อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 853 มังกรที่ซุ่มซ่อนอยู่
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 853 มังกรที่ซุ่มซ่อนอยู่
เมื่อหยางซู่ซินเห็นท่าทีตอบสนองของผู้คนแล้ว เขาก็จินตนาการว่าผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าของหยวนโจวจะออกมามีลักษณะเช่นไรกันแน่ เขาสงสัยว่าจะเป็นรูปแบบที่ยึดถือขนบธรรมเนียมอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับเขาหรือว่าจะรังสรรค์ผลงานขึ้นมาใหม่แล้วแกะสลักปลามังกรนพเก้าอันเป็นผลงานแกะสลักสมัยใหม่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงหรือแม้แต่กิ้งก่านพเก้าที่เป็นที่นิยมมากท่ามกลางคนหนุ่มคนสาว สิ่งเหล่านี้หาได้สร้างความประหลาดใจแก่หยางซู่ซินแต่อย่างใดเนื่องจากเขามีความมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะได้
เขามองว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างทีเดียว แม้แต่ลูกของเขาเองก็ขอแค่อย่าได้สอบตกก็พอแทนที่จะคาดหวังให้ได้เกรดดีๆอย่างครอบครัวคนอื่นเขา หยางซู่ซินมีความมั่นใจว่าคงไม่มีบิดามารดาคนใดเปิดกว้างได้เท่ากับเขาอีก
หยางซู่ซินเตรียมใจเอาไว้แล้วที่จะเห็นบางสิ่งบางอย่าง แต่ทันทีที่เขามองเห็นผลงานของหยวนโจวเข้า รูม่านตาของเขาก็หดตัวลงเนื่องจากตะลึงงันไปทั้งๆที่ยังยืนอยู่
เขาถึงกับตกตะลึงไปแล้วจริงๆเนื่องจากเขาโพล่งออกมาว่า “มังกรเมฆางั้นรึ? คุณแกะสลักมังกรเมฆาเลยเชียวรึ?”
หยวนโจวพยักหน้าแล้วไม่ได้พูดอะไรเนื่องจากผลงานของเขาสำคัญกว่าคำพูดเสียอีก
ในประเทศจีนมีหลายสิ่งหายอย่างแยกระหว่างทางเหนือและใต้ออกจากกัน เฉกเช่นเดียวกับที่นำมาใช้กับด้านการแกะสลักน้ำแข็ง มังกรเมฆาเป็นตัวแทนของการแกะสลักน้ำแข็งของทางใต้เช่นเดียวกับมังกรเขาก็เป็นตัวแทนของการแกะสลักน้ำแข็งของทางเหนือ ถึงแม้ว่าหยางซู่ซินจะมาจากทางเหนือก็ตามที แต่เขาก็ยังชื่นชมมังกรเมฆาที่มีชื่อเสียงมานานแล้ว
ทางใต้มีคำกล่าวว่า “มังกรเมฆาไม่ชอบอยู่กันเป็นคู่” ที่มาของคำกล่าวประโยคนี้ความจริงแล้วก็คือนับเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะแกะสลักมังกรเมฆาสองตัวในรวดเดียว แม้แต่การแกะสลักเพียงแค่ตัวเดียวก็นับว่ายากเอาเรื่องพออยู่แล้ว ทว่าตอนนี้กลับมีมังกรเมฆาตั้งเก้าตัวอยู่ที่นี่เชียวนะ
“ตระกูลมังกรนพเมฆานับเป็นหนึ่งในสองผลงานแกะสลักน้ำแข็งชั้นยอดของทางใต้เลยก็ว่าได้ ในที่สุดฉันก็ได้มีโอกาสมาเห็นด้วยตาตัวเองก็วันนี้แหละ” หยางซู่ซินถึงกับถอนหายใจซ้ำๆอยู่แบบนั้น มังกรแต่ละตัวอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆ มังกรและก้อนเมฆบรรจบเข้าหากันอย่างสมบูรณ์แบบชัดเจนเช่นเดียวกัน เมื่อหยางซู่ซินเห็นเช่นนี้ ความมั่นใจในชัยชนะของเขาก็สูญสิ้นไป
