อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 867 ความสุขของแกพังทลายลงเสียแล้วล่ะ
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 867 ความสุขของแกพังทลายลงเสียแล้วล่ะ
หยวนโจวเงยหน้าแล้วตะโกนขึ้นไปที่ชั้นสองว่า “อู๋ไห่ ลงมาได้แล้ว”
เสียงของเขาไม่ดัง แต่จู่ๆกลับมีศีรษะของใครบางคนปรากฏขึ้นตรงหน้าต่างชั้นสอง เขามองลงมาก่อนแล้วค่อยปิดหน้าต่าง หลังจากนั้นอู๋ไห่ก็วิ่งลงมาทันที
“นายเรียกฉันทำไมเหรอ?” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราของตัวเองแล้วเดินไปหาหยวนโจวด้วยรองเท้าสลิปเปอร์ผ้าฝ้าย “จะเลี้ยงอาหารค่ำฉันหรือไง?”
“หลิงหงมาที่นี่น่ะสิ” หยวนโจวกล่าวตามตรง
“โอ้?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อู๋ไห่ก็เงยหน้าแล้วกลับขึ้นไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า เขาสวมเสื้อแขนยาวตัวที่เขาสวมใส่เมื่อตอนกลางวันอีกครั้งแล้วค่อนเดินเข้ามาในร้านพร้อมหยวนโจว
พวกเขาเดินเข้ามาในร้าน หยวนโจวตรงไปที่ครัวแล้วยืนอยู่ตรงหน้าหลิงหง ส่วนอู๋ไห่นั่งลงข้างๆหลิงหง
นับตั้งแต่หลิงหงเข้ามาร้าน เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลยจนถึงตอนนี้ จนกระทั่งตอนนี้เขาเพิ่งจะเงยหน้าแล้วบอกว่า “ขอแค่เธอมีชีวิตที่ดีกว่าฉันและขอแค่เธอมีความสุข ไอ้สารเลวตัวไหนกันที่พูดออกมาแบบนั้น? ความสุขของแกพังทลายลงเสียแล้วล่ะ!”
อู๋ไห่กับหยวนโจวตกใจกับเสียงตะโกนแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของหลิงหง พวกเขาทั้งทั้งคู่ต่างมองหลิงหงด้วยความประหลาดใจ
“ฉันรู้สึกขมขื่นใจเหลือเกิน ฉันอยากดื่มเหล้าจัง” หลิงหงถอนหายใจแล้วเผยความคับข้องใจที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้จากแววตาของเขา
“จะมีเครื่องดื่มจัดเตรียมเอาไว้เฉพาะภายในเวลาเปิดร้านเท่านั้น” หยวนโจวยกน้ำอุ่นออกมาให้เขาแก้วหนึ่งโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีแต่อย่างใด
“โชคร้ายจริงๆ ฉันไม่มีไวน์เสียด้วยสิ” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราของตัวเองแล้วส่ายหน้าพลางกล่าวเช่นนั้นออกมา
“เฮ้อ…” หลิงหงมองพวกเขาสองคนแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
ปกติหลิงหงจะแสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมาชั่วขณะ แต่เมื่อได้ร้องไห้ไปสักครั้งเขาก็จะไม่เศร้าอีก
“นายถูกตีงั้นเหรอ?” อู๋ไห่อดที่จะถามไม่ได้
“เปล่า เจ้าสาวสวยมากเลยล่ะ” หลิงหงส่ายหน้า
“งั้นนายคงชอกช้ำเลยสินะ” หยวนโจวกล่าวยืนยัน
“อืม เพราะเจ้าบ่าวดูธรรมดามากเลยน่ะสิ เขาไม่หล่อเท่าฉัน ไม่รวยเท่าฉัน แล้วยังตัวไม่สูงเท่าฉันด้วย” หลิงหงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเดือดดาลแล้วกล่าวว่า “แถมเขายังไม่เจ๋งเท่าฉันไม่ว่าจะในด้านไหนก็ตาม”
“แม้จะเป็นเช่นนั้น นายก็ไม่ใช่เจ้าบ่าวอยู่ดี” หยวนโจวพูดเข้าประเด็น นับเป็นความชอกช้ำระลอกแรกเลยก็ว่าได้
“งั้นก็แสดงว่าเขาดูแลเจ้าสาวเป็นอย่างดีเลยน่ะสิ” อู๋ไห่เองก็พูดเข้าประเด็นเช่นเดียวกัน อันเป็นความชอกช้ำระลอกที่สอง
หลังจากความชอกช้ำทั้งสองระลอก หลิงหงก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรไปสักครู่ เหนื่อยชะมัดเลย!
