อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 829 ลูกค้าร้านนี้ช่างแสนเย็นชาแถมยังอวดดีอีกต่างหาก
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 829 ลูกค้าร้านนี้ช่างแสนเย็นชาแถมยังอวดดีอีกต่างหาก
ไส้เกี๊ยวถูกเตรียมเอาไว้เมื่อก่อนเที่ยงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ยกไปเสิร์ฟได้แล้ว อาหารที่เสี่ยวซูกับหยวนหยวนสั่งแทบจะถูกยกไปให้พวกเธอพร้อมๆกันได้เลย
เมื่อไม่สนใจรสชาติแปลกๆของเกี๊ยวซอสน้ำมันพริกที่ถูกราดด้วยแยมบลูเบอร์รี สีสันก็ดูค่อนข้างสวยทีเดียว เกี๊ยวลูกขาวอวบที่อัดแน่นกันอย่างผิดปกติราวกับภูเขาลูกย่อมๆ ด้านข้างเป็นน้ำมันพริกสีแดงเป็นมันวาว นอกจากนี้ยังมีเมล็ดงาสีน้ำตาลอ่อนและพริกเผ็ดชิ้นเล็กชิ้นน้อยในน้ำมันพริกแดง
เนื่องจากไม่มีน้ำซุปในชามจึงทำให้สามารถมองเห็นน้ำซอสสีเข้มที่ผสมเข้ากับน้ำมันพริกได้ตรงก้นขวด เพียงแค่มองเท่านั้นก็ทำให้พวกเขานึกถึงกลิ่นหอมได้แล้ว
ส่วนแยมบลูเบอร์รีที่อยู่ด้านข้างนั้น บลูเบอร์รีชิ้นใหญ่จนเห็นได้อย่างชัดเจนและแยมสีน้ำเงินแก่ดูค่อนข้างสดราวกับว่ามีแสงเปล่งออกมาจากด้านใน เพียงแค่มองพวกเขาก็ต้องน้ำลายหกแล้ว
“เสี่ยวซู เธอไม่อยากกินบ้างเหรอ?” ขณะที่กล่าวเช่นนั้นออกมา หยวนหยวนก็จิ้มเกี๊ยวลงในแยมบลูเบอร์รีแล้วยัดเข้าปาก เธอรู้สึกพออกพอใจกับวิธีการกินเสียจนต้องหรี่ตาราวกับแมวที่กำลังกินของอร่อยอย่างไรอย่างนั้นเลย
หยวนหยวนคีบเกี๊ยวที่จิ้มลงในแยมบลูเบอร์รีแล้วยื่นออกไปที่ปากของเสี่ยวซู
“เธอต้องลองชิมดู รสหวานกับรสเปรี้ยวของแยมบลูเบอร์รีผสมผสานเข้ากับรสเผ็ดของน้ำมันพริกทำให้เพลินปากทีเดียว”
เสี่ยวซูรีบรีบส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “จริงๆแล้วฉันแพ้บลูเบอร์รีน่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยวนหยวนจึงไท่ยืนกรานความติดของตัวเองอีกต่อไป เธอแค่บ่นพึมพำอยู่ในใจว่า “ทำไมฉันไม่ยักรู้มาก่อนว่าเธอแพ้บลูเบอร์รีกันนะ?”
ในด้านความประทับใจของเสี่ยวซู หยวนหยวนเป็นหญิงสาวที่แตกต่างจากคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง นอกเหนือไปจากประสาทรับรสแล้ว เธอก็ยังมีความคิดเห็นที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงและวิธีการกระทำสิ่งต่างๆในหลากหลายแง่มุม
ยกตัวอย่างเช่นมีคู่หูชาวจีนในละครโทรทัศน์เรื่องครึ่งแรกของชีวิต คนส่วนใหญ่คิดว่าคู่หูช่างสมบูรณ์แบบเกินไป เธอทำทุกอย่างเท่าที่จะสามารถช่วยเหลือนางเอกได้ แต่หยวนหยวนกลับบอกว่านางเอกก็ต้องปฏิบัติกับคู่หูของตนเองเช่นเดียวกันมาก่อนในเมื่อคู่หูก็ช่วยเหลือเธอมามากแล้ว มิฉะนั้นก็คงไม่สามารถทำดีกับใครเขาได้หรอก
หยวนหยวนบอกว่าเธออยากรู้ว่านางเอกปฏิบัติกับคู่หูของตนเองอย่างไรมาก่อน? ทำไมคู่หูของเธอถึงได้ใจดีกับเธอนักแถมยังพูดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเธออีกต่างหาก?