“สิบเอ็ดคะแนนครับ”
หยางซู่ซินให้คะแนนหยวนโจว 11 คะแนนเต็ม 10 คะแนน จะว่าไปหยางซู่ซินก็นับว่ากำชัยชนะอยู่แถมยังสามารถทำลายโซ่ตรวนที่พันธนาการตัวเองได้อีกด้วย แต่ในการแข่งขันครั้งนี้ เขากลับรู้สึกว่ายังคงพ่ายแพ้ให้หยวนโจวอยู่ดี
พูดกันจริงๆก็คือวันนี้หยวนโจวทำได้ดีกว่าปกติเยอะเลยทีเดียว ถ้าหากบอกให้เขาแกะสลักแบบเดิมอีกครั้งก็คงมีโอกาสที่เขาจะประสบความล้มเหลวมากเชียวล่ะ
คะแนนที่หยวนโจวให้แก่ผลงานแกะสลักของหยางซู่ซินคือ 10 คะแนน
หยางซู่ซินค่อยๆสงบสติอารมณ์อันยากที่จะเข้าใจลงไป เขาวางแผนที่จะค่อยๆลำเลียงผลงานแกะสลักของเขาออกไปด้วย ส่วนเฒ่าเหยียนที่อยู่ทางด้านข้างก็ลอบต่อสายอยู่
สำหรับหยวนโจวนั้นศีรษะของเขาได้ก้มลงต่ำเสียแล้ว ส่วนอีกคนก็เหนื่อยล้าเอามากๆ ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกพอใจในตนเองเนื่องจากเขาใช้วิธีพลิกแพลงกับผลงานแกะสลักน้ำแข็งของเขาได้เป็นผลสำเร็จ แต่มีอยู่ด้านหนึ่งของผลงานแกะสลักน้ำแข็งของเขาที่หยางซู่ซินกับคนอื่นๆไม่ทันสังเกตเห็น
จากทางด้านหน้าไม่ว่าใครก็ย่อมสามารถมองเห็นมังกรเมฆาทั้งสามตัวได้ จากทางด้านซ้ายจะมีมังกรเมฆาสองตัวและจากทางด้านหลังก็จะมีมังกรเมฆาอีกสองตัวเช่นกัน สุดท้ายยังมีมังกรเมฆาอีกตัว ทั้งหมดจึงมีมังกรอยู่เพียงแค่แปดตัวเท่านั้น หยางซู่ซิน ฝูงชนและแม้แต่เฒ่าเหยียนกับเฒ่ากู่ก็ยังไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งนี้เลย
หยางซู่ซินลืมเรื่องนั้นไปเพราะเขากำลังตกตะลึงหลังจากเห็นตระกูลมังกรนพเมฆาตรงหน้าตนเองแล้ว ส่วนฝูงชนก็มีคนเยอะเกินกว่าจะมองดูให้ดีจากทุกมุม นอกจากนี้บางคนยังอยู่ห่างเกินกว่าที่จะมองเห็นได้อีกด้วย
ส่วนเฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนต่างยุ่งเกินกว่าจะวางแผนของพวกเขาเอง ดังนั้นมังกรจึงประกอบไปด้วยลายเส้นเดียวที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผลงานแกะสลักจึงทำให้ไม่เป็นที่สังเกต อันที่จริงแล้วนอกเหนือไปจากตระกูลมังกรนพเมฆา ผลงานแกะสลักชิ้นนี้ก็ยังมีชื่อว่าการแปลงกายเก้าแบบของมังกรตัวเดียวท่ามกลางหมู่เมฆ
หยางซู่ซินเพิ่งค้นพบเรื่องนั้นในภายภาคหน้าหลังจากประสบอุบัติเหตุ ในตอนนั้นเอง เขาก็มีความรู้สึกยุ่งยากใจยิ่ง
อย่างไรเสียนั่นก็เป็นเรื่องในภายภาคหน้าหาใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใดไม่ หยางซู่ซินได้ประโยชน์มากมายจากการแข่งขันครั้งนี้ ยกตัวอย่างเช่นเขาทราบว่าควรเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อบุตรชายของตนเอง
แล้วจะมีทัศนคติใหม่เป็นอย่างไรกัน? หยวนโจวอยากรู้ให้มากขึ้น
