อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 877 ปานจื่อทอดกรอบ
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 877 ปานจื่อทอดกรอบ
“สวัสดีครับ หัวหน้าเชฟเฉา” หยวนโจวพยักหน้าแล้วทักทายเขา
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ อาหารในครัวต้องทำใหม่ๆเพื่อให้คุณสามารถกินได้ทันทีที่มาถึง ช้าไปหรือเร็วไปสักนาทีก็ไม่ดีนัก ดังนั้นผมเลยไม่ได้ออกไปต้อนรับคุณที่ประตูเลย” เฉาจื่อซูอธิบายอย่างรีบร้อนขณะที่กำลังเดินมาหาเขา
ใช่แล้วล่ะ ตามความเข้าใจในมารยาทของเฉาจื่อซู เขาต้องลงไปที่ประตูแล้วต้อนรับแขกด้วยตนเอง
แต่บังเอิญว่ามีอาหารที่ต้องปรุงใหม่ๆ ดังนั้นเฉาจื่อซูจึงไม่ได้ลงไปต้อนรับหยวนโจวเพื่อดึงรสชาติที่ดีที่สุดของอาหารออกมาและเพื่อให้หยวนโจวได้กินอาหารที่อร่อยที่สุด
“ไม่เป็นไรครับ อาหารสำคัญกว่า” หยวนโจวไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ เมื่อขอโทษไปตามพิธีแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้สึกผิดในใจอีก
“หัวหน้าเชฟหยวนใจกว้างจริงๆ เชิญทางนี้เลยครับ ไปเอาอาหารเรียกน้ำย่อยมาซิ” เฉาจื่อซูกล่าวกับหยวนโจวก่อนพลางอมยิ้มแล้วสั่งบริกรที่ยืนอยู่ทางด้านข้าง
“ขอบคุณครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา
“ไม่เป็นไรครับ พออาหารเรียกน้ำย่อยถูกยกมาเสิร์ฟแล้ว ผมยังต้องกลับเข้าครัวไปตรวจสอบอาหารที่ทำไว้ ขออย่าได้ถือสาที่ผมไม่สามารถร่วมกินอาหารกับคุณได้เลยนะครับ” เฉาจื่อซูระเบิดหัวเราะออกมาแล้วกล่าวขึ้นมาทันที
หยวนโจวอยากจะบอกว่าเขากินอาหารคนเดียวมาหลายปีแล้ว
การแลกเปลี่ยนเพื่อมิตรภาพไม่จำเป็นต้องเป็นการแข่งขันจริงๆก็ได้ มารยาทในระดับดังกล่าวนับว่าทำได้พอเหมาะพอดีเชียวล่ะ
“ไม่หรอกครับ ที่จริงกินอาหารคนเดียวก็ไม่เลวอยู่นะครับ ในเมื่อเงียบแล้วผมก็จะได้จดจ่ออยู่กับการชิมได้” หยวนโจวส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างจริงจัง
“มีแต่คนบอกว่าเถ้าแก่หยวนไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิม ดูท่าทางจะเป็นเรื่องจริงสินะครับ” เฉาจื่อซูกล่าวขึ้น
คราวนี้หยวนโจวไม่ตอบเขาได้แต่พยักหน้าเท่านั้น แล้วเขาก็ตามเฉาจื่อซูเข้าห้องแยกไป
ทันทีที่เขาเข้ามาในห้องก็เห็นภาพเขียนจีนโบราณขุนเขาและสายน้ำอยู่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าขุนเขาก็หมายถึงเขาหลงเหมินที่เป็นชื่อห้องแยกนั่นเอง
มันเป็นภาพเขียนน้ำหมึกที่ค่อนข้างเปี่ยมไปด้วยอารมณ์แห่งกวีนิพนธ์ เมื่อตัดสินจากคุณภาพแล้วจะต้องเป็นผลงานของปรมาจารย์อย่างแน่นอน
