อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 872 นึกว่าใครที่แท้เธอเองหรอกเหรอนั่น?
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 872 นึกว่าใครที่แท้เธอเองหรอกเหรอนั่น?
หยวนโจวนึกถึงเรื่องที่เฉาจื่อซูเสนอให้เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อมิตรภาพ แต่ทว่ากลับไม่กระทบต่อการทำงานระหว่างเวลาอาหารค่ำแม้แต่น้อย
ตอนที่กำลังทำอาหารหยวนโจวก็จะโยนทุกสิ่งทุกอย่างออกจากหัวเช่นเคย แม้ว่าเขาจะอารมณ์เสียหรือรู้สึกไม่สบายใจขนาดไหนก็ช่าง แต่เขาก็จะทำเช่นเดิม
ตราบใดที่เขาไม่สบายใจจนถึงจุดที่ส่งผลต่อการทำงานของเขา เขาก็จะไม่ลาหยุดหรอก
แน่นอนว่าสิ่งนี้อาจจะทำให้เชฟดูเหมือนเป็นอาชีพที่น่าสงสาร แต่อันที่จริงแล้วเรื่องนั้นใช้ได้กับทุกอาชีพเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่นสตรีที่มีนามว่าอาเม่ยบุตรสาวแสนสวยจากครอบครัวยากจนที่จะมาเยือนที่ร้านเป็นบางครั้งบางคราว ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเธอจะไม่อาจเทียบได้กับญินยาหรือเจียงฉางซี่ แต่น้ำเสียงของเธอกลับไพเราะที่สุดในร้านเลยเชียวล่ะ แค่ได้ฟังเสียงของเธอก็นับนับได้ว่าเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งแล้ว
เธอเป็นผู้นำทีมของแผนกร้องเรียนในบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่ง เธอได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างดีทีเดียวและงานในแต่ละวันของเธอก็เกี่ยวข้องกับการรับโทรศัพท์เพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของลูกค้า เป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อบรรดาลูกค้าถึงจุดที่พวกเขาจะโทรหาแผนกร้องเรียนก็ไม่ค่อยจะมีใครอารมณ์ดีสักเท่าไหร่นักหรอก
ไม่มีใครที่จะสามารถใจเย็นได้ตลอดเวลาหรอกเนื่องจากมนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ แม้ว่าพวกเขาจะตระหนักถึงปัญหาในตัวผลิตภัณฑ์และระเบิดอารมณ์อย่างไร้ความหมายใส่พนักงานฝ่ายบริการลูกค้าแล้วก็ตามที แต่พอโกรธขึ้นมาก็ไม่มีใครสามารถใจเย็นและมีเหตุผลได้หรอก
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คุณปู่ของอาเม่ยจากไป เธอจึงขอลางานไปร่วมพิธีศพ แต่หัวหน้าแผนกอนุญาตให้เธอลาได้หลังเที่ยงวันเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงต้องไปทำงานต่อในช่วงเช้า
และเมื่อตอนที่เธอตกอยู่ในอารมณ์เศร้าโศกเช่นนี้ยังต้องมาถูกพวกลูกค้าตำหนิใส่ไม่หยุดหย่อนอีก ลูกค้าบางคนโกรธมากเป็นพิเศษเนื่องจากเกิดปัญหามากมายขึ้นผลิตภัณฑ์ และขณะที่กำลังตำหนิอยู่นั้นก็บริภาษไปถึงครอบครัวของเธอ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นอาเม่ยก็ต้องรักษาความสุภาพของเธอเอาไว้
เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ที่จะต้องเข้าสู่สังคม และสังคมก็หาใช่มารดา แน่นอนว่าการจากไปของสมาชิกในครอบครัวเป็นเหตุผลที่ดีในการลาหยุด แต่กฎของบริษัทก็ยังเป็นกฎของบริษัทอยู่วันยังค่ำ
อาเม่ยเข้าใจเรื่องนั้นดี ดังนั้นเธอจึงไม่ถือสากับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอยังกล่าวอีกว่าเธอเคยเห็นคนที่ตั้งครรภ์เก้าเดือนแต่ก็ยังไม่ทำงานอยู่เลย การหาเลี้ยงชีพไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มักจะคิดถึงบ้านอยู่เสมอ