เนื่องจากมีคณะกรรมการควบคุมระเบียบแถวคอยช่วยออกคำสั่งจึงทำให้ผู้คนเป็นจำนวนมากเริ่มแยกย้ายกันไป หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างสงบลงแล้ว เฒ่าเหยียนก็เข้ามาหาหยวนโจวเพื่อสนทนาอะไรบางอย่าง
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นการแข่งขันกับผู้เชี่ยวชาญจึงออกมาน่าพึงพอใจเป็นอันมาก หยวนโจวเองก็รู้สึกสบายทั้งกายและใจหลังจากการแข่งขัน ในคืนนั้นฝนตกพรำๆ
ยามราตรีมาถึง
ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะเหนื่อย แต่เขาก็ยังต้องเปิดร้านตอนเวลาอาหารค่ำอยู่ดี
การรักษาสภาพผลงานแกะสลักน้ำแข็งเป็นเรื่องยากลำบากมากเอาการทีเดียวและร้านหยวนโจวก็ไม่มีสถานที่พอที่จะทำเช่นนั้นได้
ดังนั้นภายใต้ข้อเสนอของเฒ่าเหยียนเมื่อเช้าวันนี้ ตระกูลมังกรนพเมฆาจึงถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นการชั่วคราวที่พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของเฒ่าเหยียน
ในฐานที่เป็นนักสะสมที่มีชื่อเสียง พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของเฒ่าเหยียนค่อนข้างมีชื่อในวงการเช่นกัน โดยพิพิธภัณฑ์จะเลือกให้เข้าชมได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เฒ่าเหยียนเองก็ยื่นข้อเสนอที่จะให้ความช่วยเหลือในการเก็บรักษาผลงานแกะสลักน้ำแข็งชิ้นนี้ ในทางหนึ่ง นี่คือการยอมรับคุณค่าของตระกูลมังกรเก้าเมฆา นอกเหนือไปจากคำเชิญของหยางซู่ซิน อีกเหตุผลหนึ่งที่เฒ่าเหยียนสู้อุตส่าห์เดินทางไกลมาจากทางเหนือก็เพื่อเพิ่มของสะสมในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของเขา
นี่เป็น “แผน” ที่เอ่ยถึงกันก่อนหน้านี้ ส่วนแผนของเฒ่ากู่ก็หาใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว เฒ่าเหยียนได้ยื่นข้อเสนอที่จะเก็บรักษาผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าของหยางซู่ซินเอาไว้ด้วยเช่นกัน แต่ในฐานที่เป็นช่างแกะสลักน้ำแข็งที่มีชื่อเสียง แล้วหยางซู่ซินจะไม่มีสถานที่เอาไว้เก็บรักษาผลงานแกะสลักน้ำแข็งได้อย่างไรกันเล่า? ดังนั้นเฒ่าเหยียนจึงอดได้ผลงานแกะสลักของเขาได้
เนื่องจากหยวนโจวก็บรรลุเป้าหมายของตนเองด้วยผลงานแกะสลักชิ้นนั้นไปแล้วทั้งยังสามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เขาจึงรู้สึกค่อนข้างผ่อนคลายมากทีเดียว ดังนั้นเขาจึงเริ่มเตรียมวัตถุดิบในการทำบาร์บีคิวต่อ
ถูกต้องแล้ว คืนนี้จะเสิร์ฟบาร์บีคิวเนื่องจากฝนกำลังจะตก
โชคดีที่การพยากรณ์อากาศของเจ้าระบบแม่นยำทีเดียว หยวนโจวสังเกตพบว่าเมื่อเช้ามีเหล้าที่จะเสิร์ฟคืนนี้ไม่มากนัก
ในยามค่ำคืน ลูกค้าหลายคนมาถึงแล้ว พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อบาร์บีคิว
ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวไม่เคยจำหน่ายทั้งบาร์บีคิวและเหล้าไปพร้อมๆกัน เมื่อฝนตกเขาถึงจะจำหน่ายบาร์บีคิว
