อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 842 การแกะสลักน้ำแข็ง
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 842 การแกะสลักน้ำแข็ง
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เข้าไปในรถ ดีนนั่งอยู่ข้างหลัง เขายื่นศีรษะไปข้างหน้าแล้วมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นขณะที่เขารอคอยที่จะได้เห็นแผนที่ของหยวนโจว
ส่วนไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือนั้น พวกเขาตรงเข้าไปนั่งอยู่ตรงหลี่เหอที่กำลังรอเปิดซองอยู่ ข้างหลังพวกเขาและด้านนอกประตูที่เปิดอ้ามีกล้องกำลังเล็งมาที่พวกเขา
“ฉันจะเปิดแล้วนะ” หลี่เหอกล่าวพลางหยิบซองขึ้นมาโดยมีเจตนาทำให้เกิดความลุ้นระทึก
“เร็วเข้าสิ ฉันอดใจรอที่จะทราบสถานที่ต่อไปของเราไม่ไหวแล้วนะ” ไป๋กั้วเร่งเร้าด้วยความตื่นเต้น
นี่ก็คือจุดเด่นพิเศษของโรล เดียร์ บีฟ โปรดิวเซอร์จะแจ้งสถานที่ถ่ายทำแห่งแรกให้พวกเขาได้ทราบส่วนสถานที่ถ่ายทำแห่งที่สองนั้นเหล่าดาราดังจะต้องหาเบาะแสเอาเอง
โดยจะได้รับเบาะแสล่วงหน้าจากเจ้าของสถานที่แห่งแรก เจ้าของสถานที่จะมอบอำนาจให้ดาราดังจะทำอะไรและอย่างไรก็ได้อย่างเต็มที่ สำหรับสองสามตอนเมื่อก่อนหน้านี้ พวกเขาได้รับคำใบ้มาแล้ว
หลี่เหอเปิดซองสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์ของรายการอยู่บนนั้น
“นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?”
“เดี๋ยวก่อนนะ ฉันกำลังดูอะไรอยู่งั้นเหรอ? นี่คือแผนที่ใช่ไหม?”
ทันทีที่พวกเขาเปิดซองและมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน พวกเขาก็ถึงกับตะลึงงันไปด้วยสีหน้าที่ดูเกินจริงที่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกหน้าชาขึ้นมาจริงๆ
อันที่จริงแล้วแผนที่ถูกวาดลงบนกระดาษ แต่วาดเพียงแค่เส้นลงในแผนที่ฉบับนี้เท่านั้น โดยที่เส้นจะตรงและเลี้ยวในบางครั้งบางคราแถมในตอนท้ายของเส้นก็มีคำว่า “จุดหมายปลายทาง” เขียนเอาไว้ด้วย และตรงมุมแผนที่ได้กำหนดมาตราส่วนของแผนที่เอาไว้ที่ 1:50,000 อีกด้วย
“อืม เขาลายมือสวยจริงๆ” ไป๋กั้วให้คำวิจารณ์ตามตรง
“แต่ว่านี่มันภาพวาดบ้าอะไรกันเนี่ย?” เจียงเหม่ยซือถึงกับพูดไม่ออกไปแล้ว “ดูสิ เขามีมาตราส่วนของแผนที่ลงเอาไว้ที่นี่ด้วยล่ะ”
ทั้งไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือมองไปทางหลี่เหอเพื่อดูซิว่าเขาจะสามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง
“อย่ามามองฉันสิ ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจแผนที่ฉบับนี้เหมือนกันแหละ” หลี่เหอจ้องมองแผนที่อีกนิดหน่อยก่อนที่จะสารภาพออกมาอย่างอับจนหนทาง
แน่นอนว่ามาตราส่วนของแผนที่ย่อมแม่นยำอยู่แล้ว หยวนโจวแสดงความช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยการซื้อไม้บรรทัดแล้ววาดแผนที่ไปพลางวัดไปพลาง
น่าเสียดายที่แทนที่จะหวังให้หยวนโจววาดแผนที่แล้ว น่าจะบอกให้เขาแกะสลักแผนที่แทนเสียดีกว่า ถ้าหากเป็นแผนที่แกะสลักย่อมชัดเจนอย่างหาใดเปรียบไม่ได้และอ่านง่ายเนื่องจากมีแผนที่สามมิติปิดท้ายอยู่นั่นเอง แต่ในเมื่อเป็นแผนที่ที่หยวนโจววาดย่อมไม่ต่างอะไรกับการให้สุนัขประทับรอยเท้าลงบนกระดาษ
