อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 869 ลืมตัว
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 869 ลืมตัว
มีดทุกเล่มที่หยวนโจวนำออกมาเป็นมีดที่เจ้าระบบจัดเตรียมเอาไว้ให้เมื่อตอนที่ร้านเปิดครั้งแรก ถ้าเป็นมีดธรรมดาๆพวกมันก็คงต้องลับคมนานแล้ว แต่กลับเลื่อนเวลาออกไปได้เนื่องจากมีดที่เจ้าระบบจัดเตรียมเอาไว้ให้พวกนี้มีความทนทานมาก
ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่หยวนโจวจะลับมีกทุกเล่มในครัวของเขา
“เจ้าระบบเป็นผู้จัดเตรียมมีดทุกเล่มเอาไว้ให้ พวกมันต้องมีคุณภาพยอดเยี่ยมและทุกเล่มต้องมีคุณภาพดี โดยเกือบทุกลเมเป็นมีดที่ผลิตจากกลุ่มเดียวกันในโรงงานเดียวกันอีกต่างหาก” หยวนโจวได้ข้อสรุปหลังจากเขาได้วิเคราะห์มีดทุกเล่มแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นระดับความคมหรือความกว้างของคมมีด ทุกอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับที่เหมาะสมแก่การหั่นวัตถุดิบทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังดูเหมือนกันไปหมดอีกต่างหาก
“มีดพวกนี้ยอดเยี่ยมไปเลยจริงๆ แต่กลับไม่เหมาะแก่การฝึกลับมีดเอาเสียเลย” หยวนโจวขมวดคิ้ว เขาตัดสินใจที่จะเตรียมพร้อมด้วยมีดธรรมดาๆก่อน เขาไม่สามารถเริ่มต้นด้วยมีดที่ลับได้ยาก
ขณะที่หยวนโจวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ผู้คนรอบตัวเขาก็เริ่มพูดคุยกันเอง
“วันนี้เถ้าแก่หยวนไม่แกะสลักน้ำแข็งงั้นเหรอ?”
“ใช่ นั่นอะไรน่ะ?”
“เขากำลังลับมีดอยู่น่ะสิ ออกจะชัดเสียขนาดนั้นแล้วแท้ๆ เห็นได้ชัดเลยว่านั่นคือหินลับมีดยังไงล่ะ”
“นายพูดแบบนี้ออกมาทำให้ฉันนึกขึ้นได้เลยว่าไม่ได้ยินใครมาให้บริการลับมีดเสียตั้งนานแล้วนะเนี่ย”
“ถูกต้อง ฉันรู้สึกเหมือนทุกวันนี้พวกเราจะได้ยินน้อยลงทุกทีแล้วนะ ยิ่งไปกว่านั้นคนขายยังไม่บริการลับมีดให้ด้วยล่ะ ทุกวันนี้พวกเราคงได้แต่โยนมีดเก่าๆทั้งหมดของเราทิ้งไปเท่านั้นแล้วกระมัง?”
ผู้คนเอาแต่คุยกัน แต่โชคดีที่พวกเขาไม่ได้คุยกันเสียงดังเกินไปนักจนไปรบกวนหยวนโจวเข้า ทว่าเมื่อเขาได้ยินการสนทนาของพวกเขาเข้า เขาก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาทันที
หยวนโจวเงยหน้าแล้วมองไปทางผู้คน เขาไม่เจอคุณเฉิงจึงกลับเข้าร้านไป
ตึก ตึก ตึก ทันทีที่เขาเข้าไปในร้าน เขาก็รีบขึ้นไปชั้นสอง
เขามุ่งหน้าไปที่ห้องของตัวเองแล้วเริ่มเขียนลงบนกระดาษด้วยปากกามาร์คเกอร์บนโต๊ะ
ขวับ! ขวับ! ขวับ! เขาเขียนอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยเสียงการเขียนลวกๆที่ดังสะท้อนอยู่ในห้อง
ไม่นานนักเขาก็เขียนจนเสร็จ เขาเขียนไปทั้งสิ้นสามบรรทัดและเป็นคำที่ค่อนข้างยาวทีเดียว ผู้คนได้แต่ต้องเดินเข้ามาใกล้ๆจึงจะสามารถอ่านสิ่งที่อยู่บนกระดาษได้
คำพวกนี้เขียนเอาไว้ว่า: ลับมีดฟรีครั้งละห้าเล่ม รอรับได้ในหนึ่งชั่วโมง]
“อืม น่าจะใช้ได้นะ” หยวนโจวมองดูกระดาษด้วยความพึงพอใจ
ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวตัดสินใจที่จะให้บริการลับมีดกับผู้คนที่นี่กันไปเลยฟรีๆ แบบนั้นเขาก็จะได้ฝึกฝีมือการลับมีดทั้งยังได้ฝึกลับมีดหลากหลายชนิดอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นข้อเสนอที่เอื้อประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้องกันเลยก็ว่าได้
ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เขาก็ได้ยินมาว่านานแล้วที่ไม่มีใครมาให้บริการลับมีดที่นี่
เมื่อหยวนโจวมาถึงชั้นล่าง คุณเฉิงก็มารออยู่ข้างนอกพร้อมกล่องไม้แล้ว
“อาจารย์หยวน ตอนนี้จะให้ผมทำอะไรครับ?” คุณเฉิงค่อยๆวางกล่องลงแล้วถามขึ้นมาหลังจากรับกระดาษกับโครงไม้จากหยวนโจว
“แปะกระดาษแผ่นนี้เอาไว้บนโครงไม้แล้ววางเอาไว้ข้างๆเลยครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“ได้ครับ” คุณเฉิงพยักหน้าแล้วเริ่มทำงานทันที
ข้อดีอย่างหนึ่งของคุณเฉิงก็คือเขาไม่เคยถามมากเกินไป แต่เขาจะทำงานที่หยวนโจวมอบหมายให้เขาทันที
ในขณะที่คุณเฉิงกำลังทำงานอยู่นั้น หยวนโจวก็สวมผ้ากันเปื้อนแล้วนั่งลงบนม้านั่ง หลังจากเขาจัดชุดเครื่องแต่งกายสมัยราชวงศ์ฮั่นเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันกลับไปและพบว่าคุณเฉิงแปะกระดาษเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ถ้าคุณทำเสร็จแล้วก็มานี่เลยนะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา
“ครับ” คุณเฉิงพยักหน้าแล้วหยิบโครงไม้ขึ้นมาก่อนที่จะเดินเข้าไปหาหยวนโจว
“คุณได้เอามีดมาไหมครับ?” หยวนโจวถามขึ้น
“ครับ มีดที่ผมใช้อยู่เป็นประจำอยู่ที่นี่หมดแล้วครับ” คุณเฉิงกล่าวพลางยกกล่องของเขาขึ้นมาด้วย
“ขอผมดูหน่อยนะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา
ทันทีที่หยวนโจวกล่าวเช่นนั้น คุณเฉิงก็เปิดกล่องของเขาออกมาทันที
กล่องของคุณเฉิงเป็นสีน้ำตาลให้ความรู้สึกมั่นคงและน่าเชื่อถือ มันมีขนาดใหญ่พอๆกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆโดยมีความหนาถึง 12 เซนติเมตร ตรงด้านหน้าเป็นกระดุมสีเงินสองเม็ดและเมื่อมองผ่านๆ กล่องใบนี้กลับดูเหมือนมีวัตถุโบราณล้ำค่าบรรจุอยู่ภายใน
ใช่แล้วล่ะ สำหรับเชฟแล้ว มีดของเขาก็คือสมบัติล้ำค่าหายาก ไม่เพียงมีดพวกนี้จะเป็นเครื่องมือในการดำรงชีพของพวกเขาเท่านั้น แต่มีดพวกนี้ยังเป็นสหายที่จะคอยอยู่เคียงข้างพวกเขาไปจนถึงจุดสูงสุด
ดังนั้นถึงจะผ่านมานานนมแล้ว แต่บรรดาเชฟก็มักจะดูแลรักษามีดของพวกเขาเป็นอย่างดีอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่นหยวนโจวที่รักมีดทำครัวประหลาดของเขาเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับดีนเชฟชื่อดังคนก่อนที่เขาได้พบเจอนั้น สาเหตุที่ทำให้หยวนโจวรู้สึกว่าเขาด้อยกว่าฉูเสี่ยวหาใช่เพราะฝีมือของเขาหรอก หากแต่เป็นทัศนคติของเขาต่างหากเล่า
อันที่จรองแล้ว ดีนเป็นเชฟชื่อดังจากประเทศฝรั่งเศส แม้แต่ประธานโจวซื่อเจี๋ยก็ยังต้องจัดการมีดด้วยตนเองเลย นั่นช่างต่างจากดีนที่ปล่อยให้ผู้ช่วยของเขาเป็นคนจัดการมีดแทนเสียอย่างนั้น
