อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 839 ดีล่ะ มาเปลี่ยนฉันเลยสิ
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 839 ดีล่ะ มาเปลี่ยนฉันเลยสิ
ดังที่กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ หยวนโจวซาวเมล็ดข้าวแตกต่างไปจากคนอื่นๆ เพื่อมิให้สูญเสียกลิ่นหอมสดชื่นของข้าวไป เขามักจะใช้แท่งแก้วไร้กลิ่นเพื่อคนเมล็ดข้าว โดยเมล็ดข้าวที่กวนนั้นจะกระทบกันแล้วขจัดสิ่งปนเปื้อนออกไปผ่านการเสียดสี นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หยวนโจวต้องซาวเมล็ดข้าวนั่นเอง
ดังนั้นเจียงเหม่ยซือ ไป๋กั้วและหลี่เหอจึงสามารถมองเห็นหยวนโจวใช้มือซ้ายเขย่าหม้อเคลือบเบาๆขณะที่มือขวาคนเมล็ดข้าว ขณะที่เขาคนอยู่นั่นเอง เมล็ดข้าวกับน้ำในหม้อก็เริ่มหมุนติ้ว
เมล็ดข้าวกับน้ำหมุนเป็นวงอยู่เรื่อยๆ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นการเคลื่อนไหวมือทั้งสองข้างของหยวนโจวและการควบคุมเมล็ดข้าวเป็นการรักษาสมดุลเพื่อทำให้เกิดสิ่งที่ดูคล้ายพายุทอร์นาโดสีขาว
การเคลื่อนไหวของหยวนโจวเชื่องช้าและไม่รีบร้อนทว่ากลับแม่นยำ หลี่เหอและคณะรู้สึกตกตะลึงเมื่อพวกเขาเห็นว่าหยวนโจวแตกต่างไปจากผู้อื่นแม้แต่ในเรื่องอย่างการซาวเมล็ดข้าว
“โอ้ นี่เป็นวิธีการซาวที่ค่อนข้างน่าตื่นตาตื่นใจทีเดียว” ดีนถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความน่าประหลาดใจ จากนั้นเขาก็พูดเหมือนให้คำอธิบายกับเจียงเหม่ยซือและคนอื่นๆ ทว่าก็ดูเหมือนพูดกับตัวเองราวกับว่าเขามองออกถึงความลับบางอย่าง “ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยเห็นเชฟหยวนทำของหวานสไตล์ตะวันตกมาก่อนเลยก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าเขาต้องทำออกมาได้ดีมากแน่ๆเช่นกัน”
“เมื่อตอนที่กำลังทำของหวานสไตล์ตะวันตก ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือการควบคุมน้ำหนักมือที่แม่นยำ ด้วยวิธีการที่เขาซาวเมล็ดข้าว เห็นได้ชัดเลยว่าเขาควบคุมน้ำหนักมือได้ดีมากเชียวล่ะ ไม่ว่าจะมือซ้ายหรือมือขวา แรงที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปจะทำลายการควบคุมที่เขากระทำอยู่ โดยการควบคุมที่เหมาะสมเช่นนี้น่าจะเป็นผลมาจากการทดลองนับครั้งไม่ถ้วน” ดีนทอดถอนใจ “อันที่จริงแล้วนี่เป็นวิธีซาวข้าวที่ยุ่งยาก แต่เมื่อผมนึกว่าเชฟหยวนไม่ได้เตรียมการที่จะทำสวีดิชมีทบอลมาก่อน ผมก็เลยพอเข้าใจเรื่องนี้ได้”
“ที่จริงผู้เชี่ยวชาญก็คล้ายๆกับพวกหัวกะทิในแง่ของฝีมือ โดยมีความแตกต่างกันเฉพาะด้านรายละเอียดที่น้อยมาก”
จะว่าไปแล้วขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเห็นคุณค่างานศิลป์ ส่วนคนธรรมดาก็จะเพลิดเพลินกับการแสดง หากไม่มีคำอธิบายของดีนแล้วล่ะก็หลี่เหอ เจียงเหม่ยซือและไป๋กั้วคงนึกว่าวิธีการซาวข้าวของหยวนโจวค่อนข้างที่จะแตกต่างและละเอียดมากเป็นแน่
แต่ตอนนี้…
“ไม่ทางหรอกใช่ไหม?” แม้จะมีคำอธิบายที่แน่ชัดของดีนแล้วก็ตามที แต่เจียงเหม่ยซือก็ยังยากที่จะเชื่อลงได้ วิธีการที่ยุ่งยากออกอย่างนั้นยังต้องซาวเมล็ดข้าวอีกด้วยเหรอ?
อาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้แต่ทันทีที่เจียงเหม่ยซือนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หยวนโจวก็หยุดแล้วเริ่มหมุนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาแทน คราวนี้แรงที่เขาใช้กับมือตนเองก็ยังเท่ากับช่วงก่อนหน้านี้เป๊ะๆ อย่างน้อยที่สุดเจียงเหม่ยซือก็ไม่สามารถมองเห็นความแตกต่างได้แหละน่า
แรงที่ใช้ต้องสม่ำเสมอจริงๆ
“พวกเราควรจะซาวเมล็ดข้าวนี้อย่างไรดีกันล่ะ?” จู่ๆหลี่เหอและคณะนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้แล้วสีหน้าของพวกเขาก็พลันแปรเปลี่ยนไป
หยวนโจวหาได้หยุดรอพวกเขาที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์หมกมุ่นแต่อย่างใดไม่ เขายังคงทำต่อไป
หลังจากซาวเมล็ดข้าวมาสองครั้งด้วยวิธีเดิม เขาก็รินน้ำออกแล้วใส่ข้าวลงในหม้อความดัน เขากระทำเช่นนี้ด้วยมือทั้งสองข้างเช่นเคย
มือขวาของเขากำลังถือหม้อต้มขณะที่มือซ้ายถือทัพพี เมื่อเขาเติมน้ำเข้าไป ทัพพีในมือซ้ายก็จะเริ่มขยับเบาๆ
หลี่เหอมีสายตาที่เฉียบคม เขาสามารถมองเห็นเมล็ดสีขาวๆที่พร่างพรมลงจากทีพพีได้อย่างชัดเจน และก่อนที่จะปรากฏกลิ่นหอมหลังจากเมล็ดข้าวที่ผสมเข้ากับน้ำเดือดสามารถกระจายตัวไปทั่วแล้ว หยวนโจวก็ปิดฝาหม้อแล้วเริ่มหุงข้าว
แต่ยังไม่หมดเท่านั้นหรอก ระหว่างนั้นพวกเขาก็เห็นหยวนโจวตักข้าวที่หุงแล้วออกมาครึ่งหนึ่งก่อนที่จะแช่อีกหนึ่งถึงสองนาที
พวกเขารู้สึกสับสนโดยสิ้นเชิงว่าเหตุใดเรื่องง่ายๆอย่างการหุงข้าวถึงได้กลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากขนาดนั้นไปได้
ทำไมกันนะ? เรื่องนี้มันช่างดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
นอกเหนือไปจากดีนแล้ว คนอื่นๆก็รู้สึกราวกับกำลังต้องคำสาปอย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อพวกเขาเห็นตากล้องอยู่ใกล้ๆ พวกเขาก็รีบเก็บอาการเหมือนต้องคำสาปเอาไว้
“ถ้างั้นข้าวทั้งหมดที่ฉันเคยกินมาก็หุงกันแบบนี้น่ะเหรอ?” ไป๋กั้วถามตัวเอง
“ข้าวทั้งหมดที่ฉันเคยกินมาเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพเลยงั้นหรือนี่?” เจียงเหม่ยซือตั้งคำถามกับโลกใบนี้
“ครั้งนี้ดูเหมือนจะยากกว่าภารกิจใดๆที่พวกเราเคยทำมาเลยนะ ทั้งปริมาณของน้ำไหนจะวิธีซาวข้าวอีก พวกเราจะทำได้จริงๆเหรอ?” หลี่เหอชักจะเริ่มจริงจังมากขึ้นและนึกเฉพาะเรื่องภารกิจเท่านั้น
“ไม่ต้องเอ่ยถึงในเรื่องภารกิจที่พวกเราจะต้องเลียนแบบเถ้าแก่หยวนเลย” ไป๋กั้วนึกถึงทางหนีทีไล่ “พวกเราสามารถเลือกที่จะไม่ซาวข้าวด้วยวิธีนี้ เพียงแค่ต้องระมัดระวังและทำทีละขั้นทีละตอน ฉันว่าน่าจะไม่ต่างอะไรมากนักหรอก”
ขณะที่เจียงเหม่ยซือกำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของแผนนี้อยู่นั้น ดีนก็ให้คำแนะนำอันแสนจริงใจออกมา
“ผมคิดว่าคุณต้องเปลี่ยนภารกิจแล้วล่ะ เชฟหยวนทำอะไรได้มากกว่าซาวเมล็ดข้าวอีกนะ”
ทั้งสามคนหันไปมองดีนทันทีเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา เมื่อดีนเห็นดวงตาทั้งสามคู่ที่เปี่ยมไปด้วยท่าทีราวกับจะบอกว่า “ได้โปรดสั่งสอนฉันที” เขาจึงตัดสินใจที่จะพูดออกมาตามตรง