ย้อนกลับไปที่หัวข้อเดิมกันเถอะ ระหว่างเวลาอาหารค่ำ บรรดาลูกค้าเข้าร้านไปต่อแถวกันเช่นเคย และทุกคนก็นั่งลงตรงที่นั่งที่ชอบก่อนที่จะสั่งอาหาร
อู๋ไห่มักจะกินอาหารอย่างรวดเร็วแถมยังกินเยอะอีกต่างหาก ขณะที่เขากินหมดไปสองรอบแล้ว เจียงฉางซี่ก็เพิ่งจะมาถึง
“วันนี้นายกินไวมากเลยนะ” เจียงฉางซี่กล่าวขณะที่นั่งลงตำแหน่งที่อู๋ไห่นั่งก่อนหน้านี้
“งั้นมั้ง วันนี้ฉันไม่ค่อยอยากอาหาร็เลยกินได้น้อยอ่ะ” อู๋ไห่กล่าวอย่างเศร้าสร้อยพลางลูบหลวดเคราไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” เจียงฉางซี่ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“หลินหลินใกล้จะกลับมาแล้วน่ะสิ” อู๋ไห่บ่น
“นั่นไม่ใช่ข่าวดีหรือไงกัน? ฉันไม่ได้เจอเธอตอนปีใหม่เลย ผ่านมาตั้งครึ่งค่อนปีแล้วตั้งแต่ฉันได้เจอเธอครั้งสุดท้ายน่ะ” เจียงฉางซี่กับอู๋หลินมีอุปนิสัยที่เข้ากันได้ดี แต่ละครั้งที่พวกเธอเจอกันก็จะเริ่มคุยกันจนนับได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกันเลยก็ว่าได้
“เวรเอ้ย ความทรมานของฉันจะเริ่มต้นขึ้นทันทีที่ยัยทอมบอยกลับมาน่ะสิ” อู๋ไห่รู้สึกปวดหัวเมื่อนึกถึงความสามารถในการต่อสู้ของอู๋หลินขึ้นมาได้
“ฮ่าฮ่า เป็นความผิดของนายที่ชอบไปก่อเรื่องนี่นา จำตอนที่นายเดินทางไปเขียนภาพได้ไหม? นายเกือบต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลเสียแล้วนะ” เจียงฉางซี่หัวเราะซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ใช่แล้วล่ะ ระหว่างการเดินทางไปเขียนภาพของอู๋ไห่ เขาต้องไปโรงพยาบาลเนื่องจากอาหารเป็นพิษ แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังยืนกรานที่จะกินอาหารมื้อแรกที่ร้านหยวนโจวให้ได้ก่อนจะไปโรงพยาบาล
ในตอนนั้นเจิ้งเจียเหว่ยเริ่มเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงอย่างไรบางครั้งอู๋ไห่ก็ดื้อมากทีเดียว หลังจากกินอาหารแล้วก็มีเพียงแค่ตอนที่เขาปวดท้องจนถึงจุดที่เขาล้มลงไปกลิ้งกับเตียงกลางดึกเท่านั้นแหละที่เขาจะยอมให้เจิ้งเจียเหว่ยพาไปส่งโรงพยาบาล
เนื่องจากหยวนโจวไปเยี่ยมอู๋ไห่ตอนกลางคืน บรรดาลูกค้าขาประจำจึงพากันรู้เรื่องนี้กันจนหมด นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เจียงฉางซี่พูดเรื่องนั้นขึ้นมา
แน่นอนว่าเจิ้งเจียเหว่ยย่อมต้องบอกให้อู๋หลินรู้เรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็คงจินตนาการถึงชะตากรรมของอู๋ไห่ยามที่อู๋หลินมาพบเข้าได้
“ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันยังต้องกลับไปสตูดิโอแล้วตรวจสอบว่าเธอไม่ได้แตะต้องอะไรที่วางเอาไว้แถวนั้นก่อนฉันต้องซ่อนพวกมันเอาไว้ให้พ้นจากการทำลายล้างของเธอตอนที่เธอกลับมา” อู๋ไห่รู้สึกไขสันหลังเย็นเฉียบเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาหารเป็นพิษเมื่อคราวก่อนเกือบทำให้เขาถูกอู๋หลินตีตายเพราะทำให้เขามีปัญหาท้องไส้
“ช้าก่อนนะ งั้นหลินหลินจะกลับมาเมื่อไหร่กันล่ะ?” เจียงฉางซี่ร้องเรียกแล้วถามขึ้นมา
“อีกสามวันน่ะ” อู๋ไห่กล่าวแล้วจากไป
เห็นได้ชัดว่าในฐานที่เป็นน้องสาว อิทธิพลของอู๋หลินสลักลึกลงในใจของอู๋ไห่เช่นกัน
