อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 851 สำเร็จแล้ว!
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 851 สำเร็จแล้ว!
แม้แต่คำกล่าวที่ว่า “แปดเซียนข้ามทะเลแต่ละคนต่างก็แสดงความสามารถพิเศษของตนเองออกมา” ก็ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายสิ่งที่หยวนโจวกับหยางซู่ซินกำลังทำได้เลย
พวกเขาทั้งคู่ต่างจดจ่อและพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด เวลาสองชั่วโมงของการแกะสลักทำให้หยางซู่ซินรู้สึกท้อใจเป็นอันมาก หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ การที่เขาเหงื่อชุ่มโชกในสภาพอากาศเช่นนี้ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเอาต้องจดจ่อมากขนาดไหน
หยวนโจวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่เลย เขาเองก็เหงื่อชุ่มโชกเช่นกัน ในที่สุดเขาก็เข้าใจคำพูดที่ก่อนหน้านี้ช่างทำผมเคยบอกกับเขาในร้านอาหารมาก่อนเสียที
ช่างทำผมบอกเขาว่าเมื่อตอนที่เขาถามลูกค้าว่าอยากได้ทรงผมแบบไหนแล้วตอบมาแบบกล้าๆกลัวๆว่า “อะไรก็ได้”
ลูกค้าอาจจะบอกว่า “อะไรก็ได้” แต่จริงๆแล้วสิ่งนี้กลับทำให้ช่างทำผมต้องพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม ตอนนี้หยวนโจวก็ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นเดียวกัน
เมื่อตอนที่กำลังแกะสลักก้อนเมฆอยู่นั้นจะต้องรู้สึกอิสระเสรี แต่แน่นอนว่าความอิสระเสรีเช่นนี้ย่อมต้องให้ความสนใจกับรายละเอียดเพิ่มเติม ไม่อาจแกะสลักตามแต่ใจต้องการและไม่อาจทำให้เกินไปนักในแง่มุมใดก็ตามของขั้นตอนการแกะสลัก
ถ้าหากใช้แรงมากเกินไป ผลงานแกะสลักก็จะให้ความรู้สึกหนักหน่วง แต่หากเขาใช้แรงน้อยเกินไปก็จะไม่บรรลุผลสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงต้องรักษาสมดุลที่แท้จริงเอาไว้อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเจ็บข้อมืออย่างรุนแรง
โชคดีที่เขาออกกำลังกายทุกวันอยู่ไม่ขาด มิฉะนั้นการแกะสลักอย่างหนักในช่วงเวลาสั้นๆเช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ร่างกายของเขาไม่อาจทานทนได้เป็นแน่แท้
ต่อจากก้อนเมฆอันกว้างใหญ่ไพศาลและล้ำลึก หยวนโจวก็เอาแต่จดจ่ออยู่กับการแกะสลักต้นไม้
ในผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าของหยวนโจว ไม่มีทั้งโลกและสวรรค์ซ้ำยังไม่มีแม่น้ำหรือมหาสมุทรเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นก้อนเมฆที่เขาแกะสลักจึงดูไม่เหมือนก้อนเมฆเอาเสียเลย
ต้องยอมรับในภูมิปัญญาของคนสมัยโบราณจริงๆ คนสมัยโบราณคิดหาหนทางจัดการกับเรื่องนี้ด้วยสองวิธี ดังเช่นที่เห็นได้ชัดเจนจากภาพเขียนสมัยโบราณทั้งหลายเมื่อใดก็ตามที่มีก้อนเมฆก็จะต้องมีต้นไม้ด้วย
“ฟู่… ฉันยังต้องฝึกฝนการแกะสลักน้ำแข็งให้มากขึ้นเสียแล้ว ฉันยังไม่อยู่ในระดับที่จะสามารถทำงานหนักให้เหมือนกับเป็นงานเบาๆได้เลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการทำงานเบาๆให้เหมือนกับเป็นงานหนักๆเลย” หยวนโจวถอนหายใจ
อันที่จริงแล้วหยวนโจวรู้สึกมั่นใจอยู่ลึกๆโดยไม่ต้องสงสัยเลย ไม่ถึงสองเดือนนับตั้งแต่เขาเริ่มฝึกฝนการแกะสลักน้ำแข็ง เขาก็สามารถมาถึงระดับนี้ได้ในสองเดือนทว่าเขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจเอาเสียเลย ถ้าหากผู้อื่นได้ยินเช่นนี้เข้าก็คงแทบอยากตีเขาให้ตายแล้ว