นับเป็นความสุขทีเดียวที่ได้กินอาหารไปพลางชื่นชมภาพเขียนไปพร้อมๆกัน เทียบกันแล้วร้านของฉันเรียบง่ายกว่ากันเยอะเลย แถมยังเป็นแค่สถานที่สำหรับการกินอาหารโดยปราศจากสิ่งของไร้สาระอีกต่างหาก หยวนโจวแอบคิดในใจ
จะว่าไปแล้วหยวนโจวลืมนึกถึงผู้คนที่เดินผ่านร้านอาหารเล็กๆกับนี่แหละชีวิตอันเป็นภาพเขียนทั้งสองในร้านของเขาเองไป ถึงแม้ว่าจำนวนภาพเขียนของเขาจะไม่เยอะเท่าในร้านซู แต่กลับแพงกว่ากันมากเลยทีเดียว
“ก๊อก ก๊อก”
เฉาจื่อซูเพิ่งจะแนะนำเมนูในวันนี้ตอนที่ประตูถูกเคาะ
“เข้ามาได้” เฉาจื่อซูหยุดคุยกับหยวนโจวแล้วตอบออกไป
จากนั้นบริกรสองที่คนหนึ่งเป็นชายและอีกคนหนึ่งเป็นหญิงก็เดินเข้ามา พวกเขาทั้งคู่แต่งกายในชุดต้วนต๋าอันเป็นเครื่องแต่งกายแบบจีนฮั่นเป็นพิเศษ
บริกรชายยกถาดอยู่ทางด้านข้างส่วนบริกรหญิงยกจานออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะทีละจาน เมื่ออาหารทุกจานวางอยู่บนโต๊ะแล้ว บริกรหญิงก็อ้าปากแล้วกล่าวขึ้นมา
“นี่คืออาหารจานเย็นหกอย่าง ทานให้อร่อยนะคะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็ค่อยๆเดินออกไปจากห้องไป พวกเขาไม่ได้รายงานชื่ออาหารเนื่องจากหยวนโจวไม่ใช่ลูกค้าและอันที่จริงก็เป็นแค่การแลกเปลี่ยนวิชาเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงข้ามขั้นตอนนี้ไป
“ขอบคุณครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วนั่งลง
“หัวหน้าเชฟหยวน ผมไม่รบกวนคุณชิมอาหารแล้วล่ะ ผมจะไปที่ครัวเพื่อเตรียมอาหารจานร้อนแล้วยกมาเสิร์ฟนะครับ” เฉาจื่อซูกล่าวขึ้น
“อืม ไม่ต้องปิดประตูหรอกครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วสั่ง
“ไม่มีปัญหาครับ” เฉาจื่อซูยิ้มกว้างและพยักหน้าแล้วเดินออกไป
ทันทีที่เขาเข้าห้องไปแล้ว หยวนโจวก็รู้ว่าหากประตูและม่านเปิดออก เขาก็จะเห็นสภาพภายในครัวได้ทันที
ด้วยสายตาอันเฉียบคมของเขา หยวนโจวจึงสามารถมองเห็นเครื่องใช้ในครัวที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบได้ง่ายๆและเตาแก๊สที่สะอาดราวกับเป็นของใหม่เอี่ยมอ่องในครัวรวมไปถึงเชฟที่ยุ่งง่วนอยู่ข้างใน
เนื่องจากหยวนโจวสามารถมองเห็นครัวได้อย่างชัดเจน ผู้คนในครัวเองก็สามารถมองเห็นหยวนโจวกินอาหารได้เช่นกัน แบบนี้พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจกันและกันได้
และนี่ก็คือสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เฉาจื่อซูเลือกห้องนี้
หยวนโจวยอมรับแผนผังนี้มากทีเดียว เขาเองก็รู้สึกได้ว่าเฉาจื่อซูเจ้าเล่ห์ไม่เบา
“เขาทั้งเจ้าเล่ห์และมีฝีมือจริงๆ ไม่สิ ฉันควรจะบอกว่าเขาฉลาดและเป็นหัวหน้าเชฟที่มีไหวพริบเชียวล่ะ” หยวนโจวมองเฉาจื่อซูเดินออกมาแล้วบ่นพึมพำอยู่ในใจ
