดใบใหญ่เลยล่ะ” ญินยากล่าว
“ใช่ค่ะ เถ้าแก่บอกว่าแก้วนึงบรรจุเบียร์ได้มากกว่าขวดใบใหญ่ๆเสียอีกนะคะ” เซินหมินพยักหน้าซ้ำๆ
“แก้วใบนี้เล็กจัง ฉันสูดหายใจเฮือกเดียวก็หมดแล้วล่ะ” เฉินเว่ยก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่พอใจกับขนาดแก้วเอาเสียเลย
ส่วนคนที่สามารถดื่มได้เยอะ เบียร์ก็เหมือนกับของว่างแถมยังไม่ทำให้พวกเขาเมาได้เลย
“นายพูดถูกเผง แก้วขนาดพอๆกับขวดใบใหญ่ๆเลยล่ะ” นักเขียนนิยายกล่าวพลางนั่งลงอย่างใจเย็น เขามาถึงเป็นคนล่าสุด
“เป็นแบบนี้ไม่ดีแน่ ฉันต้องคุยกับเถ้าแก่หยวนสักหน่อยแล้ว” เฉินเว่ยทนนั่งไม่ไหวอีกต่อไปแล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง
เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามที่จะให้หยวนโจวยกเว้นกฎเสียให้ได้
“เธอคิดว่าจะสำเร็จไหม?” ฟางเหิงถามขึ้นมา
“นายคิดว่าไงล่ะ?” เจียงฉางซี่กลอกตา
“โอ้ เป็นไปไม่ได้เสียหรอก” ฟางเหิงรู้ว่าคำถามโง่เง่าขนาดไหนก็ตอนที่ถูกถามกลับนั่นแหละ ถึงอย่างไรทุกคนต่างก็ทราบว่าหยวนโจวเป็นคนแบบไหนกัน
“พวกเรายังไม่มีแก้วเบียร์สักใบเลยนะ” ญินยากล่าวพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“อืม ฉันสงสัยว่าหยวนโจวอาจจะมีแก้วอีกก็ได้นะ” เจียงฉางซี่เตือนให้ระลึกถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เจียงฉางซี่กับญินยามาพร้อมกับฟางเหิง แถมพวกเขายังไม่กลัวด้วยว่าวันนี้จะมีเบียร์ชนิดใหม่หรือไม่ด้วย แน่นอนว่าพวกเขาย่อมพกมาแค่ถ้วยใบเล็กที่ใช้ดื่มเหล้าไผ่มาเท่านั้น พวกเขาสามารถเติมเหล้าลงถ้วยใบนี้ได้แค่หกกรัมเท่านั้นเอง
ถ้วยพวกนี้ไม่เหมาะกับการดื่มเบียร์อย่างเห็นได้ชัด
“เซินหมิน เธอมีแก้วอีกไหม?” ฟางเหิงถามขึ้นแม้ว่าเขาจะไม่ได้หวังอะไรมากนักก็ตามที
“ขอโทษด้วยนะคะ ไม่มีหรอกค่ะ พวกเรามีแก้วแค่สามใบเท่านั้นเอง” เซินหมินกล่าวด้วยความอึดอัดใจ
“ฉันมีนะ” จู่ๆนักเขียนนิยายก็กล่าวขึ้นมา
“นายพกแก้วเอาไว้ตลอดเวลาเลยหรือไงกัน?” สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่นักเขียนนิยาย
แม้แต่พวกเขาจะไม่รู้ว่าหยวนโจวจะปรากฏตัวพร้อมเบียร์ชนิดใหม่หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องทำอย่างนักเขียนนิยายผู้นี้เช่นกัน แล้วการที่เขามีแก้วอยู่กับตัวอาจจะหมายความว่าเขาพกมันติดตัวเอาไว้อยู่ตลอดเวลาเลยก็เป็นได้ นั่นคงเป็นเรื่องที่ออกจะแปลกไปสักหน่อย