“ผมขอพูดซ้ำอีกทีก็แล้วกัน ฝีมือการทำอาหารของเชฟหยวนอยู่ในขั้นสูงมากทีเดียว เมื่อตอนที่กำลังซาวเมล็ดข้าวอยู่นั้น มือของเขาไม่สัมผัสกับเมล็ดข้าวเลยสักนิดเดียว เมื่อตอนที่รินน้ำออกเขาก็ทำได้อย่างหมดจดเชียวล่ะ แล้วตอนที่หุงข้าวก็เติมเกลือลงไปด้วย ปริมาณของน้ำที่เขาเติมและวิธีที่เขาทำหาใช่สิ่งที่พวกคุณจะสามารถเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้นๆเลย” ดีนกล่าวขึ้นมา บางทีอาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นวิธีการซาวข้าวเช่นนั้นก็เป็นได้ เขาจึงค่อนข้างพูดติดลมบน
“พวกเราต้องเติมเกลือตอยหุงข้าวด้วยเหรอคะ?” เจียงเหม่ยซือถามขึ้นมา
“ผมคิดว่าเพื่อความหนึบของข้าวน่ะครับ”
“จริงด้วย ผมก็รู้สึกว่าพวกเราต้องเปลี่ยนภารกิจเหมือนกัน บางครั้งผมก็จะทำอาหารเองที่บ้านแต่หลังจากเห็นอาจารย์หยวนทำอาหารแล้ว ผมก็รู้สึกว่าไม่ต้องเอ่ยถึงการทำอาหารด้วยตัวเองเลย ผมไม่รู้สึกอยากจะสั่งอาหารจัดส่งถึงที่อีกเลย” หลี่เหอกล่าว
“มาเปลี่ยนภารกิจกันเถอะ มีภารกิจที่ง่ายกว่านี้ไหม Are there simpler missions?” ไป๋กั้วพยักหน้าเห็นด้วยซ้ำๆ
นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน? ลำดับท่วงท่าอันลื่นไหลที่หยวนโจวแสดงออกมาก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ตลอดชีวิต เขาน่าจะสามารถข้ามบางวิธีเมื่อตอนที่กำลังซาวข้าวได้ แต่เขาก็ไม่สามารถข้ามไปได้เสียทุกสิ่งทุกอย่าง ไป๋กั้วเป็นคนที่ทราบขีดจำกัดของตัวเอง
หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะให้เจียงเหม่ยซือคนงามไปถามแฟนๆรอบตัวพวกเขา แฟนคนที่เธอตัดสินใจเข้าไปถามเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง
เมื่อหญิงสาวเห็นไอดอลในดวงใจกำลังคุยกับตนเองอยู่ เธอก็ชักจะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาพลางตะโกนออกไปว่า “ซือซือ แฟนของฉันรักคุณนะคะ! เขามักจะบอกว่าคุณมีหน้าอกสะบึมแถมยังขายาวอีกต่างหาก! ฉันเองก็นักคุณเช่นกันนะคะ! ขอลายเซ็นต์ให้พวกเราหน่อยได้ไหมคะ?” อืม นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย นี่เป็นแฟนสาวแสนดีตามมาตรฐานของประเทศจีนที่น่าจะขอลายเซ็นต์ไปให้แฟนหนุ่มของเธอด้วย
เจียงเหม่ยซือทำตามคำขอ หลังจากเธอแจกลายเซ็นต์ให้แล้วก็ถามเรื่องอาหารที่ธรรมดาที่สุดในร้านหยวนโจว
“อืมมม ถึงฉันจะไม่รู้ แต่ฉันรู้จักคนที่รู้คำตอบนะคะ” เธอตอบ แม้จะไม่ทราบคำตอบ แต่เธอก็ยังกระตือรือร้นมากทีเดียวเนื่องจากได้ลายเซ็นต์ของไอดอลในดวงใจมา
“ใครเหรอครับ/คะ?” พวกเขาทั้งสามคนถามขึ้นมา
“คนที่มีนามว่าคุณเฉิง เขามาเรียนรู้การทำอาหารที่นี่กว่าครึ่งปีแล้วค่ะ ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถตอบคำถามของคุณได้บ้างนะคะ สิ่งเดียวที่พวกเรารู้ก็คือเรื่องกินเท่านั้นเช่นนั้นน่าจะเป็นเรื่องยากที่เราจะตอบได้ค่ะ” แฟนคนนั้นกล่าวกล่าวเกาศีรษะด้วยความขวยเขิน
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ นั่นช่วยได้มากเชียวล่ะค่ะ” เจียงเหม่ยซือปลอบใจแฟนคนนั้น
“เฮ้ เฮ้ นับเป็นเรื่องดีที่ฉันสามารถช่วยได้นะคะ” แฟนคนนั้นกล่าวซ้ำๆ เมื่อเธอจ้องมองไปที่ลายเซ็นอีกครั้งก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจออกมา บางครั้งดาราดังได้อะไรมาง่ายๆเมื่อแฟนๆเพียงแค่อยากได้สิ่งเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
หลังจากปลอบใจแฟนคนนั้นแล้ว พวกเขาก็เตรียมที่จะไปถามคุณเฉิง เนื่องจากคุณเฉิงอยู่ไม่ไกลนักจึงทำให้พวกเขาสังเกตเห็นเขาจากระยะไกลพลางมองหน้ากันแล้วตัดสินใจว่าใครควรจะเป็นฝ่ายไปหรือควรจะไปกันหมดเลยดี
แต่หลังจากพวกเขาเกือบจะถึงตัวคุณเฉิงและวิเคราะห์ในตัวเขาอยู่นั้น จู่ๆไป๋กั้วก็สังเกตพบอะไรบางอย่าง