อีกด้านหนึ่ง มีคำอธิบายภารกิจที่เขียนเอาไว้ด้านหลังกระดาษอย่างชัดเจนยิ่งคือ: “ตามหาลูกฟุตบอลชนิดพิเศษที่ซ่อนอยู่ในโรงยิม” พวกเขาจ้องมองแผนที่อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะไป๋กั้วกับหลี่เหอรั้งเจียงเหม่ยซือเอาไว้ เธอก็คงจะเริ่มอาละวาดไปแล้ว
“อืม ยอดเยี่ยมไปเลย” ดีนพยักหน้า ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขากำลังพูดถึงเลย เขาน่าจะตะลึงกับการทำอาหารของหยวนโจวจนโง่ไปแล้วก็เป็นได้
หยวนโจวหาได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่พวกเขารู้สึกแต่อย่างใดไม่ หลังจากทีมงานถ่ายทำจากไปแล้ว เขาก็รู้สึกผ่อนคลายจากการถ่ายทำที่เสร็จสิ้นลงโดยสิ้นเชิง เขาเริ่มค้นคว้าหาข้อมูลทักษะการทำอาหารอีกครั้ง
การทบทวนสิ่งเก่าๆและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเป็นสิ่งที่หยวนโจวมักจะกระทำอยู่เสมอ
ในขณะเดียวกัน หยางซู่ซินก็ได้มาถึงเมืองเฉิงตูแล้วเพื่อผลงานแกะสลักมังกรน้ำแข็งของเขานั่นเอง เขาเตรียมที่จะไปเยือนร้านหยวนโจวแล้ว
หยางซู่ซินกับโจวซื่อเจี๋ยมีความสนิทสนมกันในระดับธรรมดาๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่โจวซื่อเจี๋ยจะเตรียมอาหารจานพิเศษและต้องการผลงานแกะสลักน้ำแข็งหรือจานน้ำแข็งที่ไม่เหมือนใคร เขาก็จะมองหาหยางซู่ซิน
ตัวอย่างที่น่าจะเป็นอาหารที่สร้างชื่อเสียงในช่วงแรกๆให้โจวซื่อเจี๋ยก็คือ: หงสาคืนถิ่น หยางซู่ซินเป็นคนแกะสลักรังที่นกหงส์หวนคืนกลับมานั่นเอง
อาจจะกล่าวได้ว่าเมื่อโจวซื่อเจี๋ยต้องการความช่วยเหลือของหยางซู่ซิน หยางซู่ซินก็จะทำให้เรื่องยากยิ่งให้เขา และตอนนี้หยางซู่ซินก็เป็นฝ่ายที่ต้องการความช่วยเหลือของโจวซื่อเจี๋ย
โจวซื่อเจี๋ยจะถือโอกาสนี้แก้แค้นเขาหรือเปล่าน่ะเหรอ? คำตอบก็เห็นกันชัดๆอยู่แล้ว ระหว่างมื้อกลางวัน โจวซื่อเจี๋ยทำมะระผัดเนื้อโดยมีหยางซู่ซินเป็นฝ่ายกินมะระส่วนเขาเป็นฝ่ายกินเนื้อ
จะสังเกตได้ว่ามักจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามเสมอมา
หลังจากกินเนื้อเสร็จแล้ว โจวซื่อเจี๋ยก็ทอดถอนใจออกมาด้วยความเศร้าใจ หยวนโจวเป็นความภาคภูมิใจและความปีติยินดีของเขาอย่างแท้จริง
จากสิ่งนี้จะเห็นว่าคนผู้หนึ่งพอเริ่มแก่ตัวเข้าก็จะมีนิสัยเป็นเด็กๆไปจริงๆ
หยางซู่ซินมาถึงเมืองเฉิงตูได้สองวันแล้ว เหตุผลเดียวที่เขาตัดสินใจที่จะไปร้านหยวนโจวคืนนี้ก็เพราะเขาได้ยินเรื่องการถ่ายทำของโรล เดียร์ บีฟที่ร้านนั่นเอง
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เนื่องจากที่ร้านมีคนเยอะเกินไป เขาจึงตัดสินใจที่จะยังไม่ไปที่นั่น ในที่สุดหลังจากทีมงานถ่ายทำจากไปแล้ว เขาก็เลยตัดสินใจที่จะไปมันคืนนี้เลย ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็คือกิจการส่วนตัวแล้วเข้าก็ไม่มีเจตนาที่จะเข้าไปรบกวนหยวนโจวในเวลางาน ดังนั้นเขาจึงสรุปได้ว่าทางที่ดีเขาควรจะไปเยือนคืนนี้หลังจากร้านปิดเสียเลย