“เธออยากได้ไหมล่ะ?” นักเขียนนิยายตั้งคำถามแทนที่จะตอบคำถาม
“อืม” เจียงฉางซี่ตอบแล้วเริ่มมองไปทางนักเขียนนิยายเพื่อเตรียมที่จะดูว่าเขาจะหยิบแก้วออกมาจากที่ไหน
ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้หญิงที่มีกระเป๋าถือของตัวเอง นักเขียนนิยายมามือเปล่าแถมยังถือโทรศัพท์มือถือแค่เครื่องเดียวอยู่ในมืออีกต่างหาก
ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ชั้นบนกำลังรอคอยให้นักเขียนนิยายหยิบแก้วออกมานั้น จู่ๆหยวนโจวก็บ่นพึมพำอะไรสักอย่างออกมา
“ฉันลืมเรื่องนั้นไปได้ยังไงกันนะ เซินหมินอยู่ข้างบนแล้ว ลืมมันไปเสียเถอะ ฉันจะทำเองก็แล้วกัน” หยวนโจวพึมพำก่อนที่จะมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นบนเพื่อเตรียมแขวนป้าย “อย่าขับหลังดื่ม”
ใช่แล้วล่ะ จู่ๆหยวนโจวก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมบอกให้เซินหมินแขวนป้ายแผ่นนี้ ดังนั้นตอนนี้เขาเลยตัดสินใจที่จะทำมันด้วยตัวเองเสียเลย
ทันทีที่หยวนโจวแขวนป้ายเสร็จ เฉินเว่ยก็มาถึงพอดี
“เถ้าแก่หยวน พวกเราสามารถขอเบียร์เพิ่มได้ไหม? ห้าแก้วมันไม่พอนะ” เฉินเว่ยเข้าประเด็น
“ไม่ได้” หยวนโจวตอบไปตามตรง
“ทำไมล่ะ?” เฉินเว่ยถามด้วยหน้าตาน่าสงสาร
“ดูเอาเองเถอะ” หยวนโจวชี้ไปทางป้ายที่อยู่ข้างนอก
“อะไรน่ะ?” เฉินเว่ยออกไปข้างนอกด้วยความสงสัย
“อย่าขับหลังดื่ม อย่าดื่มตอนขับงั้นเหรอ? แต่ฉันไม่ได้ขับนี่นา” เฉินเว่ยกล่าว
“อืม เป็นแบบนั้นได้จะดีที่สุดเลยล่ะ” หยวนโจวพยักหน้า
“งั้นฉันก็ขอเบียร์เพิ่มได้ใช่ป่ะ?” เฉินเว่ยถามขึ้นอย่างมีความหวัง
“ไม่ได้” หยวนโจวก็ยังคงปฏิเสธอยู่ดี
“เถ้าแก่หยวน นายมันไอ้คนใจดำ” เฉินเว่ยด่า
“ถ้านายยังไม่ขึ้นไปตอนนี้อีกล่ะก็คงไม่ได้สั่งเบียร์ห้าแก้วแล้วล่ะ” หยวนโจวกล่าว การมีบุรุษคนหนึ่งจ้องมองมาที่เขาเช่นนั้นช่างทำให้เขารู้สึกขนลุกสิ้นดี
“จริงสิ ตอนที่ฉันลงมาที่นี่จะเกิดอะไรขึ้นกับเบียร์ของฉันบ้างล่ะเนี่ย? ถึงแม้ว่าเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋จะไม่อยู่ก็เถอะ แต่เจ้าเมล็ดงาฟางอยู่นี่นา ไม่ได้การแล้วฉันต้องกลับขึ้นไปชั้นบนก่อนล่ะ” ความสนใจของเฉินเว่ยเปลี่ยนไปในทันที
“เถ้าแก่หยวน ไว้ฉันดื่มเสร็จแล้วพวกเราค่อยมาคุยกันอีกทีนึงก็แล้วกัน” เฉินเว่ยกล่าวแล้วหายตัวไป เมื่อมีเรื่องเหล้าเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ฟางเหิงก็จะเทียบเท่าได้กับร้อยละ 0.7 ของอู๋ไห่เชียวล่ะ