แน่นอนว่าเฉาจื่อซูเองก็ค่อนข้างพึงพอใจมากทีเดียวที่หยวนโจวบอกให้เขาไม่ต้องปิดประตู
หัวหน้าเชฟหยวนผู้นี้ช่างเป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา เป็นคนดีคนหนึ่งทีเดียว! เฉาจื่อซูคิดในใจแล้วเดินเข้าครัวไป
หลังจากทุกคนออกไปหมดแล้ว หยวนโจวก็กันไปมองอาหารหลายๆจาน อาหารจานเย็นทั้งหกจานวางอยู่บนโต๊ะเป็นรูปกลีบดอกไม้
แต่ปริมาณในแต่ละจานน้อยมากเสียจนสามารถกินหมดได้ในสองคำ พวกมันดูงามวิจิตรทว่าก็มีปริมาณน้อยด้วย
รูปร่างและลักษณะภายนอกของแต่ละจานจะแตกต่างกันไปตามอาหารชนิดต่างๆในจาน
ยกตัวอย่างเช่นเต้าหู้แห้งผัดเห็ดป่า จานเป็นเพียงแค่รูปใบไม้สีเขียวมรกตที่เห็นเส้นใบได้อย่างชัดเจน
ในจานสีเขียวมรกต เต้าหู้แห้งหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าสีน้ำตาลและสีขาวเสิร์ฟพร้อมเห็ดสีน้ำตาลเข้มนิดหน่อยดูเหมือนจะช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีทีเดียว
นอกเหนือไปจากนั้น ทุกจานยังมีน้อยมากอีกต่างหาก ด้วยปริมาณที่น้อยถึงเพียงนั้น พวกมันจึงสามารถกระตุ้นทั้งความอยากอาหารของเขาและช่วยให้เขาสามารถชิมอาหารจานถัดมาได้ นี่คือวิธีการกินอาหารจานเย็นที่ถูกต้อง
หยวนโจวไม่รั้งรออีกต่อไป เขาหยิบตะเกียบของตัวเองออกมาจากกระเป๋าด้านในแล้วเริ่มชิมไปทีละจาน
“ขอลองชิมเต้าหู้แห้งก่อนก็แล้วกันนะ” หยวนโจวกล่าวขึ้น
ข้อดีของตะเกียบไร้รสของเขาก็คือพวกเขาสามารถสกัดกั้นรสชาติอื่นที่ผสมปนเปกันได้แม้ว่าหยวนโจวจะเอื้อมไปกินอาหารอีกอย่างแล้วก็ตามที แต่นับเป็นข่าวดีสำหรับหยวนโจวผู้มีประสาทรับรสว่องไวเช่นนั้น
มิฉะนั้นก็คงลำบากกับการเปลี่ยนตะเกียบสำหรับอาหารต่างๆมากเหลือเกินทั้งยังอาจส่งผลต่ออรรถรสในการกินอีกด้วย
“อาหารเรียกน้ำย่อยต้องโดดเด่นเรื่องรสชาติที่ค่อนข้างเผ็ดชาและเปรี้ยว นอกเหนือไปจากนั้น รสเปรี้ยวดูเหมือนจะเป็นกรดผลไม้เหมือนๆกับรสชาติส่วนใหญ่ในใช้กันในมณฑลกุ้ยโจว” หยวนโจวค่อยๆชิมอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หยวนโจวสามารถมองเห็นทั้งครัวได้อย่างชัดเจนแต่กลับไม่เห็นบริกรเลยสักคน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างแท้จริงเมื่อมีคนยกอาหารจานร้อนเข้ามาในห้องทันทีที่เขากินอาหารจานเย็นหมด
ถึงอย่างไรหยวนโจวก็เพิ่งจะกินอาหารจานเย็นหมดตอนนั้นเอง อาหารจานร้อนก็ถูกยกมาเสิร์ฟแล้ว ช่างเลือกเวลาได้น่าประทับใจเอามากๆเลย
แน่นอนว่าคนที่ไม่สะทกสะท้านอะไรอย่างหยวนโจวก็เพียงแค่รักษาความสงบนิ่งของเขาไว้เท่านั้น เขาพยักหน้าด้วยความสุภาพแล้วมองไปที่อาหารจานใหม่