บางทีอาจจะเป็นเพราะชายหนุ่มต่างก็เชื่อว่าหญิงสาวอย่างหยวนหยวนเป็นคนที่หลอกง่าย จากลักษณะภายนอกแล้ว หยวนหยวนกับเสี่ยวซูก็ไม่นับว่าแตกต่างกันมากนัก แต่บรรดาชายหนุ่มต่างพากันไล่ตามจีบหยวนหยวนมากกว่าเธอเสียอีก
อีกอย่างหยวนหยวนก็ดูเหมือนจะหลอกง่าย แต่เอาเข้าจริงๆแล้วเธอกลับไม่เคยถูกใครหลอกมาก่อนเลย ในทางกลับกันเสี่ยวซูต่างหากที่เคยถูกผู้ชายหลอกมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะหยวนหยวนพบเห็นสิ่งผิดปกติของผู้ชายคนนั้นเข้าล่ะก็เสี่ยวซูอาจจะตกหลุมพลางไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เธอกินไอ้นั่นจริงๆงั้นรึ?” ลูกค้าข้างตัวเธอกล่าวด้วยความประหลาดใจ อันที่จริงแล้วเขาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำไปว่าเกี๊ยวลูกที่สองอยู่ในปากของหยวนหยวนแล้ว
หยวนหยวนกัดทะลุตัวเกี๊ยวซึ่งมีน้ำมันพริกไหลออกมาจึงทำให้เกิดสีขาวและสีแดงอย่างละครึ่ง หลังจากนั้นเธอก็จิ้มส่วนที่เปิดอ้าของไส้ในแยมบลูเบอร์รีแล้วยัดเข้าปากเพื่อเคี้ยวทันที
เกี๊ยวซอสน้ำมันพริกมีไส้เนื้ออยู่ด้านใน แถมเนื้อที่นำมาใช้ยังมาจากขาหมูจริงๆอีกต่างหาก เนื้อในส่วนนี้มีเนื้อไม่ติดมันที่ประกอบไปด้วยน้ำมันทั้งยังเนียนนุ่มอีกต่างหากจึงเหมาะที่จะนำมาสับแล้วใช้ทำเป็นไส้ โดยมีเพียงขิงสดด้านในเท่านั้นที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้ดีขึ้นและขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกไป ทำให้รสชาติสดใหม่และหอมอร่อยอย่างถึงที่สุด
ชั้นนอกของเกี๊ยวมีกลิ่นหอมของข้าวสาลีนิดหน่อย น้ำมันพริกมีรสชาติเผ็ดร้อน ส่วนซอสถั่วเหลืองมีกลิ่นรสเฉพาะตัวและมีรสชาติค่อนข้างเค็ม กลิ่นหอมกับรสชาติจะมีส่วนช่วยให้รสชาติสดใหม่และหอมอร่อยอย่างหาที่เปรียบมิได้เลยทีเดียว
แต่หลังจากหยวนหยวนราดแยมบลูเบอร์รีลงในเกี๊ยวแล้ว ลูกค้าโดยรอบต่างก็รู้สึกอึดอัดจนพูดไม่ออก
หลังจากหยวนหยวนกินเข้าไปอีกลูก เสี่ยววูก็ถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “มันอร่อย… จริงๆน่ะรึ?”
