อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 845 กลเม็ดขั้นสูงสุดของหยวนโจว
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 845 กลเม็ดขั้นสูงสุดของหยวนโจว
ซุนหมิงฝึกการวางสายใส่ผู้อื่นมาเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงทำได้รวดเร็วมากเสียจนหยวนโจวตอบสนองไม่ทัน
“เขาจะฉลองวันเกิดปีละกี่ครั้งกันนะ?” หยวนโจวพึมพำพลางจ้องมองไปที่โทรศัพท์ของตนเองอย่างอับเฉา หยวนโจวรู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างตะโกนคำพูดของซุนหมิงออกมา แต่เขากลับไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
หมู่นี้หยวนโจวแจกอั่งเปาให้หลายๆคนในโอกาสพิเศษที่แตกต่างกันไปอาทิเช่น ในโอกาสพิเศษที่บุตรชายของลูกค้าคนหนึ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้และงานแต่งงานของแฟนเก่าของลูกค้าคนหนึ่งที่เขาได้รับคำเชิญ
หลายคำเชิญค่อนข้างน่าขันเสียจนทำให้หยวนโจวถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว แต่เขาก็คุ้นเคยกับเรื่องทำนองนี้แล้ว อาจจะกล่าวได้ว่าพฤติกรรมของบรรดาลูกค้าของเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นที่เคารพรักของพวกเขามากเพียงใด ทว่าหยวนโจวไม่สามารถปิดร้านไปเพียงเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงของบรรดาลูกค้าได้หรอก
ดังนั้นเขาจึงได้แต่แจกอั่งเปาออกไปแต่กลับไม่สามารถไปกินเลี้ยงได้เลย เรื่องนี้นับได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมเลยก็ว่าได้ ในความคิดของหยวนโจวนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะมีความรู้สึกขมขื่นก็ตามที แต่เขาตัดสินใจที่จะเก็บมันเอาไว้ข้างใน เขาได้พัฒนาร่างจากเจ้าเข็มทิศจอมตระหนี่ไปเป็นอั่งเปาเดินได้แล้ว
โชคดีที่โอกาสพิเศษพวกนั้นไม่ได้จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นในร้านหยวนโจวในขณะที่ยังเชิญเขาอยู่นับว่าเป็นการเยียวยาความเจ็บปวดด้วยตนเองที่ต้องมาทนเห็นงานเลี้ยงดำเนินต่อไปขณะที่ไม่สามารถกินอะไรได้เลย
หยวนโจวหาใช่คนที่เอาแต่จมจ่อมอยู่กับความคิดของตนเองให้นานนัก ไม่นานเขาก็พยายามลืมๆไปเสียแล้วเตรียมวัตถุดิบที่ใช้ในการแกะสลักต่อไป
หลังจากเตรียมก้อนน้ำแข็งและชามใส่น้ำแข็งก้อนใหญ่เอาไว้แล้ว หยวนโจวก็หยิบมีดทำครัวขึ้นมาแล้วเริ่มฝึกฝนการแกะสลักน้ำแข็ง แน่นอนว่าผู้คนต่างเริ่มเข้ามารวมตัวกันอยู่รอบตัวเขาขณะที่เขาทำสิ่งนี้อยู่
ถึงอย่างไรการแกะสลักน้ำแข็งก็มีความเกี่ยวข้องกับก้อนน้ำแข็งพอสมควรและยิ่งน่าตื่นตะลึงมากขึ้นไปอีก ท่ามกลางฝูงชน มีเด็กจอมซนบางคนที่รู้สึกตื่นเต้นมากเสียจนเริ่มหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วถ่ายภาพใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความตื่นเต้น วิดีโอก่อนหน้าที่เขาถ่ายหยวนโจวไปค่อนข้างโด่งดังในอินเตอร์เน็ตทำให้เขามีรายได้หลายร้อยหยวนเลยทีเดียว เขาจึงนำเงินไปซื้อเนื้ออบแห้งหลายร้อยชิ้นมาขายต่อให้เพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียนของเขา
ส่วนเพื่อนร่วมชั้นของเขาที่ไม่มีเงินแต่อยากกินเนื้ออบแห้งแล้วล่ะก็พวกเขาก็ต้องทำการบ้านให้เขาเพื่อแลกกับเนื้ออบแห้ง ด้วยการผูกขาดตลาด “จ้างทำการบ้าน” ที่โรงเรียนทำให้เขาได้เงินมากขึ้นตามลำดับ
กล่าวได้ว่ามีคนอยู่สามประเภทที่ไม่ควรสร้างความขุ่นเคืองให้เมื่อเดินอยู่บนโลกอันบิดเบี้ยว คนชรา สตรีและเด็ก บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นสาเหตุก็ได้ อย่าได้ดูถูกสติปัญญาของเด็กจอมซนเป็นอันขาดเลยเชียว
ในตอนนี้มีคนเดินเข้ามาในถนนพร้อมรถเข็นที่เขียนว่าหมี่หวานกับหมี่เผ็ด
ขณะที่คนผู้นี้เดินไป เขาก็ตะโกนเร่ขายของไปด้วย
“หมี่หวานกับหมี่เผ็ดยอดเยี่ยมที่สุดในหนานเฉิง” คนผู้นี้ตะโกนออกมา เขาสวมใส่เสื้อสเว็ตเตอร์สีเทาและไว้ผมสั้น เขาเข็นรถด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้
สายตาของเขาสับเปลี่ยนกันไปมาระหว่างโทรศัพท์และผู้คนรอบตัว แถมเขายังเร่ขายของเป็นบางครั้งบางคราวอีกด้วย
ไม่นานเขาก็มาถึงหน้าผับของหยวนโจว เมื่อเขาเห็นว่านี่คือที่ดินที่ค่อนข้างว่างเปล่าที่มีคนน้อย เขาก็หยุดแล้วหยิบเก้าอี้พับออกมาก่อนที่จะนั่งลง
เมื่อเขาสังเกตเห็นผู้คนเป็นจำนวนมากหน้าร้านหยวนโจว เขาก็ยื่นศีรษะออกไปดูให้ดี
ผู้คนพากันรายล้อมรอบตัวหยวนโจวที่เอาแต่จดจ่ออยู่กับการแกะสลักมังกรคู่ไล่กวดไข่มุกอันเป็นผลงานแกะสลักที่เมื่อคราวก่อนยังทำไม่เสร็จ
ในการพัฒนาฝีมือ การฝึกฝนจึงเป็นเพียงทางเดียวและไม่มีทางลัดใดอีก
มังกรมีรูปแบบพื้นฐานอยู่ห้าแบบคือ มังกรขนด มังกรทะยาน มังกรเหิน มังกรหมอบและมังกรคำราม รูปแบบอื่นๆส่วนใหญ่จะเป็นภาคขยายของทั้งห้ารูปแบบนี้
หยวนโจวเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยใหม่ ผลงานแกะสลักมังกรคู่ไล่กวดไข่มุกมักจะใช้รูปแบบมังกรคำรามอยู่เสมอ แม้ว่ารายละเอียดของผลงานแกะสลักจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนมากเกินไปสักเท่าไหร่นัก
แต่หลังจากหยวนโจวแกะสลักเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มแกะสลักเส้นโค้งประหลาด สิ่งนี้สร้างความสับสนให้ผู้คนรอบตัวเขาเป็นอันมาก
ควรรู้ว่านอกเหนือไปจากก้อนน้ำแข็งที่ใช้แกะสลักมังกรคู่ไล่กวดไข่มุกในครั้งนี้แล้ว หยวนโจวก็นำก้อนน้ำแข็งอีกหลายก้อนมาจัดเรียงให้เป็นแถวด้วย