และเมื่อตอนที่เขากำลังจำหน่ายบาร์บีคิวก็จะไม่จำหน่ายเหล้า นี่เป็นเรื่องประหลาดของร้านหยวนโจวเลยก็ว่าได้
ลูกค้าเข้าใจกฎข้อนี้ดี แต่พักนี้สิ่งต่างๆค่อนข้างแตกต่างกันออกไป ร้านเริ่มจำหน่ายเบียร์และราคาของเบียร์เป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายสามารถเอื้อมถึงได้
ด้วยเหตุนั้น จำนวนของลูกค้าที่มาดื่มกินยามค่ำคืนจึงเพิ่มขึ้นไปด้วย
แม้แต่เฉินเหว่ยก็ยังบ่นออกมาเลยว่า “พักนี้ฉันรู้สึกว่าจะร้างราจากการดื่มไปนานเลย”
แต่อันที่จริงแล้วเฉินเหว่ยดื่มเยอะขึ้นต่างหากเล่า แต่ละคนได้รับอนุญาตให้ดื่มเบียร์สดได้ห้าแก้วทว่ากลับไม่มีใครสามารถดื่มได้หมดสักคนเดียว ผู้ที่ไม่สามารถดื่มได้หมดก็จะจำหน่ายโควต้าที่เหลือไป
อย่างไรเสียหยวนโจวก็ไม่ได้สั่งห้ามมิให้แบ่งโควตาให้ผู้อื่นเนื่องจากเขาก็มีเหล้าอยู่อีกมาก เมื่อดื่มหมดเวลาก็ถือว่ายามค่ำคืนสิ้นสุดลงเช่นกัน
เพราะฉะนั้นกิจกรรมของธุรกิจเล็กๆจึงก่อตัวขึ้น ผู้ที่ได้รับหมายเลขให้มาดื่มยามค่ำคืนจะต้องชำระเงินสำหรับโควต้าสูงสุดที่ได้รับอนุญาตต่อคน จากนั้นคนผู้นั้นก็จะดื่มเบียร์แก้วหนึ่งก่อนที่จะจำหน่ายอีกสี่แก้วที่เหลือ
แน่นอนว่าเนื่องจากทั้งสามหมายเลขที่กำหนดให้ในแต่ละวันหาได้ส่งผลกระทบมากเกินไปนักจึงไม่มีใครจ่ายเงินค่าแก้วที่เหลือเช่นกัน
ดังนั้นเฉินเหว่ยจึงดื่มมากขึ้นแทนที่จะน้อยลง แต่เนื่องจากทุกวันนี้มีคนมาต่อสู้แย่งชิงหมายเลขมากขึ้นเรื่อยๆจึงเป็นเรื่องยากยิ่งที่เขาจะได้มาสักหมายเลข
“เลิกแต่งเรื่องเถอะน่า ไม่ใช่ว่านายก็เป็นคนหนึ่งที่มาที่นี่อยู่ทุกวี่ทุกวันก็เพื่อรังควานผู้อื่นเพราะเหล้าหรอกหรือไงกัน?” อู๋ไห่ตอบโต้โดยไม่ลังเล “ฉันไม่สนใจที่จะร่วมมือกับคนอย่างนายหรอกนะ”
“ไปให้พ้นเลยนะ เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋ นายกล้าพูดว่าฉันมารังควานผู้อื่นก็เพราะเหล้างั้นรึ? แล้วนายมารังควานผู้อื่นเพราะอาหารทำไมกันเล่า?” เฉินเหว่ยกล่าวด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างอับอายเมื่อตอนที่ตะโกนออกไป
“นั่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์อย่างฉันนี่นา” อู๋ไห่ตอบ “มีหลายสิ่งที่เมื่อเห็นเข้าแล้ว มือของฉันก็จะเอื้อมเข้าไปหาโดยอัตโนมัติ ช่วยไม่ได้จริงๆ”
“ความรู้สึกละอายของนายไปที่ไหนหมดแล้วนะ?” เฉินเหว่ยถึงกับพูดไม่ออกไปแล้ว
“ตอนนี้นายกำลังทำให้เกิดคำวิจารณ์ในตัวนายอยู่นะ จะต้องให้ฉันบอกนายสักกี่ครั้งกัน? ว่าฉันไม่รู้จักอาย ฉันไม่รู้จักอายหรอกนะ ทำไมนายถึงเอาแต่ถามฉันอยู่ได้? ทำไมนายชอบบังคับให้ฉันทำสิ่งที่ไม่ต้องการอยู่เรื่อยเลยเล่า?” อู๋ไห่บ่นด้วยความทุกข์ใจพลางลูบหนวดเคราแล้วขมวดคิ้วไปด้วย
“เอาล่ะ นายชนะแล้ว” เฉินเหว่ยยอมแพ้แล้ว