เดิมทีเธอตั้งใจที่จะถามว่ามันกินได้ด้วยหรือ เมื่อคิดว่าการถามเช่นนี้ออกจะเสียมารยาทไปอยู่บ้าง เธอจึงแก้ตัวใหม่ทันที
“อร่อยเหาะเลยแหละ แยมบลูเบอร์รีรสชาติหวานๆเปรี้ยวๆกับเกี๊ยวรสชาติเผ็ดร้อน ฉันสามารถลิ้มลองเนื้อบลูเบอร์รีได้เลยล่ะ” หยวนหยวนกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ขอแค่เธอชอบก็พอแล้วล่ะ” เสี่ยวซูสามารถบอกได้เลยว่าหยวนหยวนชอบกินแบบนั้นเสียจริงๆ ทันใดนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี หลังจากนั้นสักครู่เธอก็เริ่มพูดขึ้นมาอีก
“อืมมม จริงสิ เสี่ยวซู เธอแพ้บลูเบอร์รีก็กินไม่ได้น่ะสิ งั้นฉันจะกินให้เองก็แล้วกันนะ” หยวนหยวนกล่าวพลางอมยิ้ม
“ฉันไม่เคยกินอะไรที่มีรสชาติแปลกๆแบบนั้นมาก่อนเลย” แม้ว่าภายนอกเสี่ยวซูจะยิ้มละไม ทว่าในใจกลับอดไม่ได้ที่จะบ่นกระปอดกระแปดเรื่องการผสมแยมบลูเบอร์รีกับเกี๊ยว แค่คิดก็ทำให้เธอรู้สึกมีอาการแพ้ขึ้นมาแล้ว
หยวนหยวนกับเสี่ยวซูต่างรู้สึกสนุกสนานและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับในร้านขณะที่เหล่าดาราที่อยู่นอกร้านกลับคุมเชิงกันอยู่
หลี่เหอและอีกสองคนได้รับข่าวเศร้าหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ตอนเที่ยงร้านจะเปิดแค่สองชั่วโมงเท่านั้น พูดง่ายๆก็คือร้านหยวนโจวใกล้จะปิดแล้วนั่นเอง
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ พวกเขาก็ยังไม่ทราบว่าจะเข้าไปได้อย่างไร
“คุณเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พวกเราจะสามารถพึ่งพาได้แล้วล่ะ” หลี่เหอได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือ
เจียงเหม่ยซือกับไป๋กั้วได้รับการยอมรับให้เป็นสุดยอดคู่หู ภารกิจยากๆทั้งหลายล้วนสำเร็จได้ด้วยความพยายามของคนทั้งสองจากหลากหลายวิธีการ
จากนั้นไป๋กั้วก็ร้องเพลงขึ้นมาทันที ด้วยวิธีการเช่นนี้เอฟเฟกต์ของเครื่องเสียงก็จะไม่แสดงออกมา ตรงนั้นมีคนเยอะ แต่ที่สำคัญคือไม่มีใครตอบเขามาเลย แน่นอนว่าย่อมเป็นสถานการณ์อันย่ำแย่ในเมื่อไป๋กั้วร้องจากระยะไกล
“ดูสิ ไป๋กั้วกำลังร้องเพลงอยู่ด้วยล่ะ” ญินยามองซ้ายมองขวาด้วยความดีใจ เธอชอบไป๋กั้วเอามากๆเลย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนหน้าตาดีแถมยังถนัดในการแสดงท่าทางต่อหน้าสาวๆอีกด้วย
“ยังไงฉันก็ชอบเถ้าแก่หยวน หน้าตาดีแล้วมีประโยชน์อะไรกันเล่า? ที่สำคัญเขาไม่สามารถทำอาหารได้เก่งเท่ากับเถ้าแก่หยวนเสียด้วยซ้ำไป” เมิ่งเมิ่งผู้เป็นหนึ่งในแฟนตัวยงของเถ้าแก่หยวนกล่าว เธอหาใช่สมาชิกของคณะกรรมการจัดระเบียบแถวแต่อย่างใด ทว่าวันนี้เธอกลับมาที่นี่เพื่อถ่ายเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ของร้านหยวนโจว
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น แม้แต่เสียงร้องของหลิวเต๋อหัวก็ไร้ประโยชน์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไป๋กั้วเลย” หลิงหงห่อปาก
