อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 830 มาเปลี่ยนให้เป็นเรื่องง่ายๆกันเถอะ
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 830 มาเปลี่ยนให้เป็นเรื่องง่ายๆกันเถอะ
ไป๋กั้วแสดงท่าทางว่าเขาอยากพักแล้ว
“อุ๊ อุ๊ ผมรักคุณ!”
หลังจากเจียงเหม่ยซือ ไป๋กั้วและหลี่เหอยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นสักครู่ก็มีคนเข้ามาขอลายเซ็นต์ในที่สุด พวกเขาต่างก็เป็นลูกค้าที่มากินอาหารกลางวันที่ร้านหยวนโจวเสร็จแล้วนั่นเอง
พวกเขามีกันอยู่สองคนทั้งยังเป็นผู้ชายทั้งคู่อีกต่างหาก เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกที่แฮปปี้กับเบรนจะเป็นคนที่คลั่งดาราอย่างแท้จริง
“ผมขอลายเซ็นต์ด้วยได้ไหมครับ?” ฉินเสี่ยวอี้ถาม ส่วนเกาฟ่านที่อยู่ข้างหลังก็พยักหน้า
“คุณอยากให้เซ็นต์ลงตรงไหนดีคะ?”
เนื่องจากทั้งสองคนไม่มีปากกาอยู่กับตัวเลย เจียงเหม่ยซือจึงใช้ปากกาสีน้ำของทีมงานถ่ายทำเซ็นต์ลงบนเสื้อยืดของพวกเขาตามที่พวกเขาร้องขอมา
หลังจากพวกเขาถ่ายภาพแล้ว ฉินเสี่ยวอี้กำลังจะจากไปแต่จู่ๆเกาฟ่านก็กล่าวขึ้นมาว่า “อุ๊ อุ๊ ถ้าหากพวกคุณพยายามที่จะดึงความสนใจของผู้คนที่นี่เพื่อให้บรรลุภารกิจอย่างที่เคยทำล่ะก็ไม่ได้ผลหรอกครับ ที่นี่มีคณะกรรมการจัดระเบียบแถวคอยควบคุมดูแลอยู่”
คำพูดของเกาฟ่านดึงดูดความสนใจของไป๋กั้วกับหลี่เหอ คณะกรรมการจัดระเบียบแถวมาทำอะไรที่นี่?
“เนื่องจากที่นี่มีคนเยอะย่อมเกิดความวุ่นวายเป็นธรรมดา ทั้งยังอาจจะเกิดความโกลาหลขึ้นได้ เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า คณะกรรมการจัดระเบียบแถวจึงตั้งกฎเอาไว้ที่นี่ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำอะไร คุณก็ไม่สามารถดึงดูดผู้คนให้ออกจากแถวได้หรอกครับ” เกาฟ่านอธิบาย
เจียงเหม่ยซือ หลี่เหอและไป๋กั้วต่างก็รู้สึกว่าเข้าใจมากขึ้นแล้ว
“มีทางไหนที่พวกเราจะสามารถเข้าไปกินอาหารกลางวันที่นี่ได้ไหมครับ? อย่างเช่นการสลับตำแหน่งกับใครสักคนด้วยการเสนอค่าตอบแทนหรืออะไรทำนองนั้นล่ะครับ?” หลี่เหอถามขึ้นมา เขารู้สึกกังวลใจกับสถานะของภารกิจตนเองมากเหลือเกิน
“ไม่ได้หรอกครับ” เกาฟ่านพูดตามตรง “ในการกินอาหารที่ร้านหยวนโจวนั้น ไม่ใช่แค่คุณต้องเข้าคิวเท่านั้น แต่คุณยังต้องได้รับหมายเลขด้วย ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่งที่คุณได้จากการเข้าคิวก็ต้องนำมาใช้เองเท่านั้น นี่ก็เพื่อป้องกันมิให้มีลูกค้าจากการจ้างคนให้มาเข้าคิวแทนน่ะครับ”