“นี่คือปานจื่อทอดกรองที่หัวหน้าเชฟของเราทำขึ้นเป็นพิเศษ ทานให้อร่อยนะครับ” บริกรบุ้ยใบ้ไปยังอาหารในมือของเขา จากนั้นเขาก็ค่อยๆออกไปจากห้องจนกระทั่งลับตาไปจนหยวนโจวมองไม่เห็น
หยวนโจวเลิกชะเง้อคอเพื่อค้นหาคนผู้นั้นว่าปรากฏตัวและหายตัวไปได้อย่างไรกัน
“จะเกี่ยวข้องกับโครงสร้างสถาปัตยกรรมหรือเปล่านะ?” หยวนโจวเอียงศีรษะนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่เห็นบริกรที่เพิ่งจะมาเสิร์ฟอาหารเมื่อสักครู่นี้เลย
“ความสามารถในการสังเกตเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมไปเลยจริงๆ” หยวนโจวหันกลับมาแล้วบ่นพึมพำอยู่ในใจ เขากินอาหารจานเย็นเกือบหมดแล้วตอนที่อาหารจานใหม่ถูกยกมาเสิร์ฟ
“ปานจื่อทอดกรอบงั้นรึ? นี่ไม่ใช่อาหารจานโปรดของจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ฉางไต้เฉียนผู้นั้นหรอกหรือ?” บังเอิญว่าหยวนโจวก็รู้จักอาหารจานนี้
เขารู้จักอาหารจานนี้ก็เพราะตูดไก่ย่างเห็ดเป็นอาหารที่สาบสาญไปที่เจ้าระบบตกรางวัลให้นั่นเอง
ตูดไก่ย่างเห็ดเป็นอาหารจานโปรดของฉางไต้เฉียน ดังนั้นหยวนโจวจึงศึกษาอัตชีวประวัติของเขามาอย่างละเอียดจึงได้รู้ว่าจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้เองก็ชอบกินเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวได้ว่าฝีมือการทำอาหารของฉางไต้เฉียนดีกว่าความสามารถในการเขียนภาพของเขาเสียอีก อย่างที่ทุกคนรู้ๆกันอยู่ ความสามารถในการเขียนภาพของฉางไต้เฉียนจัดว่าได้รับการยกย่องให้เป็นอันดับ 1 ในช่งระยะเวลา 500 ปีโดยสวีเปยหง เมื่อตอนที่เขากำลังท่องเที่ยวประเทศแถบตะวันตกเพื่อความบันเทิง เขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็น “พู่กันแห่งตะวันออก”
นอกเหนือไปจากนั้นเขายังได้รับความนิยมพอๆกับปีกัสโซ่ พวกเขามีฉายาว่า “ฉางไต้เฉียนแห่งตะวันออกและปีกัสโซ่แห่งตะวันตก” ไม่ว่าผู้ใดก็คงจินตนาการถึงความสามารถอันโดดเด่นในการเขียนภาพของเขาได้
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีคนบอกว่าฝีมือในการทำอาหารของฉางไต้เฉียนก็สุดยอดมากเช่นกัน เขาไม่เพียงจะรู้วิธีกินแต่ยังรู้วิธีทำอีกต่างหาก
“อาหารจะมีรสชาติของจิตรกรฉางไต้เฉียนหรือเปล่านะ?” หยวนโจวตั้งหน้าตั้งตารอคอยอาหารจานนี้มาก เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเอื้อมไปที่ปานจื่อทอดกรอบ
[0] ปานจื่อ(扳指) เป็นแหวนหยกสวมนิ้วหัวแม่มือส่วนต้วนต๋า (短打) เป็นชุดเครื่องแต่งกายสมัยราชวงศ์ฮั่นที่สั้นและสวมใส่สบายชนิดหนึ่งที่เหมาะแก่การเคลื่อนไหวและการทำงาน