อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 831 ผู้ช่วยชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 831 ผู้ช่วยชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว
หลังจากทำอีกออเดอร์เสร็จ หยวนโจวก็หลบไปพักสักครู่ ในขณะนั้นคุณเฉิงก็เข้ามาหาและมองหยวนโจวขึ้นๆลงๆก่อนที่จะพูดออกมา
“อาจารย์หยวนครับ ไข้หวัดเป็นยังไงบ้าง?” คุณเฉิงถามขึ้นมา
อันที่จริงแล้วคุณเฉิงคิดจะถามคำถามเดียวกับเมื่อเช้านี้ แต่เขาไม่อาจฝืนใจที่จะถามขึ้นมาอีกครั้งได้
“ไม่เป็นไรแล้วครับ” หยวนโจวตอบ
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?” คุณเฉิงถามขึ้นมาอย่างจริงใจ
“ไม่มีครับ แค่ตั้งใจสังเกตให้ดีก็พอแล้วล่ะ” หยวนโจวส่ายหน้าแล้วกล่าว
“คุณไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอเหรอครับ อาจารย์หยวน?” คุณเฉิงถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อพบว่าหยวนโจวตาแดงก่ำ
เนื่องจากหยวนโจวสวมหน้ากากอนามัยเอาไว้จึงมีแค่ดวงตาคู่เดียวที่แสดงออกมาให้เห็นเท่านั้น ดังนั้นดวงตาแดงก่ำอันเด่นชัดยิ่งจึงเป็นผลทำให้เกิดคำถามนี้จากคุณเฉิงขึ้นมา
“ผมไม่เป็นไรครับ” หยวนโจวตอบเสียงแข็ง แต่เมื่อเขาพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” กลับฟังดูราวกับเขากำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไรอย่างนั้นเลย
เมื่อเห็นว่าหยวนโจวบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว คุณเฉิงก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ทว่าขณะที่กำลังมุ่งความสนใจไปที่การสังเกตฝีมือการทำอาหารของหยวนโจวอยู่นั้น เขาก็เริ่มสังเกตสภาพร่างกายของหยวนโจวไปด้วย
พอเป็นที่เข้าใจได้ที่หยวนโจวจะมีท่าทีตอบสนองเช่นนี้เมื่อถูกคุณเฉิงตั้งคำถามขึ้นมา ส่วนจะเข้าใจว่าทำไมก็ต้องทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนเสียก่อน
เมื่อคืนหยวนโจวเลี้ยงเกี๊ยวให้ทั้งสองคน หลังจากนั้นเขาก็จัดการเรื่องส่วนลดในวันนี้จนเสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะกลับขึ้นชั้นสองไป เขาวางแผนที่จะอ่านหนังสือระหว่างที่พักผ่อนไปด้วย
แต่ครึ่งชั่วโมงถัดมา โทรศัพท์ของหยวนโจวก็เริ่มดังขึ้นมา อู๋ไห่เป็นคนโทรมานั่นเอง
“เจ้าเข็มทิศ ได้เวลากินยาแล้ว ครบสี่ชั่วโมงแล้ว” เสียงแหลมๆของอู๋ไห่ดังขึ้น
“รู้แล้วน่า รีบเข้านอนได้แล้ว” หยวนโจวตอบด้วยท่าทีจนปัญญาก่อนจะวางสายไป
เขาคิดว่าคงจะเป็นสายสุดท้ายแล้ว แต่น่าแปลกพอถึงเวลาสี่ทุ่มตอนที่เขากำลังจะนอน โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้งเป็นอู๋ไห่อีกตามเคย
เนื้อหาของการสนทนามีอยู่เพียงแค่เรื่องเดียวก็คืออู๋ไห่กำลังเตือนให้เขากินยา
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว นี่คงจะเป็นยาเทียบสุดท้ายแล้วล่ะ” หยวนโจวบอกอู๋ไห่ตามตรง
“เจ้าเข็มทิศที่ปฏิเสธการกินยาเป็นเชฟที่ไม่ดีนะ ในเมื่อไม่สบายนายก็ไม่ควรที่จะละเลยการกินยา รีบเข้านอนเสียเถอะ” อู๋ไห่พูดราวกับเขากำลังโอ๋เด็กน้อยคนหนึ่งโดยไม่สนใจสิ่งที่หยวนโจวกล่าวเลยสักนิด
หยวนโจวรู้สึกจนปัญญาเป็นอันมาก แต่ก่อนที่หยวนโจวจะทันได้พูดอะไรออกไป อู๋ไห่ก็วางสายไปแล้วทิ้งให้หยวนโจวจ้องมองไปที่โทรศัพท์ของตนพลางสบถอยู่ในใจ