เมื่อได้หมายเลขก่อนที่จะเข้าแถวแล้ว จะต้องไปจ้างคนให้มาเข้าคิวแทนอีกทำไมกันเล่า? นี่ยังเป็นร้านอาหารอยู่งั้นรึ? แม้แต่ธนาคารยังไม่ยุ่งยากขนาดนี้เลย หลี่เหอย้ำเตือนตนเองว่าเขามาถ่ายทำจึงต้องรักษาความสงบเยือกเย็นและรอยยิ้มเอาไว้ให้ได้
“พอจะเป็นไปได้ไหมครับที่เราจะรอจนกว่าเวลาอาหารกลางวันจะหมดลงแล้วค่อยขอให้เถ้าแก่หยวนเตรียมอาหารให้เราอีกที?” จู่ๆไป๋กั้วก็มีความคิดดีๆขึ้นมา
“ฮะ? ความคิดไม่เลวนี่ คำอธิบายภารกิจแค่อยากให้เรากินอาหารกลางวันที่ร้านหยวนโจว แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าพวกเราต้องกินอาหารกลางวันในเวลาพักกลางวันนี่นา” หลี่เหอปรบมือเพื่อแสดงความเห็นด้วยว่านี่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เจียงเหม่ยซือเองก็เอ่ยปากชมเขาเช่นกันว่า “เจ๋งมากเลย ไป๋กั้ว ในเมื่อเราหาที่นั่งในช่วงเวลาพักกลางวันไม่ได้ พวกเราก็ควรจะรอจนกว่าเวลาพักกลางวันจะหมดลงสิ”
ไป๋กั้วไม่ปฏิเสธคำชมแต่อย่างใด เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีลำพองใจ
เมื่อเกาฟ่านเห็นท่าทางที่ดูมีความสุขของทั้งสามคนแล้ว เขาก็รู้สึกลำบากใจที่จะบอกความจริงกับพวกเขา ปกติแล้วฉินเสี่ยวอี้จะเป็นฝ่ายบอกความจริงอันแสนโหดร้าย
เขาบอกว่า “เท่าที่ผมรู้มา เถ้าแก่หยวนไม่เคยทำอาหารให้ลูกค้าคนไหนนอกเวลาเปิดร้านหรอกนะครับ”
ฉินเสี่ยวอี้รู้ว่าหลี่เหอกำลังจะพูดอะไรจึงกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ไม่ว่าจะยื่นข้อเสนออะไรให้เถ้าแก่หยวนก็ไม่เคยมีใครได้รับการยกเว้นเลยสักคนเดียว”
เกาฟ่านกล่าวเสริมด้วยสีหน้าของผู้ที่มีความรู้สึกเชื่อมั่นในเรื่องนี้ “ถูกต้อง สมญานามของเถ้าแก่หยวนก็คือเจ้าเข็มทิศ เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเข้มงวดกวดขันราวกับเข็มทิศที่มักจะชี้ไปในทิศทางเดียวโดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดไป
คำพูดของฉินเสี่ยวอี้กับเกาฟ่านราวกับหนามน้ำแข็งที่แทงลึกเข้าหัวใจของพวกเขา เมื่อสักครู่พวกเขายังร่าเริงและมองโลกในแง่ดีกันอยู่เลยแท้ๆแต่ตอนนี้ พวกเขาทั้งสามคนกลับเงียบไปแล้ว
ตอนนี้ไป๋กั้วเข้าใจแล้วว่าคนที่เย็นชาและอวดดีหาใช่บรรดาลูกค้าไม่ แต่กลับเป็นเถ้าแก่เสียมากกว่า
“ไม่คิดว่ามันมากเกินไปหน่อยหรือไง? แค่อาหารมื้อเดียวถึงกับต้องรับหมายเลขแล้วมาเข้าคิว ไหนจะแถวที่ต้องเป็นระเบียบอีก” ไป๋กั้วอดไม่ได้ที่จะพูดโพล่งเช่นนี้ออกมา
“แต่อาหารที่นี่สุดยอดไปเลยล่ะครับ” ฉินเสี่ยวอี้กล่าว
เจียงเหม่ยซือกล่าวว่า “ถึงอาหารจะอร่อย แต่เขาก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้ว่าไหมคะ? เขาไม่รู้หรือไงว่ายังไงลูกค้าก็เป็นฝ่ายถูกอยู่เสมอน่ะ?”