“เจ้าหมอนั่นวิ่งเร็วจริงๆ ว่าไหมล่ะเถ้าแก่หยวน?” เจียงฉางซี่ส่ายหน้าพลางหัวเราะก่อนที่เธอจะพูดกับหยวนโจวที่กำลังวางจานลง
“ฉันล่ะสงสัยจริงๆเลยว่านายจะไวขนาดนั้นไหม” เจียงฉางซีถามพลางยิ้มหยอกล้อ
“แค่ก วันนี้ฉันรู้สึกหูไม่ค่อยดีเลยไม่ได้ยินเธอพูดเลย เอาไว้คุยกันคราวหน้าเถอะนะ ฉันจะกลับไปทำอาหารแล้วล่ะ” หยวนโจวไอแล้วหันมาด้วยใบหน้าเฉยเมย
“ไม่เป็นไร ฉันพูดซ้ำได้นะ” เจียงฉางซี่ยังคงหยอกล้อต่อไป
แต่หยวนโจวตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ออกจากครัว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจคำพูดของเธอโดยสิ้นเชิง
“ฮ่าฮ่า เถ้าแก่หยวนน่ารักอย่างเคยเลย” เจียงฉางซี่กล่าวพลางพักแขนเอาไว้บนโต๊ะ จากนั้นเธอก็เริ่มสั่งอาหาร
“เอาล่ะ ฉันขอเต้าหู้น้ำมันขาว ข้าวขาวธรรมดาแล้วก็น้ำมะนาวแก้วนึง แค่นี้แหละ” เจียงฉางซี่รีบสั่งอาหารแล้วชำระเงินอย่างรวดเร็ว
“ได้ค่ะพี่เจียง ไม่นานจะมีอาหารมาเสิร์ฟนะคะ” โจวเจียพยักหน้าแล้วยื่นออเดอร์ให้หยวนโจว
เจียงฉางซี่กำลังจะหยอกล้อหยวนโจวต่อเมื่อตอนที่มีลูกค้าคนใหม่นั่งลงข้างๆเธอ
เจียงฉางซี่หันไปมองลูกค้าคนใหม่ตามสัญชาตญาน
ลูกค้าคนนั้นสวมใส่เสื้อคลุมแขนยาวผ้าป่านโดยมีเสื้อสเว็ตเตอร์สีขาวสวมทับอยู่ด้านนอกที่ให้ความรู้สึกสดชื่นและเป็นธรรมชาติ ใบหน้าของเธอดูคุ้นตามาก
“ข้อเท้าหมูตงพัวกับข้าวขาวธรรมดาอย่างละที่นะคะ” สตรีผู้นั้นสั่งอาหารทันทีที่เธอนั่งลง
“ได้ค่ะ คุณจะชำระเป็นเงินสดหรือโอนเงินดีคะ?” โจวเจียพยักหน้าแล้วถามขึ้นมา
“โอนเงินเรียบร้อยแล้วนะคะ” สตรีผู้นั้นโชว์โทรศัพท์ให้โจวเจียดู
“รอสักครู่นะคะ ออเดอร์ของคุณจะมาเสิร์ฟในไม่ช้านะคะ” โจวเจียกล่าวหลังจากยืนยันการชำระเงิน
ถึงแม้ว่าเจียงฉางซี่จะรู้สึกว่าลูกค้าผู้นั้นดูคุ้นหน้าคุ้นตา แต่เธอก็นึกไม่ออกว่าเป็นใครกัน ไม่นานออเดอร์ของเธอก็มาถึง
“ได้เวลากินแล้วสิ ฉันยังต้องไปดื่มเหล้าต่ออีกนะ” เจียงฉางซี่กล่าวพลางเหลือบมองไปที่อาหารของเธอด้วยความพึงพอใจ เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกิน
หลังจากนั้นไม่นาน ออเดอร์ของสตรีข้างๆเธอก็มาถึงแล้วเช่นกัน ความเร็วในการกินของเธอรวดเร็วยิ่งกว่าเจียงฉางซี่มากมายนัก
อันที่จริงแล้วเธอกินได้รวดเร็วกว่าอู๋ไห่เสียด้วยซ้ำไป เจียงฉางซี่กินอาหารของตัวเองไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นเมื่อตอนที่สตรีผู้นั้นกินข้เท้าหมูตงพัวกับข้าวจนหมดเกลี้ยงแล้ว
“เนื้อสไลซ์บางเฉียบกับก๋วยเตี๋ยวน้ำใส โอนเงินให้แล้วนะคะ” สตรีผู้นั้นสั่งอาหารจานใหม่หลังจากกินหมดแล้ว เธอโชว์โทรศัพท์ของเธอให้โจวเจียดูในทันที
“ได้ค่ะ” โจวเจียพยักหน้าแล้วจากไป
“คุณคือเฟิ่งตันที่เป็นนักโภชนาการและครูฝึกสอนการออกกำลังกายใช่ไหมคะ?” เจียงฉางซี่ถามด้วยความประหลาดใจ
เจียงฉางซี่รู้จักผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไรกัน? ก็จากวิธีกินของเธอน่ะสิ
เมื่อตอนแรกที่เธอเข้ามาในร้าน เธอก็แสดงความเร็วในการกินที่เทียบได้กับอู๋ไห่ หลังจากนั้นเธอก็มาหลายครั้งหลายคราและแต่ละครั้งเจียงฉางซี่ก็จะอยู่แถวนั้นตลอด
เจียงฉางซี่ค่อยๆรู้จักชื่อของเธอทีละเล็กทีละน้อย แต่หลังจากปีใหม่เธอก็ไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้มาอีกเลย