ส่วนอีกร้อยละ 0.3 ที่หายไปก็เพราะฟางเหิงหาได้มีพรสวรรค์ในการแย่งชิงอาหารเท่าอู๋ไห่อย่างไรเล่า
ถึงอย่างไรคนบางคนก็แทบจะไม่มีพรสวรรค์มาแต่เดิมอยู่แล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นร้อยละ 0.7 ของอู๋ไห่ก็นับว่าน่ากลัวมากพอแล้วล่ะ
หยวนโจวมองเฉินเว่ยวิ่งจากไปโดยไม่ได้ตอบอะไรสักคำ
เมื่อเฉินเว่ยกลับขึ้นชั้นบนไป เขาก็เห็นเจียงฉางซี่กับญินยาต่างก็กำลังถือแก้วเครื่องดื่มพลางมองไปที่นักเขียนนิยายด้วยสายตาแปลกๆ
เฉินเว่ยไม่สนใจพวกเธออีก เมื่อเขาเห็นว่ายังไม่มีเบียร์มาเสิร์ฟบนโต๊ะของเขาเลย เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นักเขียนนิยายยังคงสงบนิ่งแม้จะมีความสนใจของทุกคนมุ่งมาที่ตัวเขาก็ตาม เขาบอกเซินหมินว่า “ขอเบียร์แก้วนึงสิ”
“โอ้ ได้เลยค่ะ” เซินหมินยังรู้สึกช็อคตั้งแต่ได้เห็นการแสดงมายากลในการหยิบแก้วออกมาจากอากาศอันแสนว่างเปล่าของนักเขียนนิยายเมื่อนักเขียนนิยายสั่งเบียร์จึงช่วยปลุกเธอให้พ้นจากความรู้สึกช็อคของตัวเองได้ เธอหยิบแก้วที่สลักชื่อเอาไว้บนนั้นก่อนที่จะเติมเบียร์ลงไป
ใช่แล้วล่ะ แก้วเบียร์ในผับของหยวนโจวต่างสลักชื่อเอาไว้ทั้งนั้น แน่นอนว่ามีเพียงผู้โชคดีสามคนเท่านั้นที่จะได้รับการสลักชื่อลงไป
แก้วที่เซินหมินถืออยู่นั้นเป็นแก้วที่มีชื่อของนักเขียนนิยายสลักอยู่บนนั้น
“ได้แล้วค่ะ” เซินหมินวางเบียร์ลง เธออดสงสัยไม่ได้และแอบชำเลืองมองไปที่แขนเสื้อที่ดูสอบแคบของนักเขียนนิยาย นั่นคือตำแหน่งที่ก่อนหน้านี้นักเขียนนิยายหยิบแก้วออกมานั่นเอง
“ขอบคุณครับ” นักเขียนนิยายกล่าวขอบคุณ เขาไม่สนใจที่จะมองเลยสัดนิดแต่กลับมุ่งความสนใจไปที่เบียร์แทน
ส่วนก้นแก้วมีขนาดเล็กและส่วนปากแก้วเชิดขึ้นพร้อมติดลวดลายอันทันสมัยตรงส่วนกลางแก้วตรงตำแหน่งที่ถือเอาไว้ด้วย นั่นก็เพราะเป็นตำแหน่งที่สลักชื่อเอาไว้นั่นเอง
หมอกบางเบาที่ล่องลอยบริเวณแก้วใสแจ๋วทำให้เบียร์สีทองแลดูพร่ามัว และเนื่องจากเบียร์เพิ่งจะถูกรินออกมา ชั้นฟองจึงล่องลอยอยู่ส่วนบนแก้ว
ชั้นฟองสีขาวราวกับชั้นหิมะจากแก้วใสแจ๋วทำให้สามารถมองเห็นฟองที่เกิดขึ้นมาจากส่วนก้นของน้ำสีทองในแก้วได้เลย
จากส่วนบนแก้วนั้น กลิ่นที่เป็นส่วนผสมระหว่างข้าวสาลีกับแอลกอฮอล์พลันกระจายออกมา
“เบียร์นี่กลิ่นหอมชะมัดเลย” เฉินเว่ยกล่าว
…