นี่หาใช่สิ่งที่จะสามารถอธิบายได้ง่ายๆด้วยคำว่า “วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน”
ถึงอย่างไรฉูเสี่ยวก็เป็นถึงเชฟชื่อดังที่เติบโตในต่างประเทศ แต่ในระหว่างการประชุมแลกเปลี่ยนวิชาจีน-ญี่ปุ่นนั้นเอง เขาก็หิ้วกล่องเก็บมีดของตัวเองมาด้วย ผู้ช่วยของเขาเพียงแค่รับผิดชอบในการถือผ้ากันเปื้อนกับของจิปาถะต่างๆให้เขาเท่านั้น
เมื่อเป็นเรื่องของเครื่องครัวหยวนโจวจะหัวรั้นเอามากๆเชียวล่ะ นี่เป็นเพียงบางส่วนอันสืบเนื่องมาจากอุปนิสัยใจคอของเขาและบางส่วนก็สืบเนื่องมาจากประสบการณ์ที่ผ่านๆมาของเขาด้วย
เมื่อตอนที่เขาเคยเป็นผู้ช่วยในครัว หัวหน้าเชฟไม่เคยใช้มีดของโรงแรมเลย แต่เขากลับใช้มีดส่วนตัวของเขาเองและไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องมีดของเขาเป็นอันขาด เขาจะเช็ดทำความสะอาดมีดพวกนั้นด้วยตัวเอง ครั้งหนึ่งหยวนโจวบังเอิญไปแตะต้องมีดเล่มหนึ่งของเขาเข้าเลยถูกตำหนิไปครึ่งค่อนวันเลยทีเดียว
นั่นคือตอนที่หยวนโจวกำลังพัฒนาแนวทางการใช้มีดในตอนนี้ บ่อยครั้งที่ความเคยชินที่หยั่งรากลึกอาจจะมาสาเหตุมาจากผู้อื่นที่อาจจะจดจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป
มีคำกล่าวว่ามีดทำครัวก็คืออาวุธที่เชฟใช้ทำอาหารและล่าสังหาร หากมีดไม่คมก็จะหั่นอะไรไม่เข้า ความสดใหม่ของวัตถุดิบจะแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน รสชาติของอาหารก็จะไม่กลมกล่อมและขั้นตอนการทำอาหารก็จะล่าช้าไปด้วย
พูดง่ายๆก็คือมีดที่ดีย่อมต้องคมด้วย นั่นจะช่วยให้หั่นวัตถุดิบได้ดี ปลดปล่อยกลิ่นรสของวัตถุดิบออกมาได้มากขึ้น
หยวนโจวบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบในการทำอาหาร เขาบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบมากเสียจนถึงขั้นที่เขาสามารถประดิษฐ์คิดค้นมีดหั่นเต้าหู้ขึ้นมาเพื่อสร้างกลิ่นของไผ่ที่สมดุล น่าเสียดายที่เขามองข้ามพื้นฐานของมีดไปซึ่งก็คือความคม เขาถูกมีดทำครัวประหลาดทำเอาเสียคนซะแล้ว
หลังจากเปิดร้านมาตั้งนาน เขากลับยังไม่เคยลับมีดเลย นี่คือการขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ แม้ว่าเจ้าระบบจะมอบมีดที่มีความทนทานมากให้แล้วก็ตามที แต่เชฟก็ควรจะลับมีดของตัวเองบ่อยๆอยู่ดีนั่นแหละ
“พอมีรายการอย่างโรล เดียร์ บีฟและวิดีโอโปรโมทอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีจะทำให้ฉันพอใจกับความสำเร็จในตอนนี้ของตัวเองได้อย่างไรกันเล่า?” หยวนโจวเริ่มครุ่นคิด
ในที่สุดหยวนโจวก็ได้ข้อสรุปว่าเขาหาได้หลงลืมตัวไม่ แต่เขามองข้ามเส้นทางของตัวเองไปจริงๆ เขาพบว่าคนๆหนึ่งสามารถติดกับดักความคิดที่เขาทำได้ดีมากแล้วเอาเสียง่ายๆจนไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป อันที่จริงแล้วยังมีเรื่องให้ได้เรียนรู้กันอีกมากมายนัก
“ฉันยังสามารถพัฒนาได้” หยวนโจวพึมพำและตัดสินใจว่าเขาจะพร่ำพูดคำพวกนี้ซ้ำๆทุกเช้าที่ตื่นนอนเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในแต่ละวัน