อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 825 ภารกิจง่ายๆ
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 825 ภารกิจง่ายๆ
อุปกรณ์ในการถ่ายทำทุกชิ้นถูกจัดเตรียมขึ้นในร้านหยวนโจวอย่างเหมาะสม โดยข้อตกลงได้เสร็จสิ้นลงในวันก่อนและเนื่องจากหยวนโจวไม่สบาย ถึงร้านจะไม่เปิดก็หาได้ส่งผลอะไร
เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ต้องประสานงานก็คือเหล่าดารานั่นเอง อันที่จริงแล้วโรล เดียร์ บีพเป็นรายการเรียลลิตี้นอกสถานที่ ส่วนเรื่องที่ว่าจะสนุกหรือไม่นั้น ยังไงรายการแนวๆนี้ก็มักจะตลกอยู่แล้ว
ดารารับเชิญหลักคือ หลี่เหอ ไป๋กั้วและเจียงเหม่ยซือ ดาราดังๆจะได้รับเชิญมาในแต่ละตอนของรายการนี้ และแน่นอนว่าหาได้เชิญนักแสดงชายและหญิงเพียงแค่คนเดียวไม่ ยกตัวอย่างเช่นแชมป์ต่อยมวยและนักธุรกิจชื่อดังที่ได้รับเชิญมารายการนี้ในช่วงก่อนหน้า
หลี่เหออายุราวๆ 40 ปีและเป็นนักแสดงมากความสามารถ สองปีที่ผ่านมาเขาได้รับความนิยมจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เขาเป็นคนที่มีท่าทางสนุกสนานเช่นกันแถมตอนนี้ยังเป็นผู้นำรายการอีกด้วย
ส่วนไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือนั้นมีอายุราวๆ 20 ปี อย่างแรกเป็นเพราะความหล่อเหลาส่วนอย่างหลังคือท่าทีอันบอบบาง พูดง่ายๆก็คือพวกเขาจึงกลายมาเป็นไอดอล ทั้งสองคนต่างโด่งดังมากและยังเป็นสาเหตุหลักของยอดเข้าชมรายการด้วย
“ได้ข่าววงในของตอนนี้ไหม?” ไป๋กั้วถามขึ้น
“ฉันได้ยินมาจากทีมงานว่าแขกที่ได้รับเชิญจากโปรดิวเซอร์มีชื่อเสียงไปทั่วโลกแถมยังได้รับคะแนนความนิยมอย่างถล่มทลายในประเทศฝรั่งเศสเชียวล่ะ นอกจากนี้เขายังเคยได้รางวัลมาก่อนด้วยนะ” หลี่เหอกล่าว
ตอนที่อยู่ในรถนั้น ตากล้องก็เริ่มหมุนกล้องแล้ว ดังนั้นหลี่เหอกับไป๋กั้วจึงเริ่มคุยกันเพื่อบ่งบอกว่าเริ่มการถ่ายทำอย่างเป็นทางการแล้ว
“ได้รับคะแนนความนิยมในประเทศฝรั่งเศส? แถมยังเคยได้รางวัลมาก่อนด้วยรึ?” เจียงเหม่ยซือเริ่มต้นอาชีพของตนเองในฐานนักแสดงหญิง ดังนั้นความคิดแรกในหัวก็คือ “รางวัลในเทศกาลภาพยนต์เมืองคานส์งั้นเหรอ?”
“สุดยอดนักแสดงชายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์งั้นรึ?” ไป๋กั้วกล่าวต่อไป “เรื่องนั้นไม่มีทางเป็นไปได้หรอกจริงไหมล่ะ? แม้ว่าเขาจะมีโอกาสครั้งสำคัญระหว่างเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ แต่ปกติแล้วคนดังแบบนั้นจะไม่เข้าร่วมพวกรายการวาไรตี้หรอกนะ” สิ่งที่ทำให้ไป๋กั้วค่อนข้างเก็บตัวก็เพราะพวกผู้ชนะรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์มักจะมีสถานะสูงส่งจนน่าเหลือเชื่อ โปรดิวเซอร์คงไม่เต็มใจที่จะหว่านเงินเพื่อเชิญคนพรรค์นี้จริงๆหรอกใช่ไหม?