“เถ้าแก่หยวน อย่างน้อยนายก็แกล้งทำเป็นเศร้าเพื่อเห็นแก่ความเศร้าของฉันหน่อยได้ไหมเล่า แฟนเก่าฉันแต่งงานไปกับคนอื่นแถมยังไม่ใช่เจ้าบ่าวอีกต่างหากนะ” หลิงหงรู้สึกเสียใจมาก
“อย่าพูดแบบนั้นสิ นายเจ๋งกว่าเจ้าบ่าว ตัวสูงกว่าเขาแถมยังรวยกว่าเขาอีก แต่ดูเหมือนว่านายจะไม่ยินดีที่ได้เจอเขาเลยนะ ถึงยังไงเจ้าสาวก็ไม่เลือกนายเป็นสามีของเธออยู่ดีนั่นแหละ” อู๋ไห่ปลอบใจ
แต่มันเป็นการปลอบใจจริงๆงั้นหรือ? หลิงหงอยากรู้เสียจริงๆเชียวว่าอู๋ไห่โตมาจนอายุขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? นอกจากนั้นก็ช่างปาฏิหาริย์จริงๆที่เขาไม่ถูกอู๋หลินตีจนตาย
“นายช่วยปลอบใจฉันหน่อยไม่ได้หรือไง?” หลิงหงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา
“เมื่อตัดสินจากแก้มแดงๆกับหน้ามันเยิ้มของนายแล้ว นายต้องกินดีเชียวล่ะ ดังนั้นนายคงไม่ต้องการคำปลอบใจของเราหรอก” หยวนโจวมองหลิงหงแล้วกล่าวอย่างจริงจัง
“ไม่แปกใจเลยที่นายเป็นเชฟ นายสนใจเรื่องที่ต่างออกไปจริงๆ” หลิงหงรู้สึกอับจนหนทางเป็นอันมาก
“นายมีทั้งเงินและเวลาแถมนายยังจีบหญิงอยู่ทุกวี่ทุกวัน นายไม่ต้องการคำปลอบใจของเราหรอกน่า” อู๋ไห่เข้าประเด็น
“งั้นพวกนายมาที่นี่เพื่ออะไรกันเล่า?” หลิงหงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเดือดดาลแล้วถามขึ้นในที่สุด
“พวกเราอยากฟังเรื่องของนายไง” หยวนโจวชะงักไปสักครู่แล้วกล่าวออกมาซื่อๆ “ถึงพวกเราไม่มีไวน์ แต่ก็ฟังได้นะ”
อู๋ไห่วัดขาของหลิงหงด้วยตาแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ฉันเอาพลาสเตอร์ปิดแผลมาด้วยนะ ถ้านายเจ็บขาฉันจะได้แปะให้นายไงล่ะ”
“โฮ่โฮ่” หลิงหงรู้สึกโมโหและเดือดดาลนัก เขาจึงยกแก้วขึ้นมาดื่มน้ำอุ่นไปอึกใหญ่เพื่อให้ใจเย็นลง
“ดูเหมือนว่านายจะใจเย็นลงแล้ว ตอนนี้ก็เล่าเรื่องเศร้าของนายให้เราฟังเพื่อให้พวกเรามีความสุขได้แล้ว” อู๋ไห่ล้อเขาเล่น
หยวนโจวที่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเขาเองก็มองหลิงหงอย่างจริงจังเมื่อเขาได้ยินอู๋ไห่กล่าวเช่นนั้นออกมาเห็นได้ชัดว่าเขาก็กำลังรอคอยให้หลิงหงเล่าเรื่องเศร้าอยู่เช่นกัน
“ไปตายซะ” หลิงหงโบกมือให้อู๋ไห่อย่างไม่สบอารมณ์
“เฮ้ พูดมาสิ ถ้านายไม่พูดออกมาเสียบ้าง นายจะรู้สึกไม่ดีเอานะ” คราวนี้อู๋ไห่กล่าวอย่างค่อนข้างจริงจัง แถมยังจริงจังยิ่งกว่าเมื่อสักครู่เสียอีก
“นายจะรู้สึกดีหลังจากที่ได้พูดออกมานะ” หยวนโจวพูดขัดจังหวะอู๋ไห่ขึ้นมาอย่างรวบรัดตัดตอน
จากนั้นหลิงหงก็เงียบไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก
หยวนโจวกับอู๋ไห่ไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด พวกเขาแค่รออยู่ข้างๆอย่างเงียบๆโดยไม่ได้เร่งเร้าเขาอีก
ร้านเงียบงันไปชั่วขณะก่อนที่หลิงหงจะเริ่มพูดออกมา
“ที่จริงก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย” หลิงหงกล่าวขึ้นมา
“ฉันไปงานแต่งงานแล้วมอบซองแดงให้พวกเขาแล้วก็หาที่นั่ง และงานแต่งงานก็เริ่มต้นด้วยวิดีโอเรื่องราวความรักของพวกเขาก่อนที่พวกเราจะเริ่มกินอาหาร จากนั้นพวกเราก็ดื่มกินกัน” หลิงหงกล่าวง่ายๆ