“แต่ยังไงอาหารที่นี่ก็เด็ดจริงๆนะครับ” ฉินเสี่ยวอี้กล่าว
หลี่เหออดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเช่นกัน “จะว่าไปแล้วกฎก็สำคัญอยู่หรอกนะ แต่บางครั้งก็ต้องยืดหยุ่นกันบ้างสิ”
“แต่อาหารที่นี่พิเศษและไม่มีเหมือนใครหรอกครับ” ฉินเสี่ยวอี้กล่าว
ไป๋กั้ว เจียงเหม่ยซือและหลี่เหอถึงกับพูดไม่ออกไปเลย พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้ว เถ้าแก่ของร้านหยวนโจวผู้นี้น่าจะมีอีโก้สูงเทียมดวงอาทิตย์ได้เลยทีเดียว พวกเขาจะทำภารกิจล้มเหลวเพราะเรื่องแบบนี้งั้นหรือนี่?
“หยวนหยวน เธอกินเกลี้ยงเลยจริงๆเหรอเนี่ย?” เสี่ยวซูถามขึ้นพลางจ้องมองไปทางชามเปล่าและจานที่สะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนใหม่
“แหงอยู่แล้ว ก็มันอร่อยสุดยอดไปเลยนี่นา น่าเสียดายที่เธอแพ้แยมบลูเบอร์รีเลยอดชิมไปเลย” หยวนหยวนพยักหน้า
“น่าเสียดายแยมบลูเบอร์รีกับเกี๊ยวชะมัดเลย สวรรค์น่าจะยกโทษให้เรานะ” เสี่ยวซูส่วยหน้าอย่างช่วยไม่ได้แล้วบ่นพึมพำออกมา
เรื่องนั้นก็พอเป็นที่เข้าใจได้อยู่ เกี๊ยวซอสน้ำมันพริกที่หยวนโจวทำเป็นสูตรต้นตำหรับที่รสชาติเผ็ดชา แต่หลังจากผสมผสานเข้ากับแยมบลูเบอร์รีแล้วกลับให้รสชาติที่เปลี่ยนไป
ยิ่งไปกว่านั้นอาหารที่หยวนโจวเสิร์ฟก็มักจะดูน่ากินอยู่เสมอ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเสี่ยวซูถึงได้รู้สึกว่าการผสมเข้ากับแยมบลูเบอร์รีนับว่าเสียของโดยแท้
อีกด้านหนึ่งเมื่อลูกค้าคนอื่นๆเห็นหยวนหยวนกินอย่างมีความสุข พวกเขาก็อยากจะลองดูบ้างเช่นกัน
ส่วนเรื่องรสชาตินั้น มีแค่ผู้ที่กินเท่านั้นแหละที่จะรู้ได้
เนื่องจากมีคณะกรรมการจัดระเบียบแถวคอยกำกับดูแลอยู่จึงไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นแม้วันนี้จะมีคนเยอะก็ตามที บรรดาลูกค้าดูเหมือนจะเข้าใจว่าวันนี้ต้องกินให้เร็วขึ้นไปโดยปริยาย แม้แต่อู๋ไห่ก็ยังกินเร็วกว่าที่เคย
ด้วยเหตุนั้นหยวนโจวจึงต้องทำงานหนักขึ้น ในที่สุดเมื่อมีโอกาสได้พัก เขาก็ตรวจสอบยอดเงินในบัญชีของตนเอง เมื่อเห็นตัวเลขแล้วก็พาให้หัวใจของเขาเย็นเฉียบไปในทันที
“เจ้าระบบ ฉันแค่เสนอส่วนลด 10% เองนะ แกคงไม่ได้หักเงินจากส่วนแบ่งผลกำไรใช่ไหม? แกทำแบบนี้ได้ยังไงกัน?” หยวนโจวพูดด้วยสีหน้าท่าทางสลดหดหู่
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เนื่องจากส่วนลดในครั้งนี้หาใช่กิจกรรมที่ระบบเสนอ เงินก็จะไม่ถูกหักออกจากส่วนแบ่งหรอกน่า”