ตอนแรกผู้คนต่างเชื่อว่าหยวนโจวน่าจะแกะสลักมักรน้ำแข็งด้วยก้อนน้ำแข็งทั้งหมด แต่มาตอนนี้เขากำลังแกะสลักเส้นโค้งเส้นแล้วเส้นเล่า เส้นโค้งเดี่ยวๆดูค่อนข้างสวยงามทีเดียวแต่เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วกลับดูไม่เข้ากันและผิดฝาผิดตัวกับมังกรโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากหยวนโจวเป็นช่างแกะสลักและเขาก็เป็นคนที่มีฝีมืออย่างเห็นได้ชัด ทุกคนจึงเพียงแค่มองด้วยความสงสัยอยู่เงียบๆถึงสิ่งที่หยวนโจวพยายามที่จะทำในวันนี้
ถ้าเป็นช่างแกะสลักคนอื่นๆ ผู้คนก็คงเริ่มโห่ไปแล้ว
เส้นโค้งที่แกะสลักลงบนก้อนน้ำแข็งก้อนแรกและทำเช่นเดียวกันกับก้อนที่สอง สามไปจนถึงก้อนน้ำแข็งก้อนที่ห้า ตอนนี้ก้อนน้ำแข็งทั้งหมดล้วนถูกแกะสลักเอาไว้แล้ว หยวนโจวเหลือบมองไปที่ผลงานของเขาพลางขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาแล้ววางอ่างและน้ำแข็งก้อนใหญ่ก่อนที่จะกลับเข้าร้านไป
เหลือเพียงผู้คนที่ตกตะลึงอยู่เบื้องหลังที่กำลังจ้องมองไปทางผลงานแกะสลักที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าคืออะไรเช่นกัน
“แล้วเถ้าแก่หยวนแกะสลักอะไรกันเล่า? นี่คือรากฐานของกำแพงเมืองจีนงั้นหรือ?” บางคนที่เคยเรียนการเขียนภาพมาก่อนคาดเดา
“นายคิดมากไปแล้ว เจ้าพวกนี้คือเส้นโค้งของเทือกเขาที่ต่อเนื่องกันชัดๆเลย” ลูกค้าออกความเห็น
“พอแล้วล่ะ ตามความเข้าใจในตัวเถ้าแก่หยวนของฉัน สิ่งที่นายเห็นก็คือสิ่งที่นายจะได้นั่นแหละ เจ้าพวกนี้ไม่นับเป็นอะไรเลยนอกเสียจากเส้นโค้ง” หลิงหงบอกพลางกลอกตา
นั่นเป็นคำอธิบายที่ดีทีเดียว ถึงอย่างไรเถ้าแก่หยวนก็ไม่เคยทำอะไรด้วยวิธีการอันมีลูกเล่นแพรวพราวมากเกินไป สิ่งที่เขาทำหาได้มีความสลับซับซ้อนมากมายนัก
ด้วยเหตุนั้นผู้คนจึงมีคำถามใหม่ๆเกิดขึ้น ลูกค้าที่เคยเรียนรู้การเขียนภาพมาก่อนก็เลยถามขึ้นมาว่า “แล้วทำไมเถ้าแก่หยวนถึงได้แกะสลักเส้นโค้งเล่า?”
พอเป็นที่เข้าใจได้ว่าถ้าเป็นมือใหม่ในการแกะสลักก็ต้องแกะสลักเส้นโค้งเพื่อฝึกพื้นฐานเสียก่อน แต่หยวนโจวยังต้องฝึกพื้นฐานอีกงั้นหรือ?
ดังนั้นคำถามจึงสร้างความสับสนให้แก่หลิงหง
หยวนโจวไม่สนุกกับความพ่ายแพ้เลยสักนิด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือไม่มีใครสนุกกับความพ่ายแพ้หรอก ด้วยเหตุนั้นหยวนโจวจึงเตรียมอาวุธลับเอาไว้แล้ว
จะว่าไปแล้วหากทำความสะอาดหอกเอานาทีสุดท้ายก่อนสงครามจะเริ่มขึ้น แม้ว่าหอกจะไม่ว่องไวนักแต่อย่างน้อยก็ยังเปล่งประกาย เป็นเรื่องค่อนข้างยากที่หยวนโจวจะมีความเชี่ยวชาญเช่นนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ดีกว่านั่งเฉยโดยไม่ทำอะไรเลยล่ะน่า
หลังจากเวลาอาหารค่ำ หยวนโจวก็ยกก้อนน้ำแข็งหลายก้อนออกมานอกร้านแล้วเริ่มทำแบบเดียวกันคือ การแกะสลักเส้นโค้ง
บรรดาลูกค้าต่างรู้สึกสงสัย ทว่ากลับไม่มีใครสามารถคาดเดาถึงสิ่งที่หยวนโจวกำลังแกะสลักอยู่ได้เลย
วันถัดมาหลังจากเวลาอาหารเช้า
“พวกนายมาทำอะไรกันอยู่ที่นี่น่ะ? มันเพิ่งจะเก้าโมงเช้าเองนะ แล้วพวกนายมารวมพลอะไรที่นี่กันเล่า?”
บางทีอาจเป็นเพราะพักนี้เขาเขียนภาพเยอะเกินไป แต่อู๋ไห่กลับไม่รู้สึกชอบการเขียนภาพหลังจากกลับมาจากการเดินทางเอาเสียเลย และเมื่อเข้าได้มาเห็นสภาพร้านหยวนโจวแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกสับสนเข้าไปกันใหญ่
ตลอดเวลาอู๋ไห่ฉวยโอกาสจากการที่เขาอาศัยอยู่ใกล้ร้านแล้วรีบตื่นแต่เช้าเพื่อจะได้เป็นลูกค้าไม่กี่คนแรกที่ได้กินอาหารที่นั่น
แต่มันยังเก้าโมงเช้าอยู่เลยทว่าร้านกลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเสียแล้ว นี่แทบจะทำให้เขาบ้าตายอยู่แล้ว
“ชาติก่อนพวกนายหิวตายหรือไงกัน? ทำไมพวกนายถึงได้มากันไวขนาดนี้เล่า? ความเห็นอกเห็นใจ ความรับผิดชอบ ความเหมาะสมและความซื่อสัตย์ของพวกนายหายไปเสียที่ไหนหมด?” อู๋ไห่เดินไปที่ร้านพลางทำเสียงดังเอะอะ
“หุบปากไปซะ พวกเรากำลังพยายามเดาว่าเถ้าหยวนจะแกะสลักอะไรออกมาอยู่นะ” ลูกค้าคนหนึ่งกล่าว
อู๋ไห่โล่งอกเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น คงจะดีน่าดูหากไม่มีพวกเขามาแย่งตำแหน่งของเขา เขาเบียดตัวเองจนไปอยู่ตรงหน้าฝูงชนแล้วได้แต่เหลือบมองก่อนที่จะตัดสินใจออกไป
“เจ้าหนวด นายเป็นจิตรกรใช่ไหม? นายว่าเถ้าแก่หยวนพยายามที่จะแกะสลักอะไรกันแน่?”
“ถ้านายถามเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋เรื่องอาหาร เขาน่าจะรู้นะ แต่เรื่องนี้ถ้าแม้แต่พวกเราตั้งหลายคนยังไม่รู้ แล้วเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋จะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่า?”
นี่เป็นวิธีการแบบจิตวิทยาย้อนกลับอันแสนโง่เขลาที่มีเพียงแค่คนอย่างอู๋ไห่เท่านั้นแหละที่จะหลงเชื่อ
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นเข้า อู๋ไห่ก็หยุดเดินแล้วกล่าวว่า “เถ้าแก่หยวนกำลังแกะสลักก้อนเมฆ เมฆบนท้องฟ้า ง่ายๆออกขนาดนั้น ไม่ว่าใครก็รู้กันทั้งนั้นแหละ”
ก้อนเมฆงั้นรึ?
บรรดาลูกค้าต่างจ้องมองไปที่เส้นโค้ง ก้อนเมฆงั้นรึ?
หลายคนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่กลับไม่มีใครเดาออกว่าหยวนโจวกำลังแกะสลักก้อนเมฆเลยสักคน
“เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋ ถ้านายไม่รู้อย่ามาหลอกให้พวกเราเข้าใจผิดเสียให้ยากเลยน่า”