พูดง่ายๆก็คือต้นไม้ส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ประกอบกับก้อนเมฆในงานศิลป์จะเป็นต้นสนเสียมาก แต่ในทางปฏิบัติจริงน่าจะมีความแตกต่างระหว่างการเขียนภาพและการแกะสลักอยู่บ้างแหละน่า
เมื่อตอนที่กำลังเขียนภาพจะใช้แปรงเพื่อลงเส้นขอบใบไม้และกิ่งก้านเขียวชอุ่ม แต่หากพยายามที่จะทำเช่นเดียวกันเมื่อตอนที่กำลังแกะสลักน้ำแข็งก็อาจจะทำให้ผลงานแกะสลักทั้งชิ้นละลายเอาได้ง่ายๆแทน พูดง่ายๆก็คือกิ่งก้านและใบบางเกินไปและชิ้นน้ำแข็งบางๆก็ละลายได้ง่ายมากๆเลยด้วย
ดังนั้นเมื่อวันก่อนหยวนโจวจึงตัดสินใจที่จะใช้ต้นท้อแทน ที่จริงแล้วต้นท้ออยู่ในช่วงฤดูหนาว ทำไมถึงต้องเป็นต้นท้อด้วยเล่า? เพราะมีเพียงในฤดูหนาวเท่านั้นที่ต้นท้อจะมีกิ่งก้านมากมาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงจะสามารถหลีกเลี่ยงการแกะสลักส่วนใบเล็กๆน้อยๆพวกนั้นและเข้าถึงสมดุลที่แท้จริงได้
อันที่จริงช่างฝีมือเป็นจำนวนมากไม่ทราบว่าพวกเขาจะรังสรรค์ชิ้นงานศิลปะที่พวกเขาทำออกมาเช่นไรดี พวกเขาจึงได้แต่ให้ความสนใจและใส่ใจในทุกๆรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เมื่อมาถึงขึ้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผลงานชิ้นเอกก็จะถูกรังสรรค์ขึ้นมา
ขวับ! ขวับ! ขวับ!
หยวนโจวโบกสะบัดมีดสามครั้งอย่างฉับไวเพื่อไสเอาเศษน้ำแข็งออกไป ทันใดนั้นกิ่งก้านอันแสนละเอียดประณีตก็ถูกสลักเสลาขึ้นมา
ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะแกะสลักด้วยเทคนิคที่ออกจะแหกคอกไปสักหน่อยที่เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง แต่ก็ยังถือว่ามีเทคนิคลับเป็นของตนเองแหละน่า สิ่งที่เขาสาธิตให้เห็นเมื่อก่อนหน้านี้เป็นเทคนิคที่แม่นยำที่เขาคิดค้นขึ้นมาหลังจากได้รับแรงบันดาลใจมาจากการผ่าแตงโม ด้วยความหลงตัวเองเข้าเส้น หยวนโจวจึงตั้งชื่อเทคนิคนี้ว่าหงสาพยักหน้าสามครั้ง
ทำไมถึงเลือกชื่อนี่น่ะเหรอ? ก็เพราะหยวนโจวคิดว่ามันเท่ห์น่ะสิ
อันที่จริงแล้วผู้คนรอบตัวพวกเขานั้นหาได้รู้เรื่องรู้ราวในการแกะสลักน้ำแข็งแต่อย่างใดไม่ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกประทับใจในเทคนิคลับที่หยวนโจวสาธิตออกมาอยู่ไม่เสื่อมคลาย
“มีแต่เถ้าแก่หยวนเท่านั้นแหละที่สามารถใช้มีดได้ยอดเยี่ยมเช่นนั้น”
“ดูเหมือนกับว่าเขากำลังถ่ายหนังอยู่เลย เทคนิคของเขาเหนือกว่าขั้นสุดยอดไปแล้วล่ะ การแกะสลักก้อนน้ำแข็งไม่ต่างอะไรกับการแกะสลักแครอทเลย ต้องใช้ทั้งเรี่ยวแรงและความแม่นยำ นั่นช่างเป็นวิธีการที่ยากเกินไปแล้ว”
“เถ้าแก่หยวนสามารถทำได้ทุกอย่างเลยตอนที่ถือมีดทำครัวอยู่ในมือ”
ผู้คนต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการสาธิตฝีมือของหยวนโจวโดยสิ้นเชิง ในความคิดของพวกเขาคงจะเป็นเรื่องแปลกหากเถ้าแก่หยวนจะไม่ยอดเยี่ยมเสียขนาดนั้น
แน่นอนว่าผู้คนส่วนหนึ่งย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัยแทน
“อืม นั่นดูเหมือนจะน่าประทับใจ แต่มองไปที่หยางซู่ซิน เขาก็แค่ต้องการหัวมังกรเก้าหัวเพื่อให้ผลงานแกะสลักของเขาเสร็จสมบูรณ์ ทำไมผลงานแกะสลักของเถ้าแก่หยวนถึงยังรู้สึกคลุมเครือมากอยู่เลยนะ? ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาจะแพ้หรือเปล่า?”