นั่นฟังดูเหมือนมีเหตุผลมากทีเดียวจนหยวนโจวเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้วหากมิใช่เพราะคำพูดต่อไปที่เจ้าระบบแสดงออกมาว่า “เพราะระบบเกรงว่าเจ้านายจะคำนวณผิดเนื่องจากความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ของเจ้านาย ระบบจึงตัดสินใจหักเงินจากบัญชีมาโดยตรงเสียเลย”
“งั้นแกก็เลยหักมันทุกเซนต์เลยสินะ?” หยวนโจวมองเห็นเงิน 18.10 หยวนถูกหักออกจากบัญชีไปด้วยตาตนเอง
อันที่จริงแล้วหยวนโจวคิดว่าในเมื่อยอดเงินของเขาลดลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่งย่อมดีกว่ากลายเป็นเงินก้อนเดียวหลังจากเลิกกิจการ แบบนั้นเขาคงแย่แน่ๆ แต่ตอนนี้อาหารแต่ละจานที่เขาจำหน่ายไปกลับทำให้เนถูกหักออกจากบัญชีของตนเองทันที เรื่องนั้นช่างพาให้รู้สึกแย่มากจริงๆ
สิ่งนี้ก็เฉกเช่นเดียวกับแผลเล็กๆที่ยังเจ็บมากอยู่เลย และในเมื่อหยวนโจวเปิดข้อความแจ้งเตือนทางโทรศัพท์สำหรับการทำธุรกรรมทางธนาคาร เขาก็พบว่าเงินของตนเองลดลงไปทุกทีๆแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นเซ็ตข้าวผัดไข่ราคา 208 หยวน หลังจากหักส่วนลดแล้วมีราคาอยู่ที่ 187.20 หยวน จากนั้นเจ้าระบบก็จะหักเงิน 20.80 หยวนจากบัญชีของเขา หยวนโจวทำท่าดันแว่นตาที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นแล้วสาบานในนามคุณปู่ของตนว่าเรื่องนี้มีอยู่แต่สาเหตุเดียวเท่านั้นแหละ
แน่นอนว่าเจ้าระบบย่อมทำเช่นนี้เพื่อทวีความเจ็บปวดจากการสูญเสียเงินของหยวนโจว
“ที่จริงในฐานที่พวกเราเป็นคนก็ต้องใจกว้างเข้าไว้สิ พวกเราไม่อาจคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างได้หรอกนะ ถ้าเป็น 10 หรือ 20 เซนต์ก็คงไม่นับว่ามากมายอะไรนัก ทำไมแกต้องหักมันจากบัญชีของฉันด้วยเล่า?” หยวนโจวเริ่มสั่งสอนเจ้าระบบตามตรง
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เจ้านายอาจจะต้องปัดเศษขึ้นเองดูนะ”
เจ้าระบบกำลังบอกเขาว่าการหักเงินทั้งหมดขึ้นอยู่กับส่วนลดแค่ 10% เช่นกัน ดังนั้นทุกๆเซนต์จึงต้องถูกนำมาคิดด้วย
“ไม่ล่ะ ฉันต้องปฏิบัติตามกฎ ในเมื่อฉันบอกแล้วว่าจะให้ส่วนลด 10% ฉันก็ต้องทำให้ได้” หยวนโจวพูดออกมาตามตรง เขาไม่อาจสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจไปได้
ในแง่ของการปฏิบัติตามกฎ หยวนโจวมักจะเอาจริงเอาจังมาโดยตลอด