“อืม ฉันเคยได้ยินมาว่างานแต่งงานก็เหมือนๆกันไปหมดไม่มากก็น้อยแหละนะ” อู๋ไห่พยักหน้า
“แต่ในใจฉันกลับไม่รู้สึกดีเลยสักนิด” หลิงหงย้ำ
“เมื่อวานนายบอกเราว่านายจะไปที่นั่นเพื่อมอบคำอวยพรนี่นา” หยวนโจวเตือน
“ไปตายซะ ฉันจะตีมันให้ตายเลยถ้ามีใครกล้ามาบอกว่าฉันขอให้แฟนเก่าของฉันมีความสุขหลังจากเลิกกันแล้วน่ะ” หลิงหงกล่าวอย่างถมึงทึง
“ไอ้พวกขี้โม้เอ้ย ฉันไม่เห็นจะมีความสุขเลยตอนที่เธอจะแต่งงานแล้วน่ะ” หลิงหงย้ำอีกครั้ง
“อืม แต่เธอก็แต่งงานไปแล้วนะ” หยวนโจวกล่าวอย่างใจเย็น
“ใช่สิ เธอแต่งงานไปแล้ว และมีคนเริ่มชื่นชมเธอด้วยล่ะ” หลิงหงกล่าวเบาๆ
ร้านตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แน่นอนว่าหลิงหงย่อมนึกถึงเรื่องงานแต่งงานที่จัดขึ้นเมื่อตอนกลางวันอยู่แล้ว
ตอนแรกก็เหมือนอย่างที่หลิงหงบอกมาจริงๆนั่นแหละ พวกเขาชมดูงานแต่งงานแล้วก็กินดื่มกัน หลังจากกินอาหารในงานแต่งงานแล้ว หลิงหงก็ตัดสินใจที่จะกลับสักที
ผู้คนมากมายแยกย้ายกันตอนกลางวันหลังจากกินอาหารในงานแต่งงานแล้ว และคู่บ่าวสาวก็มายืนส่งแขกอยู่ตรงทางเข้าโรงแรม ปกติทุกคนจะหยุดตรงทางเข้าสักครู่เพื่ออวยพรคู่บ่าวสาว
หลิงหงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เมื่อเขาเดินไปที่ทางเข้าก็มีผู้คนมากมายและหนึ่งในนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าสาว พวกเธอจับมือกันแล้วกล่าวอำลาอย่างสนิทสนม โดยมีเจ้าบ่าวยืนอยู่ข้างๆพวกเธอช่างเป็นสถานการณ์ที่ไม่เข้ากันสักเท่าไหร่นัก
“ฉันจะกลับแล้วล่ะ ขอให้พวกคุณสองคนมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุขนะ!”
“ขอให้มีความสุขนะ!”
“มีความสุขยิ่งๆขึ้นไปนะ”
ไม่เว้นแม้แต่หลิงหงเองก็อวยพรให้พวกเขาด้วย อย่างเช่น “มีลูกกันเร็วๆนะ”
เขาน่าจะรีบออกมาหลังจากอวยพรคู่บ่าวสาวแล้ว ถึงอย่างไรผู้คนมากมายก็กำลังแยกย้ายไปและเขาก็ไม่อาจยืนอยู่ตรงนั้นและสกัดกั้นพวกเขาออกไปให้พ้นทางได้ แต่หลิงหงกลับรู้สึกว่าตัวเองก้าวเท้าไม่ออกเลย
เขาก้าวไปข้างหน้าสามก้าวแล้วจ้องมองงานแต่งงานสักครู่หนึ่ง โดยเฉพาะช่อดอกไม้แต่งงานที่เจ้าสาวโยนลงมาที่พื้น
จากนั้นหลิงหงก็โพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “เธอนี่มีฝีมือตลอดเลยนะ สร้อยข้อมือที่เธอทำสวยมากเชียวล่ะ!”
เขาไม่รู้ว่าเจ้าสาวที่กำลังยุ่งง่วนอยู่กับการส่งเพื่อนของเธอจะได้ยินเขาหรือเปล่า แต่จากมุมของเขา สีหน้าของเจ้าสาวไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว บางทีเธออาจจะไม่ได้ยินเขาก็ได้ หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกไปแล้ว หลิงหงก็จากไปทันทีโดยไม่รั้งรออยู่ที่นั้นแม้แต่วินาทีเดียว
เดิมทีหลิงหงก็เสียใจมากอยู่แล้ว เมื่อเขาพูดว่า “เธอนี่มีฝีมือตลอดเลยนะ สร้อยข้อมือที่เธอทำสวยมากเชียวล่ะ!” เขาก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน่ำตาออกมา
หลิงหงร้องไห้ออกมาแล้วจริงๆ เหมือนอย่างพวกนักแสดงในละครโทรทัศน์นั่นแหละ เขาถึงกับปาดน้ำตาแห่งความขมขื่น จริงๆแล้วแทบไม่มีใครเคยเห็นบุรุษร่ำไห้อย่างทุกข์ระทมขมขื่นมากเช่นนั้นมาก่อนเลยเว้นแต่ความเป็นและความตายจะมาพรากออกจากกัน