ในขณะเดียวกันอู๋ไห่ก็กำลังค้นหาข้อมูล เขารวบรวมข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตได้ว่าเมื่อจับไข้มักจะต้องใช้เวลาสองหรือสามวันถึงจะดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงโทรไปเตือนทุกๆสี่ชั่วโมง เขาบอกให้เจิ้งเจียเว่ยปลุกเขาเพื่อให้เขาสามารถปลุกหยวนโจวได้ทุกๆสี่ชั่วโมง
“ไห่น้อย เอาเข้าจริงๆแล้วคนป่วยไม่จำเป็นต้องกินยาทุกๆสี่ชั่วโมงยามค่ำก็ได้นะ” เจิ้งเจียเว่ยอธิบายอย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อได้ยินคำร้องขอของอู๋ไห่
“ใครว่าล่ะ? หลังจากฉันใช้เวลาทั้งวันไปกับการบังคับให้เจ้าเข็มทิศกินยาทุกๆสี่ชั่วโมง เขาก็สามารถทำเกี๊ยวเช่นนั้นทุกคืนได้แล้ว ถ้าหากฉันยังทำเช่นนี้อีกคืน พรุ่งนี้เขาก็น่าจะสามารถเปิดร้านได้แล้วล่ะ” อู๋ไห่ให้เหตุผลด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“แต่ที่สำคัญต้องนอนหลับยามค่ำคืนให้เพียงพอ แค่พักผ่อนให้เพียงพอเขาก็จะหายเร็วขึ้น” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวอย่างชาญฉลาด
“สี่ชั่วโมงก็นอนพอแล้วล่ะ จำไว้ด้วยว่าต้องปลุกฉันด้วย ฉันจะไปเข้านอนแล้วนะ” อู๋ไห่กล่าวหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย
“นั่นจะเป็นการรบกวนการนอนหลับของเถ้าแก่หยวนหรือเปล่า? ถ้าคุณไปรบกวนการนอนของเขาอยู่อีกล่ะก็พรุ่งนี้คุณอาจจะไม่ได้กินอะไรเลยก็ได้นะ ไห่น้อย” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวพลางถอนใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ในเมื่อเขาดีขึ้นแล้วยังไงก็ต้องเปิดร้านแน่ๆล่ะ” อู๋ไห่กล่าวด้วยความมั่นใจ “นายไม่เข้าใจเจ้าเข็มทิศเลยสินะ ถ้าไม่มีเรื่องพิเศษอะไรที่ส่งผลต่อตัวเขา เขาก็ไม่เคยปิดร้านหรอกนะ”
“ก็ได้ๆ งั้นฉันจะมาปลุกนายนะ” เจิ้งเจียเว่ยตกลงเพราะไม่มีอะไรจะกล่าว
ดังนั้นตอนตีสอง หยวนโจวจึงถูกอู๋ไห่ปลุกขึ้นมา ตอนหกโมงเขาก็ได้รับสายจากอู๋ไห่อีก แน่นอนว่าทั้งสองสายล้วนโทรมาเตือนให้เขากินยาทั้งนั้น
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หยวนโจวแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ โชคดีที่เขายังสามารถรักษาเหตุผลเอาไว้ได้ นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้อู๋ไห่ยังคงแข็งแรงปลอดภัยจนสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารที่ร้านของเขาได้
มิฉะนั้นหยวนโจวก็คงตบหน้าอู๋ไห่ด้วยรองเท้าเบอร์ 24 ไปนานแล้ว เขาน่าจะลองเอารองเท้าลูบหน้าของอู๋ไห่ดูสักที ถึงอย่างไรการที่อู๋ไห่โทรหาเขาทุกๆสี่ชั่วโมงก็ไม่ต่างอะไรกับการโทรศัพท์เล่นพิเรนทร์ยามกลางค่ำกลางคืนเพียงเพื่อจะบอกใครสักคนให้ลุกขึ้นมาฉี่อย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าอู๋ไห่ย่อมทำเรื่องเช่นนี้อย่างจริงใจโดยแท้ด้วยเจตนาดี หยวนโจวตระหนักถึงเรื่องนั้นดี นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องทนกับการแสดงความเป็นห่วงที่ราวกับการเล่นพิเรนทร์ของอู๋ไห่
แล้วหยวนโจวเปิดโทรศัพท์เอาไว้ทำไมกันเล่า? ง่ายมาก ในฐานที่เป็นเชฟแถมยังเป็นเชฟชื่อดังเสียขนาดนั้นจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องจัดการ
ดังนั้นในช่วงนอกเวลาเปิดร้าน โทรศัพท์ของเขาก็จะเปิดเอาไว้อยู่ตลอดเพื่อมิให้พลาดสายสำคัญใดๆไป
ทางด้านนอกร้าน เกาฟ่านกับฉินเสี่ยวอี้กลับไปหลังจากได้ลายเซ็นแล้ว ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องกลับไปทำงานต่ออยู่ดี อันที่จริงแล้ววันนี้หาใช่วันที่พวกเขาจะออกมาฉลองแต่อย่างใด แต่พวกเขามาเพียงเพราะส่วนลด 10% มันช่างแสนเย้ายวนเกินไปทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมาที่นี่ในช่วงพักเที่ยง