ภายใต้การนำทางของโจวซื่อเจี๋ย หยางซู่ซินก็มาถึงถนนเถ่าซือเสียที เมื่อเขามาถึงร้านหยวนโจวแล้ว เขาก็มองสภาพแวดล้อมบริเวณร้านแล้วแสดงความคิดเห็นออกมา
“โจวซื่อเจี๋ย ดูซิว่านายมันหน้าเลือดขนาดไหนกัน คนที่มีฝีมือการแกะสลักยอดเยี่ยมออกขนาดนั้นอย่างหยวนโจวควรจะได้อาศัยอยู่ในสถานที่อันหรูหราโอ่อ่า หากเขาอยู่ที่ฮาร์บินก็คงไม่ต้องอาศัยอยู่ในสถานที่ซอมซ่อเช่นนี้หรอก” หยางซู่ซินคร่ำครวญต่อความอยุติธรรมที่เขาต้องพบเจอ
“อย่าหลงลืมความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของนายระหว่างที่กำลังพูดก็แล้วกัน” โจวซื่อเจี๋ยเหลือบมองหยางซู่ซิน
“ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของฉันบอบช้ำก็ตอนที่ฉันเห็นช่างแกะสลักที่มีพรสวรรค์ต้องมาติดแหง็กอยู่ในสถานที่เช่นนี้แหละ” หยางซู่ซินกล่าวออกมาตามตรง
โจวซื่อเจี๋ยยิ้มเยาะแต่หาได้หวาดกลัวเนื่องจากเขาไม่ได้ทำอะไรผิด
ในสภาพเศรษฐกิจตอนนี้แม้แต่ผู้มีฝีมือก็ไม่อาจปราศจากความกังวลใจได้ ดังนั้นผู้ที่กล้าเปิดร้านของตัวเองในสถานที่เช่นนี้ได้ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีฝีมืออย่างแท้จริงเป็นแน่ โจวซื่อเจี๋ยมั่นใจว่าหยางซู่ซินเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่เขาเพียงแค่แสดงท่าทีทึ่มทื่อเพื่อหาเหตุผลที่จะขโมยตัวหยวนโจวไป
“ประธานโจว คุณอยู่นี่เอง”
พ่อค้าเร่ที่เก็บแผงลอยของตนเองกล่าวทักทายเมื่อเขาเห็นโจวซื่อเจี๋ย จากนั้นเขาก็ยื่นเหลียงเฝิ่นให้โจวซื่อเจี๋ย
“ประธานโจว ผมว่าจะเก็บชามนี้เอาไว้เสียเองแต่ผมขอยกให้คุณแทนก็แล้วกันครับ”
โจวซื่อเจี๋ยไม่ปฏิเสธเหลียงเฝิ่น เขากล่าวขอบคุณพ่อค้าเร่แล้วเริ่มกินเฉาก๊วย รสชาติยังคงเหมือนเดิมคือเปรี้ยวและเผ็ดร้อน เป็นรสชาติที่เผ็ดร้อนมากพอที่จะทำให้เขาแทบต้องปาดน้ำตาเมื่อยามที่กิน ว่ากันว่าเหลียงเฝิ่นจะถือว่าเป็นขนานแท้ถ้าหากมีรสชาติเผ็ดร้อนมากพอที่จะทำให้เขาต้องปาดน้ำตาจากการกินมันเข้าไป
“ยอดเยี่ยมไปเลย พยายามต่อไปนะครับ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวขึ้นมา
พ่อค้าเร่รู้สึกเบิกบานใจมากที่ได้รับการยอมรับจากโจวซื่อเจี๋ย ถัดมาเขาก็เก็บแผงลอยแล้วจากไป อย่าได้ดูถูกพ่อค้าเร่ผู้นี้เพราะเขาแต่งกายธรรมดาเป็นอันขาด อันที่จริงแล้วเขาเป็นถึงเจ้าของกิจการร้านอาหารแบบลูกโซ่เชียวนะ
แน่นอนว่าเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา เขายังเป็นแค่พ่อค้าเร่ธรรมดาๆอยู่เลย จริงๆแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นค่อนข้างสลับซับซ้อนมากทีเดียว ในช่วงปีใหม่เพราะมาช้าเกินไปภรรยาของเขาจึงล้มป่วยลงและต้องการเงินก้อนใหญ่ในการรักษา เนื่องจากพ่อค้าเร่ใช้เงินเก็บส่วนหนึ่งเพื่อเปิดแผงลอยนี้ไปแล้ว เขาจึงไม่มีเงินพอที่จะพาเธอไปรักษาได้
จากนั้นม่านม่านก็เผอิญไปพบเรื่องนี้เข้าแล้วนำไปเล่าสู่กันฟังในร้านหยวนโจว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นนับเป็นเรื่อง “บังเอิญ”
