อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 866 ขอให้เธอมีความสุข(ต่อ)
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 866 ขอให้เธอมีความสุข(ต่อ)
“หลิงหง นายจะเสียใจหรือเปล่าที่ต้องไปร่วมงานแต่งงานของแฟนเก่าตัวเองน่ะ?” พี่วั่นกล่าวด้วยความลังเล
“อ่า นายจะเสียใจไหมนะ? ไม่ใช่ว่านายบอกว่าเป็นรักแท้ของตัวเองหรือไง?” อู๋ไห่กล่าวเสริม
“นายคงไม่ไปขโมยเจ้าสาวหรอกใช่ไหม?” อู๋ไห่ลองเดาสุ่มก่อนที่หลิงหงจะทันได้ตอบคำถามแรก
เมื่อได้ยินการเดาสุ่มของอู๋ไห่ แม้แต่หยวนโจวก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองหลิงหง
ถึงอย่างไรในอดีตก็มักจะเกิดเหตุการณ์ฉุนขาดเสียจนทำเรื่องที่ไม่อาจควบคุมได้เพื่อหญิงงามอยู่บ่อยครั้ง แต่หยวนโจวก็ยังเกรงว่าหลิงหงอาจจะถูกตีตายได้หากเขากล้าขโมยเจ้าสาวจากงานแต่งงาน ดังนั้นหลิงหงจึงต้องมีความรอบคอบในเรื่องนั้นให้มาก แต่หากเขาตัดสินใจทำเช่นนั้นขึ้นมาแล้วล่ะก็หยวนโจวคงได้แต่ต้องพาตัวเขามาแล้วล่ะ เขาอยากชมดูเรื่องสนุกโดยไร้ความกังวล
“ไม่แน่นอนอยู่แล้วล่ะน่า” หลิงหงมองอู๋ไห่ด้วยความดูถูกดูแคลนแล้วกล่าวยืนยัน
“งั้นก็ไปเลยสิ นายต้องมาถามให้มากความทำไมกันเล่า?” อู๋ไห่กล่าวขึ้นมา
“คนรักเก่าของฉันกำลังจะแต่งงานส่วนฉันดันไม่ใช้เจ้าบ่าว แต่ฉันเป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจออก ดังนั้นฉันก็เลยจะไปอวยพรให้เธอไงล่ะ” หลิงหงกล่าวอย่างมีวาทศิลป์
“ออกมาจากใจจริงเลยใช่ไหมเนี่ย?” อู๋ไห่มองหลิงหงอย่างไม่อยากเชื่อ โดยมีสีหน้าหวาดระแวงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“หลิงหง นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” พี่วั่นถามอย่างสุภาพ
“อืม ผมไม่เป็นไร แน่นอนว่าผมย่อมทำเรื่องนั้นออกมาจากใจจริงอยู่แล้วล่ะ ขอเพียงแค่เธอมีความสุข ผมก็โล่งใจแล้วล่ะ” หลิงหงส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้นมา “ไม่ใช่ว่ามีเนื้อร้องอยู่ในบทเพลงหรือไง? ขอแค่เธอมีชีวิตที่ดีกว่าฉัน…”
“ถ้าหากนายรู้สึกเสียใจไม่ต้องไปก็ได้นะ” พี่วั่นทนเห็นหลิงหงพูดแบบนั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจึงให้คำแนะนำออกมา เธอนับได้ว่ามีประสบการณ์ในเรื่องนี้มากทีเดียว
“ไม่ได้หรอก ผมต้องไปให้ได้ นับเป็นเรื่องค่อนข้างดีทีเดียวที่ได้เห็นเธอแต่งงานอย่างมีความสุข แม้ว่าผมจะไม่แน่ใจว่ารักเธอจริงๆหรือเปล่า แต่มันก็เป็นอนุสรณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้รำลึกถึงวัยเยาว์ที่หายไปของผมล่ะ” น้ำเสียงของหลิงหงเปรียบประหนึ่งดัง “ซุปไก่” ที่ช่วยปลอบโยนจิตวิญญาณ