และเนื่องจากวันนี้เป็นโอกาสพิเศษ พวกเขาก็เลยขอสงบศึกกับอู๋ไห่เป็นการชั่วคราว
“แขกรับเชิญมาถึงแล้ว”
ในขณะที่ไป๋กั้ว หลี่เหอและเจียงเหม่ยซือรู้สึกกลุ้มใจกับการบรรลุภารกิจของพวกเขาอยู่นั้น ผู้กำกับก็บอกพวกเขาว่าแขกรับเชิญมาถึงแล้ว
พวกเขามองเห็นหนุ่มหล่อผมบลอนด์นัยน์ตาสีฟ้าคนหนึ่ง คนผู้นี้ดูไปแล้วไม่เหมือนเชฟเลยสักนิด แต่กลับดูเหมือนดารามากกว่า
ผู้กำกับเริ่มแนะนำแขกรับเชิญให้รู้จักตามปกติ
“ดีน แบรดบูรีเป็นเชฟมิชลินสามดาวที่มีอายุน้อยที่สุดในประเทศฝรั่งเศส ผู้คนมากมายต้องจองโต๊ะล่วงหน้าถึงครึ่งปีเพียงเพื่อจะได้กินอาหารของเขา ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย”
ในการแสดงว่าแขกรับเชิญยอดเยี่ยมเพียงใด รายการวาไรตี้มักจะร่ายยาวถึงความสำเร็จที่ผ่านมาในอดีตของแขกรับเชิญคนนั้นออกมาด้วย
“ที่สำคัญ ดีนยังเป็นเชฟมิชลินสามดาวที่มีอายุน้อยที่สุดที่มีอยู่ในโลกเชียวล่ะ”
ไม่ว่าจะวงการไหนๆ ผู้ที่ถูกยกย่องให้เป็นสมบัติของชาติย่อมต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นแค่พนักงานทำความสะอาดก็ตามที หากพนักงานทำความสะอาดเป็นสมบัติของชาติแล้วล่ะก็น่าจะเป็นพนักงานทำความสะอาดที่สามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดได้กว่า 80 ชนิดเพื่อทำความสะอาดสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกันทั้งหลายขณะที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดกว่า 50 ชนิดเลยทีเดียว
ระบบการให้คะแนนของมิชลินน่าจะมาจากหนึ่งในนักวิจารณ์อาหารที่น่าเชื่อถือที่สุดในแถบยุโรปและอเมริกา ในฐานที่เป็นเชฟที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสองเท่าที่เคยมีมาย่อมเห็นได้ชัดว่าดีนสุดยอดเพียงใดกัน
หลี่เหอและคณะพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ พวกเขาจึงทักทายดีนด้วยภาษาอังกฤษแต่จู่ๆดีนก็พูดภาษาจีนขึ้นมา
ดังที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ดีนวางแผนที่จะมาเยือนร้านหยวนโจวก่อน แต่เขาดันหลงทางเป็นผลทำให้มาถึงช้า
ถึงแม้ว่าเขาจะมาช้า แต่ก่อนที่เขาจะมาถึงนั้น เขาก็รู้แล้วล่ะว่าภารกิจแรกคืออะไร นอกจากนี้เขาก็ตระหนักถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของพวกเขาแล้วด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องรีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์
เขามุ่งเข้าประเด็นทันที “ผมมีทางแก้ครับ สำหรับการกินอาหารกลางวันที่ร้านนั้น คุณไม่จำเป็นต้องให้หยวนโจวมาทำอาหารให้ด้วยตัวเองหรอกครับ ผมสามารถขอยืมครัวของเขาแล้วทำอาหารกลางวันให้พวกคุณได้”
นั่นเป็นความคิดที่ดีเชียวล่ะ ทั้งสามคนต่างมองดีนราวกับพวกเขากำลังมองผู้ช่วยชีวิตของตนอย่างไรอย่างนั้น ในตอนนี้พวกเขารู้สึกราวกับว่าดีนมีรัศมีอยู่เหนือศีรษะด้วยซ้ำไป
ดีนเข้ามาในร้าน ยังมีเวลาเหลืออีก 30 นาทีก่อนที่เวลาอาหารกลางวันจะหมดลง ดังนั้นตอนนี้ร้านจึงยุ่งเป็นพิเศษ นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของดีนกับหยวนโจว ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นหน้าหยวนโจวได้ไม่ชัดเนื่องจากใส่หน้ากากอนามัยอยู่ แต่เขาก็ยังพอสรุปได้ว่าหยวนโจวก็ดูงั้นๆแหละ
“อะไรที่ทำให้เขาคู่ควรแก่การเป็นคู่ปรับตลอดกาลของฉูเสี่ยวกันนะ?” นี่คือความคิดแรกของดีน