“เธอคิดอะไรอยู่งั้นรึ? คราวนี้แขกรับเชิญไม่ได้มาจากวงการบันเทิงหรอก” หลี่เหอยุติจินตนาการพวกนั้นแล้วกล่าวว่า “คนเขียนบทคนหนึ่งบอกฉันว่าแขกรับเชิญในคราวนี้เป็นเชฟล่ะ”
ไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือเข้าใจได้ในทันทีเมื่อพวกเขาได้ยินว่าเป็นเชฟ
มิชลินไกด์ที่โด่งดังไปทั่วโลกมีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส นอกเหนือไปจากนั้นยังจัดให้มีการแข่งขันทำอาหารขึ้นในประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นการแข่งขันทำขนมอันเลื่องชื่อมากที่สุดที่จัดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส
ดังนั้นไป๋กั้วและเจียงเหม่ยซือจึงสรุปว่าแขกรับเชิญในคราวนี้น่าจะเป็นเชฟที่มีชื่อเสียงมากเป็นแน่
ไป๋กั้วไม่สนใจเมื่อได้ยินว่าแขกรับเชิญเป็นเชฟ ส่วนเจียงเหม่ยซือกลับถูกกระตุ้นความสนใจขึ้นมาและเธอก็เริ่มค้นหาเชฟที่ตรงกับคำบรรยายในอินเตอร์เน็ตดู ถึงอย่างไรเธอเองก็จัดว่าเป็นนักชิมคนหนึ่งแหละนะ
“แทนที่จะมัวแต่อยากรู้เรื่องแขกรับเชิญ เธอน่าจะอยากรู้เรื่องสถานที่มากกว่านะ สถานที่ถ่ายทำของเราในคราวนี้พิเศษมากเชียวล่ะ” หลี่เหอกล่าว “ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันไปที่สถานี ผู้กำกับบอกฉันว่าสถานที่ถ่ายทำพิเศษมากทีเดียวและพวกเราต้องเตรียมจิตใจให้พร้อมด้วย”
“เตรียมจิตใจ? หมายความว่าไงกันน่ะบอสหลี่? อย่าทำให้ฉันกลัวสิ” ไป๋กั้วจ้องมองไปทางหลี่เหอพลางถามเขาไปด้วย เขาเคยประสบกับความทุกข์ทรมานมาแล้วครั้งหนึ่ง
เจียงเหม่ยซือยุติการค้นหาในอินเตอร์เน็ตเช่นเดียวกัน เธอเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองไปทางหลี่เหอ คำพูดของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน
ในฐานที่เป็นแขกรับเชิญของโรล เดียร์ บีฟมานาน พวกเขาเริ่มหวนระลึกถึงประสบการณ์อันน่าอนาถก่อนหน้านี้
เจียงเหม่ยซือเป็นสตรีที่กลัวยุงและแมลงวันอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พวกเขาต้องไปถ่ายทำในชนบทอันห่างไกล ระหว่างถ่ายทำเธอจำเป็นต้องสังเวยตัวเองให้กับยุง ส่วนไป๋กั้วจากสีหน้าของเขาคงพอจินตนาการได้ถึงประสบการณ์อันแสนน่าอนาถของเขาได้เช่นกัน
“ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะโกหกฉันหรอกนะ” หลี่เหอไม่แน่ใจในสิ่งที่โปรดิวเซอร์พยายามที่จะทำสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นเขาจึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่เขารู้ออกมาให้ฟัง “ฉันคิดว่ามันเป็นร้านเล็กๆที่รู้จักกันในฐานที่เป็นร้านของสุดยอดเชฟและเถ้าแก่ร้านแห่งนั้นก็มีนามว่าหยวนโจวนั่นเอง” ไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย แต่พวกเขาทั้งสองคนต่างก็คิดว่าร้านของสุดยอดเชฟช่างเป็นชื่อที่ค่อนข้างโอหังมากทีเดียวถึงจะตั้งได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรเจียงเหม่ยซือก็เป็นนักชิมคนหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับชื่อหยวนโจว เธอตัดสินใจที่จะหาข้อมูลดูก่อน
อันที่จริงแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่เรียกร้านหยวนโจวก็เพราะหยวนโจวไม่มีป้ายร้าน ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดความยุ่งยากระหว่างการให้คะแนนร้านที่หมาย
ฉะนั้นเมื่อทั้งสองคนลองค้นหาคำว่าร้านของสุดยอดเชฟในอินเตอร์เน็ตดูแล้ว พวกเขากลับไม่พบสิ่งใดเลย แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปค้นหาคำว่าหยวนโจวตรงแถบค้นหากลับปรากฏข้อมูลเป็นจำนวนมากขึ้นมาแทน
โดยปรากฏบทความมากมายนับไม่ถ้วนอาทิเช่นอาหารจานเด็ดที่น่าพึงพอใจที่สุดในชีวิต ความหวังของเชฟจีนและอื่นๆอีกมายมายขึ้นมา แม้แต่วิดีโอโปรโมตเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีที่พบเมื่อเร็วๆนี้ก็ด้วย
“ดูเหมือนว่าร้านแห่งนี้จะเป็นที่นิยมจริงๆเสียด้วยสิ” ไป๋กั้วบ่นพึมพำ
เมื่อเจียงเหม่ยซือเลื่อนลงไปอีก เธอก็ค้นพบว่าแม้จะเป็นนักชิมคนหนึ่ง แต่เธอกลับพลาดร้านดังขนาดนี้ไปเสียได้
แน่นอนว่าหลังจากหาข้อมูลพวกนั้นแล้ว ย่อมเกิดคำถามเดียวกันขึ้นในหัวของพวกเขาเช่นกัน ทำไมโปรดิวเซอร์ถึงได้บอกให้พวกเขาเตรียมจิตใจให้พร้อมด้วยนะ?