“จึ๊ จึ๊ น่าคลื่นไส้ชะมัดเลย” อู๋ไห่ทำเสียงแปลกๆที่มีความหมายอันคลุมเครือ เขาสะบัดตัวราวกับจะขจัดความน่าขนลุกออกไปให้พ้น
“โชคดีนะ” พี่วั่นกล่าวขึ้นมา
“นายมีแฟนตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมไม่พาไปงานแต่งงานกับนายสักคนเล่า? แบบนั้นไม่ดีหรือไง?” อู๋ไห่กล่าวเช่นนั้นออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่ล่ะ ฉันอยากไปที่นั่นคนเดียวมากกว่า” หลิงหงกล่าวอย่างชาญฉลาด “ถ้าหากทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี ฉันอาจจะกลับมากินอาหารค่ำที่นี่นะ”
“เอาล่ะ ตอนนี้มากินกันต่อเถอะนะ คืนนี้ฉันจะไปดื่มนะพอดีซื้อเบียร์มาแล้วด้วย” หลิงหงกล่าวพลางอมยิ้มโดยปราศจากสีหน้าฝืนใจบนใบหน้าของตนเอง
“โอเค งั้นฉันไปไปร่วมงานกับนายนะ” เมื่อพี่วั่นเห็นว่าหลิงหงเป็นปกติและสบายใจมากขึ้นแล้ว เธอก็พยักหน้าให้กับเขา
“ฉันก็เหมือนกัน อยู่ให้ห่างจากเบียร์ของฉันซะ” อู๋ไห่โชว์ฟันตัวเองแล้วเริ่มปกป้องอาหารของเขาทันที
จากนั้นหลิงหงกับอู๋ไห่ก็เริ่มเถียงกันอีกครั้ง
อันที่จริงแล้วหลิงหงกับพี่วั่นไม่ได้คุยกันเสียงดังเลยแถมอู๋ไห่ยังเจตนาลดเสียงให้เบาลงเมื่อตอนที่พยายามจะพูด ผลที่ได้ก็คือแม้แต่บรรดาลูกค้าที่จมจ่อมกับอาหารอร่อยที่อยู่ข้างๆพวกเขาก็ยังได้ยินไม่ชัดนัก แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมไม่ใช่หนึ่งในนั้นเนื่องจากเขามีหูตาอันเฉียบคมเป็นพิเศษ
บางทีอู๋ไห่ก็ทราบดีว่าควรทำตัวเช่นไรในสถานการณ์อันละเอียดอ่อนเช่นนี้ เขาเองก็นับเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่งทีเดียวตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอาหาร
เพราะคำเชิญของหลิงหงทำให้พี่วั่นมาถึงร้านตอนผับเปิด และเป็นธรรมดาที่เธอจะเข้ามาหาเฉินเหว่ย
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” พี่วั่นทักทายเขาอย่างสุภาพ
“อืม” เฉินเหว่ยพยักหน้าอย่างให้ด้วยใบหน้าเฉยเมย
“มาดื่มเบียร์ที่นี่งั้นเหรอ?” หลังจากทักทายแล้ว พี่วั่นก็เตรียมตัวหันหลังกลับไป ทว่าในขณะนั้นเอง เฉินเหว่ยก็ถามเธอขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่แล้วล่ะ หลิงหงเลี้ยงทั้งทีฉันก็เลยมาลองชิมเบียร์สดของเถ้าแก่หยวนเสียหน่อยน่ะ” พี่วั่นพยักหน้า
“เบียร์รสชาติยอดเยี่ยมมากเชียวล่ะ” เฉินเหว่ยให้คำยืนยัน
“งั้นฉันต้องไปชิมดูบ้างแล้วล่ะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น พี่วั่นก็หันกลับไปคุยกับหลิงหง
บรรยากาศมันช่าง… ระหว่างทั้งสองคนระหว่างที่คุยกันช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน
คราวนี้หลิงหงมัวแต่ยุ่งกับการตอบโต้คำพูดก้าวร้าวของเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋จึงทำให้ดูไม่ต่างอะไรจากปกตินัก เขาทำตัวราวกับว่าไม่กังวลเรื่องงานแต่งงานในวันพรุ่งนี้เลยแม้แต่น้อย
ส่วนพี่วั่นกับเฉินเหว่ยนั้น พวกเขาเจอกันเพียงไม่กี่ครั้งหลังจากนัดบอดครั้งก่อน ไม่มีใครทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในภายหลังอีกเลย
ดังนั้นบรรยากาศในผับจึงยังคงอบอุ่นและสนุกสนานเช่นเก่าก่อน ไม่นานราตรีก็ผ่านพ้นไป
นับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากที่พี่วั่นจะมาร้านหยวนโจวอีกครั้งในตอนกลางวันของวันถัดมา พูดง่ายๆก็คือเธอจะมารับประทานอาหารค่ำที่ร้านหยวนโจวยกเว้นสุดสัปดาห์เท่านั้นแหละ ถึงอย่างไรเธอก็ต้องทำงานตอนกลางวันแถมบริษัทของเธอยังอยู่ห่างจากร้านหยวนโจวอีกต่างหาก
ดูเหมือนว่าเธอจะขึ้นรถแท็กซี่มาที่นี่ในตอนกลางวันเผื่อหลิงหงมาเธอก็จะได้มองเห็นเขา แม้แต่ไห่เองก็อยากรู้มากเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นความจงใจหรือไม่ที่เขาสวมเสื้อแขนยาวที่ด้านหน้าอ่านได้ว่า “วันนี้รักแรกของฉันจะแต่งงานกับชายอื่น” ส่วนด้านหลังอ่านได้ว่า “อย่าเสียใจไปเลย ถึงยังไงพรุ่งนี้นายก็ยังโสดอยู่ดีนั่นแหละ”
อย่างถ้อยคำที่มีการกล่าวถึงเสมอ อู๋ไห่สมควรถูกตีแล้วจริงๆ แต่ถ้ามีคนอยากจะตีเขาก็หมายความว่าคนๆนั้นไม่รู้จักเขามากพอ เพราะหลังจากรู้จักเขามากขึ้นแล้วก็จะรู้สึกอยากตีเขาให้ตายเลยเชียวล่ะ
“ในตอนนี้งานแต่งงานยังดำเนินต่อไป เขาคงไม่น่าจะกลับมาหรอก” พี่วั่นพึมพำกับตัวเอง
“มีโอกาสที่เขาจะถูกไล่ออกมางานแต่งมากเชียวล่ะ” อู๋ไห่กล่าวหลังจากได้ยินพี่วั่นพูด
“ฉันไม่คิดงั้นหรอกนะ นายน่าจะเตรียมซองแดงหนาๆเอาไว้ข่มขวัญผู้อื่นด้วยนะ” พี่วั่นนึกถึงสิ่งที่หลิงหงบอกเมื่อคืนนี้แล้วกล่าวออกมาอย่างอับจนหนทาง
ใช่แล้วล่ะ หลังจากดื่มเบียร์เมื่อคืน หลิงหงบอกว่าเขาจะเตรียมซองแดงซองหนาๆเพื่อข่มขวัญเจ้าบ่าวเจ้าสาว มีแค่เทพเซียนเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเขาจะทำแบบนั้นจริงๆหรือไม่
“ใครจะไปสนกันเล่า! ยังไงก็แล้วแต่เขามีเงินเยอะแถมจัดงานแต่งงานก็ต้องใช้เงินตั้งเยอะนี่นา” อู๋ไห่หาได้สนใจเรื่องนั้นแต่อย่างใดไม่เนื่องจากเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเงินๆทองๆสักเท่าใดนัก
“คู่บ่าวสาวใหม่มักจะต้องมอบของขวัญตอบแทนให้แขกเหรื่อหลังจากงานแต่งงาน ถ้าหากซองแดงหนาเกินไป นายอยากจะให้พวกเขามอบของขวัญตอบแทนอย่างไรกันเล่า?” พี่วั่นมองอู๋ไห่ที่ไม่มีสามัญสำนึกแม้แต่น้อยด้วยความดูถูกดูแคลน
“ฉันล่ะไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้เอาเสียเลย เจิ้งเจียเหว่ยไปร่วมงานพวกนี้แทนฉันตลอดเลย” อู๋ไห่ยักไหล่
