อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 874 ข้อดี
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 874 ข้อดี
“ดังนั้นฉันจึงอยากบอกคุณว่าใครก็ตามที่ขอให้คุณลดน้ำหนักเพียงเพื่อรูปร่างที่ดีไม่ได้รักคุณจริงหรอกค่ะ เว้นแต่ว่าความอ้วนของคุณจะส่งผลต่อสุขภาพเท่านั้นแหละ” เจียงฉางซี่ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างจริงจังหรือเคร่งขรึมเล็กน้อยเมื่อตอนที่เธอกล่าวเช่นนั้นออกมา
เฟิ่งตันอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่จนถึงที่สุดแล้วก็พูดไม่ออกขณะที่กำลังมองเจียงฉางซีที่กำลังพูดกับเธออย่างจริงจัง
“คิดดูสิ เมื่อตอนที่คุณอยู่กับเขาในตอนแรก คุณก็หนักเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ตอนหลังเขากลับมาขอให้คุณลดน้ำหนัก สาเหตุก็เพียงเพราะเขารู้สึกว่าคุณไม่สวยพอหรือเขาไม่ได้รักคุณอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะเคยรักคุณมากขนาดไหนก็ตามทีเถอะ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้รักคุณแล้ว” เจียงฉางซี่กล่าวอย่างเฉียบขาดและมั่นใจ
“แต่…” เฟิ่งตันอยากจะพูดอะไรสักอย่างโดยไม่รู้ตัว แต่เธอยังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกเจียงฉางซี่ขัดจังหวะเสียก่อน
“ไม่มีแต่หรอกค่ะ ปกติพวกผู้ชายจะภูมิใจมากที่ทำให้แฟนสาวของเขาน้ำหนักขึ้นได้ซึ่งจะช่วยพิสูจน์ได้ว่าเขามีความสามารถ” เจียงฉางซี่พูดต่อไป “ผู้หญิงอย่างเราๆจะกินอาหารได้มากขึ้นก็ต่อเมื่อพวกเราได้อยู่กับคนที่เรารัก ถ้าหากวันหนึ่งฉันอ้วนขึ้นมา ฉันจะต้องหาคนที่รักฉันแล้วฉันก็รักเขาด้วยค่ะ”
ด้วยหูอันเฉียบคมของหยวนโจว เขาสามารถได้ยินเสียงพวกเธอได้อย่างง่ายดายเชียวล่ะ ส่วนคำพูดของเจียงฉางซี่เขาเห็นด้วยกึ่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีคำพูดที่เป็นที่นิยมในอินเตอร์เน็ตบอกว่าคนที่รักคุณจริงๆจะสนใจว่าคุณจะรู้สึกหนาวหรือไม่ขณะที่คนที่แค่ชอบคุณเท่านั้นจะสนใจแต่ว่าคุณแต่งตัวสวยหรือไม่เพียงเท่านั้น
เมื่อตอนที่เขาอ่านเจอข้อความนี้เป็นครั้งแรก หยวนโจวก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมา ทำไมเธอไม่สวมเสื้อผ้าให้หนาๆแต่ยังดูดีเสียเลยเล่า? ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายของเขา เขาเดาว่าเธอคงตระหนี่ถี่เหนียวจนไม่อยากเสียเงินมากกว่า
ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นด้วยกับข้อความอีกครึ่งหนึ่ง แต่เขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าเขาสามารถปล่อยให้แฟนสาวของเขากินเยอะๆทั้งยังมีสุขภาพดีไปพร้อมๆกันได้ด้วย
นั่นก็คือข้อดีโดยสิ้นเชิง เมื่อนึกได้เช่นนั้น หยวนโจวก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า