ประธานโจวซื่อเจี๋ยของสมาพันธ์เชฟแห่งประเทศจีน “ผ่านมาพอดี” แล้วได้กินเหลียงเฝิ่นจากแผงลอยนี้เข้า หลังจากนั้นเขาก็เริ่มแนะนำแผงลอยแห่งนี้ในบทความฉบับพิเศษ
ด้วยตำแหน่งของโจวซื่อเจี๋ยทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นานนับตั้งแต่เขาแนะนำอาหาร แผงลอยก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา
นอกจากนี้พ่อค้าเร่ยังเป็นคนขยันขันแข็งในขณะที่เหลียงเฝิ่นของเขาก็ยอดเยี่ยมกว่าเหลียงเฝิ่นของผู้อื่นจริงๆ ดังนั้นจึงมีคนมาหวังจะมาลงทุนกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
และนี่ก็คือเหลียงเฝิ่นของแผงลอยแห่งนี้ที่กลายสภาพมาเป็นตราสินค้าพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเฉิงตู ถึงแม้ว่านับแต่นั้นมาจะกินเวลาเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น แต่เขาก็เปิดมาสามสาขาแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าคำแนะนำเพียงคำเดียวของโจวซื่อเจี๋ยได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของพ่อค้าเร่คนหนึ่งไปเสียสิ้น ด้วยเหตุนั้นพ่อค้าเร่จึงเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจในตัวโจวซื่อเจี๋ย
พูดกันจริงๆก็คือพ่อค้าเร่อยู่ในระดับที่สามารถรับสมาชิกได้แล้วให้พวกเขาจ่ายเงินค่าธรรมเนียมสมาชิกเพื่อทำให้เขาสามารถสร้างรายได้จากมันขึ้นมาได้ เขาลังเลใจเรื่องนี้อยู่สักพักหนึ่งแต่ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะตั้งแผงลอยอยู่หน้าร้านหยวนโจวต่อไป ไม่ว่าในภายภาคหน้าเขาจะเปิดอีกสักกี่สาขา แผงลอยเล็กๆของพ่อค้าเร่ผู้นี้ก็จะอยู่บนถนนสายหลักตลอดไป โดยภรรยาของเขาก็สนับสนุนในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เมื่อโจวซื่อเจี๋ยกับหยางซู่ซินเข้ามาในร้าน พวกเขาก็เห็นหยวนโจวกำลังค้นหาข้อมูลอะไรสักอย่างอยู่
“หยวนน้อย ทำอะไรอยู่งั้นรึ?” โจวซื่อเจี๋ยถามขึ้นเมื่อเขาเห็นหยวนโจวมีสมาธิเต็มเปี่ยม
“กำลังดูซาลาเปาห่อใบไม้ว่ามีใบไม้ที่ดีกว่าใบส้มยังไงน่ะครับ” หยวนโจวตอบ จากนั้นเขาก็ชะโงกหน้าขึ้นมาจนเห็นว่าโจวซื่อเจี๋ยพาคนแปลกหน้ามาด้วย
“หยวนน้อย คนผู้นี้คือหยางซู่ซินเป็นช่างแกะสลักน้ำแข็ง” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวขึ้นมา
หยวนโจวกล่าวทักทายเขาว่าอาจารย์หยางทว่าแววตากลับยังเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
“คุณ…”
หยางซู่ซินขัดจังหวะโจวซื่อเจี๋ย เขาเจตนาที่จะบอกส่วนที่เหลือด้วยตัวเอง โจวซื่อเจี๋ยพยักหน้าเห็นด้วยเพราะหยางซู่ซินมักจะสุภาพมากเมื่อเขาต้องการร้องขออะไรสักอย่าง
“อาจารย์หยวน ผมเห็นคุณแกะสลักมังกรโดยใช้อุปกรณ์ทั่วๆไป นั่นเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ผมมากทีเดียวเลยล่ะครับ ดังนั้นผมเลยมาเยือนที่นี่เสียเลย” หยางซู่ซินกล่าว
หยวนโจวรู้สึกอึดอัดใจแทบตายกับคำชมที่เขาได้รับ
เนื่องจากหยางซู่ก็เป็นคนที่ให้ความสนใจกับฝีมือของตนเอง เขาไม่ถนัดในการพูดจาตลบตะแลงแต่อย่างใด ทันใดนั้นเขาก็ตรงเข้าประเด็นทันทีว่า “ผมอยากชวนให้คุณมาร่วมมือกับผมทำผงานแกะสลักมังกรนพเก้าให้เสร็จสมบูรณ์น่ะครับ”