จู่ๆเจียงเหม่ยซือก็เห็นบางอย่างในฟอรัมการสนทนาบางอย่าง: แฉ! เรื่องลึกลับของร้านหยวนโจว!
“มีเบื้องลึกเบื้องหลังเสียด้วย!” เจียงเหม่ยซือกับไป๋กั้วเบียดเข้าหากัน
[ร้านหยวนโจวตั้งอยู่บนถนนที่แลดูธรรมดาสามัญตรงถนนเถ่าซือ แม้ลักษณะภายนอกจะไม่น่าสนใจ ทว่ากลับมีโลกอีกใบซ่อนตัวอยู่ภายในร้าน]
[ในฐานที่เป็นลูกค้าที่เชื่อมั่นในร้านหยวนโจว(ฉันไม่บอกหรอกว่าฉันเป็นใคร) ทำให้ฉันได้สัมผัสกับเนื้อร้ายทั้งสิบของร้านหยวนโจว]
จู่ๆเจียงเหม่ยซือก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้จึงปรบมือแล้วกล่าวออกมาว่า “ฉันจำได้แล้ว! ก่อนหน้านี้มีเชฟอายุน้อยที่มีชื่อเสียงในการแลกเปลี่ยนวิชาทำอาหารระหว่างจีน-ญี่ปุ่น ชื่อของเขาก็คือหยวนโจว”
ในฐานที่เป็นดาราระดับตัวแม่ เจียงเหม่ยซือยังให้ความสนใจกับการแลกเปลี่ยนวิชาทำอาหารระหว่างจีน-ญี่ปุ่นด้วย สิ่งนี้ช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอเป็นนักชิมตัวยงคนหนึ่งเลยทีเดียว
การร้องอุทานขึ้นมาโดยกะทันหันของเจียงเหม่ยซือสร้างความตกตะลึงให้แก่ไป๋กั้ว หลังจากเธอสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว เธอก็อ่านต่อไป
[อันดับหนึ่ง: หยวนโจว]
[ใช่แล้วล่ะ อันดับแรกยังไงก็ต้องเป็นของหยวนโจวอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่น่าชิงชังมากๆเลย ฉันจะไม่อธิบายหรอกนะว่าทำไม]
[ลำดับที่สอง: อู๋ไห่]
[ลำพังด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังของเขา ยังไงเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋ก็ครอบอันดับที่สองอยู่แล้วล่ะ จะไม่เถียงสักหน่อยเหรอ?]