“พูดเหลวไหลอะไรกัน? เถ้าแก่หยวนจะแพ้ได้ยังไง? นายเคยเห็นเถ้าแก่หยวนแพ้ด้วยรึ?”
มีคนอยู่สี่กลุ่มคือ ลูกค้าของร้าน ผู้พักอาศัยละแวกข้างเคียง ผู้มาเยือนถนนเถ่าซืออยู่บ่อยๆและคนเดินเท้าที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนเอาไว้ได้
นอกเหนือไปจากกลุ่มสุดท้ายแล้ว สามกลุ่มแรกก็ถือว่าหยวนโจวเป็นคนในครอบครัว สำหรับพวกเขาแล้วหยางซู่ซินก็เป็นแค่คนนอก ดังนั้นพวกเขาจึงคอยสนับสนุนหยวนโจว
อย่างที่กล่าวมาแล้ว ผลงานแกะสลักของหยวนโจวก็ดูค่อนข้างคลุมเครือทีเดียว ดังนั้นหลังจากที่เขาทำต้นท้อเสร็จแล้วก็เริ่มจัดผลงานแกะสลักทั้งหมด
“ด้วยต้นไม้พวกนี้ ก้อนเมฆก็จะดูเด่นชัดมากขึ้น”
“และมังกรที่ติดตามอยู่หลังก้อนเมฆ”
“สุดท้ายมังกรและก้อนเมฆก็จะมาบรรจบเข้าด้วยกัน”
หยางซู่ซินที่อยู่ด้านข้างเองก็อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของผลงานแกะสลักของเขาแล้ว เขาทำมังกรเสร็จไปแปดตัวแล้ว มังกรตัวสุดท้ายก็คือมังกรขนดที่ยังขาดหัวมังกรไป มังกรขนดตัวนี้จะต้องอยู่ตรงกึ่งกลางของมังกรทั้งเก้าตัวทั้งยังมีขนาดใหญ่มากที่สุดอีกด้วย ชั่วเวลาสั้นๆมันเป็นมังกรที่แกะสลักได้ยากที่สุดเลยทีเดียว
อาจดูเหมือนว่าหยางซู่ซินห่างจากความสำเร็จเพียงก้าวเดียวเท่านั้นแล้ว หากเขาแกะสลักมังกรตัวสุดท้ายไม่สำเร็จแล้วล่ะก็ผลงานทุกชิ้นคงได้พังพินาศเป็นแน่ ในขณะนี้แรงกดดันของเขากำลังเพิ่มขึ้นผสานเข้ากับความเหนื่อยล้าของเขา
ผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าเป็นที่ยอมรับจากช่างแกะสลักน้ำแข็งมากมายมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าเป็นผลงานที่ยากจะทำให้เสร็จสมบูรณ์ได้มากที่สุด พวกเขาได้ใช้เวลาไปแล้วถึงสามชั่วโมง
ลืมเรื่องอื่นไปก่อน แม้ว่าจะยืนถือมีดโบกสะบัดไปมากลางอากาศอยู่ 180 นาทีเป็นใครก็คงต้องรู้สึกเหนื่อยล้ามากอยู่แล้ว สามารถจินตนาการได้เลยว่าการแกะสลักน้ำแข็งจะต้องเหนื่อยล้ามากเพียงใดเมื่อต้องมุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับมัน
ดังนั้นนี่ก็คือการทดสอบครั้งยิ่งใหญ่ของทั้งหยวนโจวกับหยางซู่ซิน พูดตามตรงก็คือหากไม่ใช่เพราะหยางซู่ซินไม่อยากแพ้หยวนโจวแล้วล่ะก็เขาคงได้ยอมแพ้ไปแล้วล่ะ ส่วนหยวนโจวนั้น เขามักจะเป็นคนดื้อรั้นอยู่เสมอ เขารู้สึกว่าไม่อาจยอมแพ้เช่นนั้นได้ จิตใจของเขาหาเคยเกรงกลัวการปะทะกันซึ่งๆหน้า หากฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมแพ้เขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้เช่นกัน
และเวลาก็ผ่านไปสามชั่วโมงครึ่งทั้งแบบนั้น
โลกถูกแบ่งออกเป็นเก้าส่วน และทั้งเก้าส่วนก็ได้กลายเป็นมังกรนพเก้าที่เหลือบแลไปยังโลก นี่คือสาระสำคัญของผลงานของหยางซู่ซิน มังกรที่เขามีก็คือ มังกรเหิน มังกรทะยาน มังกรในเมฆา มังกรขนด มังกรม้วนตัว มังกรหมอบ มังกรประจัญบาน มังกรคำรามและมังกรกวนสมุทร ตัวที่พุ่งขึ้นฟ้าคือมังกรเหิน มังกรในเมฆาและมังกรคำรามส่วนตัวที่พุ่งลงพื้นดินคือมังกรม้วนตัว มังกรหมอบและมังกรขนด
ในแม่น้ำคือมังกรประจัญบาน มังกรทะยานและมังกรกวนสมุทร โดยที่มังกรประจัญบานแลดูดุร้ายด้วยกรงเล็บที่กวัดแกว่งไปมาตรงหน้าราวกับทุกเศษเสี้ยวของท้องฟ้าจะถูกกวาดล้างด้วยกรงเล็บในครั้งเดียว ส่วนมังกรหมอบจะนอนอยู่กับพื้นเงียบๆดูเหมือนจะผสานเข้ากับขุนเขาราวกับขุนเขาเป็นส่วนหนึ่งของมังกรเองทั้งยังดูเหมือนมังกรที่เกิดขึ้นท่ามกลางขุนเขาอีกด้วย
สุดท้ายยังมีมังกรขนดที่ดูเหมือนจะกำลังขนดตัวราวกับงูเป็นบางครั้งบางคราว เนื่องจากมังกรมีส่วนหนึ่งที่คล้ายกับลำตัวงูที่มีการเพิ่มกรงเล็บเข้ามา วิธีแก้ปัญหาของหยางซู่ซินสำหรับความคล้ายคลึงกับงูก็คือการเผยส่วนหางของมังกรขนดออกมา ถึงแม้จะบอกว่าเมื่อสามารถมองเห็นหัวมังกรได้แต่ส่วนหางก็จะถูกซ่อนเอาไว้ ทว่ามังกรขนดกลับมีทั้งส่วนหัวและหางที่เผยออกมาซึ่งดูไปแล้วช่างทรงพลังอย่างหาใดเปรียบมิได้
มังกรนพเก้าที่โอบล้อมท้องฟ้า พื้นดินและมหาสมุทรให้ความรู้สึกว่าจะไม่มีมังกรตัวที่สิบอีกเนื่องจากเก้าตัวก็เป็นจำนวนที่ครบสมบูรณ์แล้ว
ในที่สุดหยางซู่ซินก็แกะสลักดวงตาของมังกรขนดอันบ่งบอกถึงความสำเร็จของผลงานของเขาออกมา
ในขณะเดียวกัน หยวนโจวก็ประกอบมังกรและก้อนเมฆที่บ่งบอกถึงความสำเร็จของผลงานของเขาออกมาเช่นกัน