“เฮ้อ” พี่วั่นถอนหายใจแล้วไม่กล่าวอะไรอีก เธอเพียงแค่มองไปที่หัวมุมถนนแล้วรอคอยเขาต่อไป
อันที่จริงแล้ว พี่วั่นเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เธอมักจะสวมบทบาทเป็นคุณป้าผู้เป็นทุกข์เป็นร้อนในร้านอยู่เสมอ ปัญหาเดียวของเธอก็คือเธอชอบเป็นกังวลเรื่องของคนผู้อื่นมากเกินไป
อีกด้านหนึ่งอู๋ไห่เข้าไปในร้านเพื่อหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยเดินออกมา เขาไม่ได้ออกมารอข้างนอกอยู่ตลอดเวลาแต่อย่างใด
พี่วั่นเองก็กลับไปที่บริษัทของเธอก่อนที่จะเริ่มทำงานอีกครั้ง
“ดูท่าอาหารในงานแต่งงานคงจะอร่อยน่าดูเชียวล่ะ” หลิงหงยังไม่ปรากฏตัวตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งสิ้นสุดเวลาอาหารกลางวัน หยวนโจวพึมพำแล้วกล่าวอำลาบรรดาลูกค้าทั้งหลาย
ในยามบ่าย หยวนโจวยกก้อนน้ำแข็งออกไปข้างนอกแล้วฝึกแกะสลักเช่นเคย
สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้หยวนโจวฝึกแกะสลักก้อนน้ำแข็งก็คือการแกะสลักผักและผลไม้ไม่มีความท้าทายอีกต่อไปแล้ว เขาจึงเพิ่มความยากเข้าไปอีกทำให้เขาต้องรอจนกว่าเขาจะมีความเชี่ยวชาญในฝีมือการแกะสลักน้ำแข็งก่อนที่จะเปลี่ยนวัตถุดิบอีกครั้ง
ในยามบ่ายเมื่อไม่กี่วันมานี้ หยวนโจวได้แต่ฝึกแกะสลักน้ำแข็งเพียงเท่านั้น
ก้อนน้ำแข็งบางก้อนมีขนาดใหญ่ส่วนบางก้อนกลับมีขนาดเล็ก ขนาดช่างไม่เท่ากันเอาเสียเลย เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะรักษาผลงานแกะสลักน้ำแข็งเอาไว้ได้จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยากจะเอากลับบ้านไปด้วย
พวกเขาจึงต้องทิ้งพวกมันเอาไว้ที่นี่มากกว่าจะเอากลับบ้านไปด้วยทำให้ผู้คนสามารถชื่นชมพวกมันในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
ครึ่งชั่วโมงก่อนที่หยวนโจวจะเริ่มเตรียมวัตถุดิบสำหรับการทำอาหารมื้อค่ำ จู่ๆหลิงหงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ถนนแล้วรีบเข้ามาในร้านหยวนโจว
“เถ้าแก่หยวน ฉันขอเข้าไปนั่งข้างในสักแปบนึงได้ไหม?” หลิงหงกล่าวกับหยวนโจวที่กำลังวางมีดทำครัวลงด้วยน้ำเสียงปกติ
“อยากนั่งตรงไหนก็นั่งเถอะ” หยวนโจววางมีดทำครัวลงโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาแต่อย่างใด
“ตึก ตึก ตึก” หลิงหงเดินไม่กี่ก้าวเข้ามาในร้านแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก หยวนโจวหันไปมองเขาด้วยท่าทีแปลกประหลาด เขายืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นสักครู่หนึ่งแล้วเริ่มเก็บข้าวของ เขาไม่ได้แกะสลักต่อแล้ว
เขาใช้เวลาในการเก็บข้าวของประมาณ 5 นาทีเท่านั้น เมื่อหยวนโจวยืนอยู่ข้างนอกอีกครั้ง ผู้ชมส่วนใหญ่ก็แยกย้ายกันไปแล้ว