…
[อันดับที่ห้า: นักมวย]
[นี่เป็นแค่คนเดียวในรายชื่อนี้ที่ไม่มีใครรู้จักชื่อแซ่ที่แท้จริงของเขา ทุกครั้งที่เขามาที่ร้านหยวนโจว เขาก็จะมีบาดแผลตามตัว ครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้ลูกค้ารายใหม่ตกใจกลัวจนหนีไป โชคดีที่เขาค่อนข้างเป็นคนดีทีเดียวล่ะ]
[อันดับที่หก: จางถาน]
[เขาเป็นคนขับรถลากทั้งยังเป็นคุณปู่ที่เล่าเรื่องเก่งมากเชียวล่ะ เขาเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในการเล่าเรื่องซึ่งนับว่าสูญเปล่าไปกับการเลือกทำอาชีพขับรถลาก บางครั้งเขาก็จะเล่าเรื่องสยองขวัญมากมายจนพาให้ทุกคนรู้สึกกลัวไปด้วย]
…
“ทำไมรายชื่อทั้งหมดนี้ถึงเอาแต่พูดถึงพวกลูกค้ากันเล่า? มีข้อมูลอะไรบ้างไหม?” ไป๋กั้วชักจะเริ่มอดรนทนไม่ไหวแล้ว เขาไม่สนใจเนื้อร้ายทั้งสิบที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายสักนิดเดียว
แล้วพอเลื่อนลงไปอีก หัวข้อก็เปลี่ยนจากเนื้อร้ายทั้งสิบ รายชื่อของผู้สนับสนุนร้านหยวนโจวก็ปรากฏขึ้นมา
[เมิ่งเมิ่ง]
[ผู้สนับสนุนหลัก: เธอเป็นผู้ที่ค้นพบว่าสามารถสั่งข้าวผัดไข่กับเซ็ตข้าวผัดไข่ได้ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นย่างก้าวเล็กๆของคนผู้หนึ่ง ทว่ากลับเป็นย่างก้าวใหญ่ๆของมนุษยชาติเลยก็ว่าได้ การค้นพบของเธอนับว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติมากทีเดียว ดังนั้นเธอจึงสมควรที่จะได้อยู่อันดับแรกบนรายชื่อนี้แล้ว]
…
ไม่มีข้อมูลอะไรอีกแล้ว ไป๋กั้วจึงหมดความสนใจไป เขาไม่ได้เงื่อนงำอะไรอย่างที่บทความพากันกล่าวถึงเมื่อได้สัมผัสกับข้าวผัดไข่เลย
“ก็แค่ร้านอาหารร้านหนึ่งเท่านั้นแหละ ฉันเดาว่าจะต้องเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเลยล่ะ” เจียงเหม่ยซือกล่าวขึ้นหลังจากปิดโทรศัพท์ของตนเองแล้ว
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ทั้งสองคนเอาแต่ยุ่งง่วนกับการเลื่อนโทรศัพท์อยู่นั้น โปรดิวเซอร์ก็มอบภารกิจแรกให้หลี่เหอมาแล้ว
“มาดูภารกิจแรกกันเถอะ” หลี่เหอเปิดซอง เมื่อไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือเบนความสนใจกลับมาที่ตัวเขาแล้ว เขาก็เริ่มอ่านคำสั่งในซอง “ภารกิจแรก: กินอาหารกลางวันในร้านของสุดยอดเชฟให้หมด”
กินอาหารกลางวันงั้นหรือ?
ไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือมองเหม่อ นั่นมันภารกิจอะไรกัน? มันจะง่ายเกินไปแล้ว
หลี่เหอวิเคราะห์ตามหลักเหตุผลว่า “โปรดิวเซอร์คงไม่ให้ภารกิจง่ายๆกับเราแน่ๆ ตอนนี้เที่ยงแล้ว บางทีร้านอาจจะกิจการดีมากก็ได้นะ?”
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ ถึงแม้ว่าจะกิจการดีขนาดไหนทว่าก็แค่เที่ยงวัยเท่านั้น พวกเขาจะต้องไปให้ถึงใน 10 นาที โดยพวกเขาจะต้องไปให้ถึงก่อนเที่ยงครึ่ง มิฉะนั้นก็คงยากที่จะได้กินอาหารกลางวันแล้วล่ะ
หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว ทั้งสามคนก็ได้ข้อสรุปว่าบางทีวันนี้โปรดิวเซอร์อาจจะใจดีจึงมอบภารกิจง่ายๆให้แก่พวกเขา
เจียงเหม่ยซือค่อนข้างมีความสุขทีเดียว อีกสักพักเธอก็จะได้กินของอร่อยเลื่องชื่อแล้ว
จะมีอะไรมีความสุขมากไปกว่าการถ่ายรายการไปแถมยังบรรลุภารกิจได้ง่ายๆระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินไปกับอาหารดีๆได้อีกเล่า?
ไม่มีเสียหรอก
“อีกอย่างแขกรับเชิญก็กำลังรอเราอยู่ในร้านใช่ไหม?” ไป๋กั้วถามขึ้นมา