เจียงฉางซี่กินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เธอนั่งลงบนม้านั่งนอกร้านแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไป๋กั้วพูดว่า “ฉันไม่สนใจที่จะดูหนุ่มหล่อหรอกนะ ถ้าตรงนั้นมีสาวงามร้องเพลงอยู่ก็ว่าไปอย่าง”
สาวสวยที่เธอเอ่ยถึงก็คือเจียงเหม่ยซือนั่นเอง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไป๋กั้วก็เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น บรรดาลูกค้ามากมายในแถวต่างตั้งตารอคอยเขาแล้วร้องเพลงตามเขาไปด้วย แต่กลับไม่มีใครหลีกออกจากแถวเลยสักคน
คณะกรรมการจัดระเบียบแถวมีกฎอันเคร่งครัด เพื่อไม่ทำให้แถวยาวขึ้นไปเรื่อยๆเนื่องจากมีคนเข้ามาต่อคิวเยอะขึ้นและก่อให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น ลูกค้าในแถวต้องไม่เที่ยวขยับไปทั่ว
“คนงามน้อย เธอมีงานอดิเรกเหมือนฉันเลยสินะ?” หลิงหงรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง
เจียงฉางซี่ส่งสายตาดูถูกดูแคลนให้หลิงหงแล้วกล่าวว่า “ใครบอกว่าสาวๆต้องมองแต่หนุ่มๆอย่างเดียวเล่า? สาวๆเองจะมองสาวงามบ้างไม่ได้เหรอไง? ฉันเองก็ชอบดูสาวงามนะ ส่วนเจ้าพวกดาราที่อาศัยแค่หน้าตาพวกนั้นก็ไม่เห็นจะดีไปกว่าหมาป่าตัวน้อยๆสักเท่าไหร่เลย”
หลิงหงไม่มีอะไรจะพูดกับเจียงฉางซี่ที่ไม่มีแม้แต่ความต่ำช้าจากส่วนลึกเลยสักนิด
เจียงเหม่ยซือร้องเพลงไม่เก่งนัก เธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยเชียร์ไป๋กั้ว เดิมทีเธอก็เป็นแค่แจกันประดับเท่านั้นเอง
ไป๋กั้วร้องเพลงอยู่แถมยังร้องเป็นเพลงที่สองแล้ว เขาร้องเพลงที่บ่งบอกตัวตนของเขาได้มากที่สุด แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกท้อใจ เขามองไปทางหลี่เหอและเกือบจะหลั่งน้ำตาอยู่รอมร่อแล้ว “บอสหลี่ ผมทำไม่สำเร็จ”
“มีคนอยู่ที่นี่ตั้งเยอะแถมหลายๆคนกำลังฟังเพลงของนายอยู่นะ พวกเขาแค่ไม่ได้มามุงดูเราก็แค่นั้นเอง” เจียงเหม่ยซือไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย ปกติแล้วอย่างน้อยก็ต้องมีคนเข้ามาขอลายเซ็นต์เมื่อตอนที่เห็นพวกเขาคนใดคนหนึ่งไปสถานที่ต่างๆ
หลี่เหอที่อยู่ทางด้านข้างก็สังเกตเห็นเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปว่า “ลูกค้าร้านนี้ช่างแสนเย็นชาแถมยังอวดดีอีกต่างหาก”
เจียงเหม่ยซือกับไป๋กั้วพยักหน้าเห็นด้วย ลูกค้าไม่ได้ช่างแสนเย็นชาแถมยังอวดดีธรรมดาๆนะ พวกเขาช่างแสนเย็นชาแถมยังอวดดีมากเหลือเกินอีกต่างหากเลยด้วย คนพวกนี้จะไม่แสดงความสนใจพวกเขาสักหน่อยเลยหรือไงกัน? แจกัน(花瓶) เป็นคำอุปมาในภาษาจีนเมื่อกล่าวถึงใครสักคน มักใช้อธิบายถึงหญิงสาวที่มีไว้มองได้อย่างเดียวแต่กลับทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง