อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 849 ขาดผู้นำ
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 849 ขาดผู้นำ
จะว่าไปแล้วก็หามีผู้ใดไปอารามโดยไม่มีสาเหตุหรอก ร้านหยวนโจวก็ไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นเมื่อตอนที่เฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนแอบไปร้านหยวนโจว พวกเขาย่อมมีจุดประสงค์บางอย่าง
“เฒ่าเหยียนแอบมาที่นี่เองโดยไม่บอกซู่ซินจะดีเหรอ? ฉันไม่คิดว่าจะทำกับเพื่อนของเราแบบนี้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรอกนะ” เฒ่ากู่ผู้มีผมหงอกขาวและมีหน้าแดงก่ำดูเหมือนจะมีจิตใจที่ดีงาม
“หุบปาก หุบปากไปเลยนะ นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” เฒ่าเหยียนแก้ต่างคำพูดของเฒ่ากู่พลางกล่าวว่า “ฉันบอกไปตั้งหลายครั้งแล้วไง พวกเราไม่ได้แอบซู่ซินมาที่นี่สักหน่อย พวกเราก็แค่มาตรวจสอบสถานการณ์ก่อนเขาก็เท่านั้นเอง”
“พวกเราสองคนแก่กว่าซู่ซินย่อมมีประสบการณ์ในการเข้าสังคมมากกว่าเขาอยู่แล้วล่ะ พวกเราจะไม่ช่วยเขาด้วยประสบการณ์อันล้นเหลือของเราสักหน่อยหรือ? พวกเราต้องไปร้านหยวนโจวแล้วก็ต้องดูให้ดีๆ” เฒ่าเหยียนตอบ “ฉันเชื่อว่าซู่ซินต้องเข้าใจความหวังดีของเราอย่างแน่นอน”
เฒ่าเหยียนกล่าวเช่นนั้นอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา แต่ถ้าเขาไม่น้ำลายสอออกมาเมื่อตอนที่เขาเอ่ยถึงร้านหยวนโจว คำพูดของเขาก็คงจะน่าเชื่อถือมากเลยทีเดียว
เฒ่ากู่พยักหน้า มันเป็นเรื่องจริง เขาถูกเฒ่าเหยียนกล่อมเสียอยู่หมัดแล้ว หลังจากนั้นท่าทีละอายใจบนใบหน้าของเขาก็อันตรธานหายไปโดยสิ้นเชิงแล้วค่อยๆแทนที่ด้วยท่าทีคาดหวัง
“เฒ่าเหยียน นายใกล้จะถึงหรือยัง?” เฒ่ากู่กล่าวขึ้น “ฉันแทบอดใจที่จะไปช่วยซู่ซินประเมินไม่ไหวอยู่แล้ว”
“หลานสาวของฉันเรียกตีตีให้ฉัน เธอบอกว่าใช้เวลาเพียงแค่ 40 นาทีเท่านั้นในการขับจากสถานีรถไฟไปยังจุดหมายปลายทาง” เฒ่าเหยียนมองนาฬิกาแล้วกล่าวว่า “ฉันจะไปถึงที่นั่นในอีกประมาณ 15 นาทีนะ”
น้ำลายแทบหกออกมาจากปากของชายชราทั้งสองคนอยู่แล้ว ถูกต้องแล้วล่ะ อันที่จริงแล้วพวกเขามาที่นี่ก่อนเวลาก็เพราะอาหารอร่อยในนามของการตรวจสอบ พวกเขาล่วงรู้ถึงกิตติศัพท์ของร้านหยวนโจวเช่นเดียวกัน
พวกเขาไม่เคยมีโอกาสมาก่อนเลย แต่ตอนนี้คำเชิญจากหยางซู่ซินได้มอบโอกาสให้พวกเขาแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาก็มีจุดประสงค์อื่นเล็กๆน้อยๆนอกเหนือไปจากเรื่องกินด้วย
จะว่าไปแล้วทั้งคนขับตีตีและแท็กซี่ค่อนข้างคุ้นเคยกับร้านหยวนโจวทีเดียว ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ของเจ้าระบบที่ว่า “ร้านอาหารที่โด่งดังไปทั่วทั้งจังหวัด” นับว่าไม่ได้กล่าวเกินจริงไปเลยสักนิด
มีบริษัทแท็กซี่ราวๆสี่สิบแห่งอยู่ในเมืองเฉิงตู อย่าคิดว่าเพียงเพราะดูแล้วเหมือนๆกันไปหมดก็จะเป็นของบริษัทเดียวกันเสียเล่า อันที่จริงแล้วยังมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากทีเดียว
ตีตีมีความแตกต่างไปจากแท็กซี่ ถึงแม้ว่าทั้งสองแบบจะขับรถพาคนจากสถานที่แห่งนี้ไปยังสถานที่แห่งนั้น ทว่าตีตีไม่เหมือนแท็กซี่ส่วนแท็กซี่ก็ยิ่งต่างจากตีตีไปกันใหญ่
ก่อนหน้านี้บริษัทแท็กซี่ก็นึกไอเดียธุรกิจโดยใช้หยวนโจวขึ้นมาได้
พวกเขาเสนอให้มีการร่วมมือกับหยวนโจวเป็นพิเศษซึ่งเป็นงานที่ต้องแนะนำแท็กซี่จากบริษัทของพวกเขาเท่านั้น โดยพวกเขาจะจ่ายเงินค่าแนะนำและประชาสัมพันธ์ให้เขาเป็นประจำ พวกเขาช่างคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ
กลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อเถอะ สิบนาทีต่อมา รถก็มาถึงสี่แยกถนน
“ถ้าหากคุณอยากไปร้านของเถ้าแก่หยวนก็เดินไปตามถนนสายนี้แค่ไม่กี่นาทีคุณก็จะเห็นร้านอาหารที่มีผู้คนออกันอยู่ตรงประตูเยอะที่สุด นั่นแหละสิ่งที่คุณทั้งสองคนกำลังมองหาอยู่” คนขับตีตีแสดงเส้นทางให้พวกเขาดูแล้วอธิบาย “ถนนสายนี้แออัดมากผมเลยขับรถพาพวกคุณไปส่งที่นั่นไม่ได้เลย”
เฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนพยักหน้าแล้วลงจากรถ ก่อนที่คนขับตีตีจะออกรถไปในที่สุด เขาก็ให้คำแนะนำเป็นพิเศษว่า “แค่เดินตรงไปแล้วไม่ต้องเลี้ยวนะครับ กรุณาแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ด้วยการให้ห้าดาวแก่ผมด้วยนะครับ”
รถออกตัวอย่างเร่งรีบในตอนท้ายเนื่องจากคนขับตีตีเพิ่งจะยอมรับอีกคำสั่งหนึ่ง
“โอ คนขับตีตีในเฉิงตูช่างกระตือรือร้นเสียจริง เห็นทีฉันจะต้องแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ด้วยการให้ห้าดาวแก่เขาเสียหน่อยแล้ว” เฒ่ากู่กล่าวขึ้นมา
“เขาช่างกระตือรือร้นจริงๆนั่นแหละแต่ก็ช่างจ้อไปหน่อย เขาถามเรื่องนั้นเรื่องนี้มาตลอดทางเลย ฉันไม่สามารถสงวนเรี่ยวแรงและสำรองพลังงานเอาไว้ได้เลย” เฒ่าเหยียนกล่าวขึ้นบ้าง
ทั้งสองคนคนปฏิบัติตามคำแนะนำของคนขับตีตีแล้วเดินไปที่ร้านหยวนโจวโดยไม่พูดอะไรสักคำ ช่างบังเอิญเหลือเกินที่มีแค่ไม่กี่คนรวมไปถึงอู๋ไห่ที่อยู่ตรงนั้น
พวกเขามาถึงก็สามารถกินอาหารกลางวันได้เลย เฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนบ่งบอกออกมาว่าพวกเขามีความสุขกันมากทีเดียว พวกเขารอต่อแถวอย่างใจจดใจจ่ออีกประมาณ 40 นาทีแล้วเวลาอาหารกลางวันก็เริ่มขึ้นเสียที พวกเขาอยู่ในกลุ่มลูกค้าสิบคนแรก
พวกเขาทราบกฎของร้านหยวนโจวจึงไม่ได้สั่งอาหารให้เยอะเกินไป ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากจะลิ้มลองอาหารทุกจาน แต่พวกเขาก็ทราบว่าคำนึงถึงกำลังความสามารถของตนเองด้วย
“เฒ่าเหยียน นายคิดว่าซู่ซินกับเถ้าแก่น้อยหยวนจะสามารถทำได้ไหม?” เฒ่ากู่มองไปทางหยวนโจวที่กำลังทำอาหารในครัวอย่างจริงจัง
“ไม่มีปัญหาแน่นอน นายไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้เถ้าแก่น้อยหยวนมีชื่อเสียงขนาดไหนกันน่ะ” เฒ่าเหยียนกล่าวขึ้นมา “ครั้งหนึ่งเคยมีการประกวดทำอาหารระดับจังหวัดที่บ้านเกิดของฉันด้วย แล้วผู้จัดงานก็เตรียมที่จะเชิญเถ้าแก่น้อยหยวนมาเป็นกรรมการตัดสินแต่กลับถูกปฏิเสธ ก็อย่างที่นายรู้นั่นแหละนะ เชฟที่ได้รับเชิญให้มาเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันแบบนั้นส่วนใหญ่ก็ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 หรือ 50 ปีเข้าไปแล้ว แต่เถ้าแก่หยวนเป็นเชฟที่อายุน้อยที่สุดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแก่การเป็นกรรมการตัดสิน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฒ่ากู่พยักหน้าแล้วนึกถึงข้อมูลที่เขาเพิ่งจะได้รับจากผู้คนในวงการนี้ ชายหนุ่มผู้ไร้อารมณ์ผู้นี้เป็นคนที่ไม่อาจดูถูกได้เลย เขาคงมีความสุขกับชื่อเสียงอันโด่งดังในวงการทำอาหารด้วยวัยเพียงเท่านี้
นับเป็นเรื่องค่อนข้างยากทีเดียวที่คนๆหนึ่งจะกลายเป็นสุดยอดผู้เชี่ยวชาญในชีวิตจริง ตามหลักการแล้วเป็นเรื่องยากที่จะกลายเป็นสุดยอดผู้เชี่ยวชาญทั้งสองด้าน แต่อันที่จริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ก็มีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในอีกด้านได้อย่างง่ายดาย
ก็น่าจะเป็นแบบนั้น สภาพจิตใจเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากจริงๆหากผู้ใดอยากกลายมาเป็นสุดยอดผู้เชี่ยวชาญ
“ด้วยประสบการณ์และฝีมือด้านการแกะสลักน้ำแข็งของซู่ซิน เขาสามารถแกะสลักมังกรได้ถึงเจ็ดหรือแปดตัว พลาดจากผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น” เฒ่าเหยียนตัดสิน “ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะรู้ว่าใครจะเป็นผู้นำในขั้นตอนการทำผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าน่ะสิ”
มักจะมีผู้นำในขั้นตอนของการให้ความร่วมมืออยู่เสมอ ยิ่งไปต้องเอ่ยถึงศิลปวัตถุเลย รูปแบบของคนหนึ่งอาจจะกลบรูปแบบของอีกคนจนมิดเลยก็ได้
พวกเขาพูดคุยกันในร้านเป็นบางครั้งบางคราว เวลาส่วนใหญ่พวกเขาก็จะเอาแต่กินและกิน เฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนยัดเอาๆจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะอาหารของหยวนโจวอร่อยเกินไปก็น่าจะเป็นเพราะพวกเขาหิวมากไป ในที่สุดท้องของพวกเขาก็เลยป่องออกมา หากไม่ใช่เพราะช่วยกันกินก็คงยากที่จะลุกไหว
เวลาบ่ายสามโมง
ร้านก็แวดล้อมไปด้วยผู้คนมากมายราวกับถูกห่ออยู่ในเกี๊ยวก็ไม่ปาน ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ แต่คนที่รู้เรื่องก็ไปบอกต่ออีกคนหนึ่งทันทีและนี่ก็คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เมื่อหยางซู่ซินกับก้อนน้ำแข็งของเขาก็มาถึง เขาก็ต้องประหลาดใจกับจำนวนของผู้คนที่อยู่ตรงนั้น
“อาจารย์หยวน ผมกำลังนับจำนวนของวันนี้ให้คุณอยู่พอดีเลย” หยางซู่ซินกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง
“ไม่ต้องห่วงนะครับอาจารย์หยาง ผมจะทำให้สุดฝีมือเชียวล่ะครับ” หยวนโจวเองก็ตอบอย่างจริงจังเช่นกัน
หยางซู่ซินพยักหน้าแล้วเริ่มจัดเรียงและนับจำนวนมีดแกะสลักของเขา ในขณะเดียวกันหยวนโจวก็ให้หลิงหงกับคณะกรรมการควบคุมระเบียบแถวช่วยออกคำสั่งให้คนกลุ่มใหญ่หลีกทางให้ แล้วรถบรรทุกซึ่งเดิมทีจอดอยู่สุดถนนก็ลำเลียงก้อนน้ำแข็งไปตรงทางเจ้าร้านหยวนโจวด้วยความช่วยเหลือของคนงาน
การเคลื่อนย้ายเช่นนี้สร้างความสับสนให้หยางซู่ซินกับผู้ช่วยของเขาตลอดจนเฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนที่แสร้งทำตัวเป็นผู้ชมอยู่ด้านข้าง
ก้อนน้ำแข็งสองก้อนงั้นรึ? เตรียมก้อนหนึ่งเอาไว้ล่วงหน้าเผื่อการแกะสลักก้อนน้ำแข็งในครั้งแรกผิดพลาดหรืออย่างไรกัน?
คำพูดหลังจากนั้นของหยวนโจวช่วยตอบข้อสงสัยของหยางซู่ซินกับคนอื่นๆได้ในทันที
“ผลงานแกะสลักมังกรนพเก้า ผมหวังว่าพวกเราจะสามารถทำมันทั้งคู่ออกมาได้นะครับ”
พวกเขาจะสามารถทำมันทั้งคู่ออกมาได้งั้นรึ? หยางซู่ซินหาใช่คนโง่จึงทำให้เขาเข้าใจเหตุผลในไม่ช้า ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอีกต่อไปแล้วว่าเขาจะไม่เข้าใจเสียเองหรือว่าหยวนโจวจะเข้าใจผิด สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือเกาทัณฑ์ที่รั้งสายเอาไว้แล้วไม่อาจเอากลับคืนได้อีก ดังนั้นหยางซู่ซินจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่สูดลมหายใจลึกแล้วพยักหน้าพลางตอบ
“ขอแผนภาพโครงร่างให้ผมที”
หยางซู่ซินกล่าวเช่นนั้นกับผู้ช่วยของเขา จากนั้นเฟิ่งน้อยก็หยิบแผนภาพออกมาปึกหนึ่งอย่างรีบร้อนแล้วยื่นส่งให้เขา เดิมแผนภาพปึกนี้เป็นสำเนาของแต่ละแผนภาพแต่ละแผ่น ถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องอธิบายเกี่ยวกับแผนภาพโครงร่างก่อนที่พวกเขาจะทันได้เริ่มเสียก่อน
เนื่องจากตอนนี้พวกเขากำลังแยกกันทำงานอยู่จึงใช้การไม่ได้ หยางซู่ซินหยิบแผนภาพในมือแล้วเตรียมทำความเข้าใจกับมันอีกครั้ง
——-
ตีตี(滴滴) คือผู้ให้บริการเรียกรถแท็กซี่แบบออนไลน์คล้ายๆกับอูเบอร์