“แม้ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้คุณอ้วนขึ้นมาอีก แต่เขาก็จะไม่รังเกียจที่คุณอ้วนหรอกค่ะ เพราะสิ่งที่เขารักก็คือคุณหาใช่เนื้อหนังบนร่างกายของคุณ” เจียงฉางซี่ยักไหล่
“แน่นอนว่าตอนนั้นเขาย่อมต้องรักฉันอยู่แล้วค่ะ” เฟิ่งตันกล่าวอย่างดื้อแพ่งและจริงจัง
“ของมันแน่อยู่แล้วค่ะ ไม่งั้นเขาจะอยู่กับคุณไปทำไมกันล่ะคะ?” เจียงฉางซี่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเฟิ่งตัน
เมื่อได้รับความเห็นชอบจากผู้อื่นแล้ว เฟิ่งตันก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นพวกเธอก็เงียบไปสักครู่ อาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะเพียงจานเดียวยังส่งความร้อนออกมาอยู่นิดหน่อย
กลิ่นหอมของอาหารพุ่งเข้าสู่จมูกของเฟิ่งตันทีละน้อยทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจและผ่อนคลาย เธอลังเลอยู่สักครู่ก่อนที่จะกล่าวอะไรสักอย่างขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็อาจจะใช่ค่ะ เขาคงไม่ได้รักฉันอีกแล้วล่ะ”
“เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ต่อไปคุณก็จะไม่รักเขาเช่นกัน” เจียงฉางซีกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ ในสายตาของเธอนั้น มีเหตุผลแค่สองข้อเท่านั้นแหละที่ทำให้ไม่สามารถลืมคนรักเก่าได้ เหตุผลแรกก็คือเวลาไม่นานพอส่วนอีกคนที่เป็นคนรักใหม่ก็คงไม่ดีพอ
“แต่ว่าคนที่ปล่อยให้แฟนตัวเองอ้วนขึ้นถือว่าเขารักเธองั้นเหรอคะ? เขาไม่สนใจรูปร่างของเธอเลยงั้นหรือคะ?” เฟิ่งตันมักจะใส่ใจกับคำถามเช่นนี้อยู่เสมอ
“ฉันก็คิดว่างั้นนะคะ ถ้าคุณไม่เชื่อฉันล่ะก็ทำไมคุณไม่ลองถามเถ้าแก่หยวนที่ทำอาหารเก่งๆดูล่ะคะ?” เจียงฉางซี่เผยรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนแล้วโยนบอลมาให้หยวนโจว
เจียงฉางซี่เป็นคนที่มักจะวางตัวได้อย่างเหมาะสมอยู่เสมอ แม้ว่าเธอจะเล่าเรื่องตลกแต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นเลย ยกตัวอย่างเช่นหยวนโจวที่บังเอิญยืนอยู่ตรงโต๊ะยาวแบบโค้งและกำลังเสิร์ฟอาหารให้บรรดาลูกค้าอยู่ในตอนนี้
ในคราวนี้หยวนโจวจะสื่อสารกับบรรดาลูกค้าเป็นบางครั้งบางคราวและนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจียงฉางซี่กล่าวเช่นนั้นออกมา
“เถ้าแก่หยวน เรื่องนั้นจริงหรือเปล่าคะ?” เฟิ่งตันที่ได้รับการเตือนจากเจียงฉางซี่หันไปถามหยวนโจวทันทีโดยไม่รู้ตัว
“ผมสามารถ… ไม่ ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ เจียงฉางซี่ เธอเรียกฉันทำไมรึ?” ทันทีที่หยวนโจวตอบเธอ เขาก็อยากแสดงความคิดเห็นของตนเอง แต่จู่ๆเขาก็ชะงักไปทันทีแล้วค่อยพูดต่อ
ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวพบเจอปัญหาร้ายแรงเชียวล่ะ หากเขาแสดงความคิดเห็นออกไปก็มิเท่ากับเขาแอบฟังพวกเธอซุบซิบกันมาตลอดเลยหรือไง? เรื่องนั้นจะส่งผลต่อภาพลักษณ์เจ้าชายรูปงามของเขาโดยสิ้นเชิงเลยเชียวนะ
ดังนั้นหยวนโจวจึงเปลี่ยนคำพูดเมื่อก่อนหน้านี้ของตนเองด้วยความแยบยลขึ้นมาในทันที
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ…” จู่ๆเฟิ่งตันก็มีท่าทีตอบสนองขึ้นมาและเล่าถึงใจความสำคัญในคำพูดของเจียงฉางซีให้เขาฟังแล้วถามเขาอีกครั้ง
“งั้นคุณจะสนใจว่าต่อไปแฟนสาวของคุณจะกลายเป็นคนอ้วนไหมคะ เถ้าแก่หยวน? ถึงอย่างไรอาหารที่คุณทำก็อร่อยมากเหลือเกินละแฟนสาวของคุณไม่น่าจะผอมหรอกนะคะ” เฟิ่งตันถามด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง
คำถามจากเฟิ่งตันดึงดูดความสนใจของลูกค้าที่อยู่ข้างๆขึ้นมาทันทีโดยเฉพาะพวกสาวๆ
เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่หยวนโจวจะเปิดเผยมาตรฐานการเลือกคู่จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่พวกเธอจะต้องฟังเขาให้ดี ดังนั้นทุกคนจึงเงี่ยหูเตรียมตัวตั้งใจฟังเขาพูด
“ไม่ล่ะ ผมไม่สนใจหรอกครับ คงจะมีความสุขมากเชียวล่ะหากได้เห็นเธอกินอาหารของผมน่ะ” หยวนโจวกล่าวยืนยัน นั่นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน
“แล้วถ้าเธออ้วนขึ้นและดูไม่สวยอีกต่อไปแล้วล่ะคะ?” เฟิ่งตันถามต่อไปโดยไม่ยอมจำนนต่อคำตอบของเขา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ จากข้อดีของเขา สถานการณ์ดังกล่าวย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นอันขาด
“แล้วถ้าเธอไม่มีความสุขเลยล่ะคะ?” เฟิ่งตันถามต่อไป
“ผมสามารถพาเธอไปออกกำลังด้วยกันได้ครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมาตามตรงอย่างรวบรัด “และหากเธออ้วนขึ้นก็จะไม่มีใครกล้ามาท้าทายผมอีกยังไงล่ะครับ”
จากนั้นเฟิ่งตันก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอนั่งอึ้งอยู่กับที่และเอาแต่มองเหม่ออยู่อย่างนั้น
ตรงกันข้ามเลย หญิงสาวทั้งสองคนทางด้านข้างที่ได้ยินหยวนโจวพูดเช่นนั้นกลับเริ่มสนทนากันด้วยความตื่นเต้น
“ว้าว! อย่างที่คิดเอาไว้เลย เถ้าแก่หยวนสมกับที่เป็นเจ้าชายรูปงามของฉันเลย เขาเข้าใจความรู้สึกของเรามากจริงๆ” ถังซีท่าทีสนับสนุนหยวนโจวขึ้นเป็นครั้งแรก
“ถูกเผงเลย ฉันชอบแฟนหนุ่มที่ไม่สนใจเรื่องความอ้วนของฉันแบบนี้จัง” หญิงสาวแสนน่ารักและตุ้ยนุ้ยเอามือเกยคางแล้วกล่าวอย่างมีความสุข
“เถ้าแก่หยวนเป็นคนดีจัง” หญิงที่มีอายุมากกว่าหน่อยกล่าวชื่นชมพลางอมยิ้มอย่างสงวนท่าที
ส่วนบรรดาลูกค้าชายต่างยกนิ้วหัวแม่มือให้หยวนโจวด้วยสีหน้าที่อ่านออกได้ง่ายๆเลยว่า “พวกเราไม่คิดเลยว่านายจะหลอกผู้หญิงได้เก่งขนาดนี้ สุดยอดไปเลย!”
เมื่อได้รับคำชมจากพวกเขา หยวนโจวก็รู้สึกอายขึ้นมานิดหน่อย แต่เมื่อตัดสินจากแววตาที่เปี่ยมความหมายแล้ว เขาก็ต้องดูใจเย็นและสงบนิ่งเข้าไว้ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับเข้าครัวไปทันที
เดิมทีเขาก็คิดว่าตัวเองหน้าหนาพอตัว แต่เอาเข้าจริงๆเขาก็ยังรู้สึกอายกับคำชมของผู้อื่นอยู่นิดหน่อย
“โชคดีที่ฉันสวมหน้ากากเอาไว้นะเนี่ย” หยวนโจวคิดว่าเขาต้องฝึกให้ตัวเองหน้าหนามากกว่านี้ เขายังไปไม่ถึงจุดหมายเลย ขอแค่หน้าหนาได้หนึ่งในสิบของอู๋ไห่ก็พอแล้วล่ะ
“อย่าคิดมากไปเลยค่ะ คืนนี้ฉันจะเลี้ยงเบียร์คุณเองนะ พักนี้เบียร์ของเถ้าแก่หยวนอร่อยสุดยอดไปเลยเชียวล่ะ ทำไมไม่มีแก้วเสียเล่า?” เมื่อเห็นเฟิ่งตันมองเหม่อ เจียงฉางซี่ที่อยู่ข้างๆก็กล่าวขึ้นมาทันที
“อย่าดีกว่าค่ะ ฉันจะรับคำเชิญอันแสนมีน้ำใจของคุณได้อย่างไรกันคะ?” เฟิ่งตันตอบแล้วโบกมือด้วยความละอายใจขึ้นมาในทันที
ใช่แล้วล่ะ เจียงฉางซี่กับเฟิ่งตันรู้จักกันระหว่างมื้ออาหารและพวกเธอก็ไม่เคยติดต่อกันเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย แน่นอนว่าพวกเธอย่อมไม่สนิทพอที่จะดื่มเบียร์ด้วยกันได้
แน่นอนว่าเฟิ่งตันย่อมรู้สึกละอายใจอยู่นิดหน่อย แต่เธอรู้ว่าเจียงฉางซี่พูดออกมาเช่นนั้นก็เพื่อตัวเธอเอง เพราะฉะนั้นเฟิ่งตันจึงไม่ปฏิเสธเธอทันที
แน่นอนว่าเบียร์ของหยวนโจวก็เป็นสาเหตุที่สำคัญยิ่ง เธอหวังที่จะได้มาลองลิ้มรสชาติอยู่นานแล้วแต่ก็ยังไม่เคยมีโอกาสเสียที
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ ฉันก็มักจะเลี้ยงเหล้าคนอื่นอยู่บ่อยๆน่ะ ฉันรู้สึกดีที่ได้ดื่มร่วมกับคนอื่นๆ ยังไงวันนี้ก็มาดื่มด้วยกันเถอะนะคะ” เจียงฉางซี่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก
“งั้นก็ได้ค่ะ คราวหน้าฉันขอเป็นคนเลี้ยงก็แล้วกันนะคะ” เมื่อเห็นเจียงฉางซีดูมีท่าทีจริงจังมากเสียขนาดนั้น เฟิ่งตันก็ไม่หลบเลี่ยงคำเชิญอีกต่อไป เธอจึงพยักหน้าตอบตกลง
ในที่สุดเมื่อพวกเธอนัดหมายกันแล้ว เวลาอาหารค่ำก็สิ้นสุดลง โชคดีที่อาหารและจานบนโต๊ะยังอุ่นอยู่
พวกเธอทั้งสองคนยังคงคุยกันไปพลางยิ้มกันไปพลางจนหมดเวลาอาหาร ในตอนนั้นเอง พวกขี้เมาก็มาถึงแล้ว