อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 878 หยวนโจวผู้หนักแน่น
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 878 หยวนโจวผู้หนักแน่น
ความรู้เกี่ยวกับปานจื่อทอดกรอบของหยวนโจวส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เข้าค้นหามาได้และอัตชีวประวัติของฉางไต้เฉียนที่เจ้าระบบหามาให้
ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างแน่ใจเรื่องอาหารจานนี้มาก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยลิ้มลองมาก่อนเลย
ปานจื่อทอดกรอบเป็นสีแดงอมทอง ทางด้านข้างมีผักกาดหอมสีเขียวสดวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบพร้อมซอสจิ้มถ้วยเล็กๆ
อาหารจานนี้สามารถกินได้ด้วยตะเกียบทันทีหรือจะห่ออยู่ในผักกาดหอมแล้วค่อยกินกับซอสจิ้มก็ได้
ที่จริงแล้วปานจื่อคือส่วนปลายของลำไส้หมู แน่นอนว่าหมูย่อมมีส่วนปลายลำไส้เพียงแห่งเดียว มันจะถูกตัดให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ถึงแม้จะนำไปทอดในน้ำมันก็ยังไม่แข็งเลย เมื่อคีบขึ้นมาอยู่ระหว่างตะเกียบก็จะรู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มอยู่หน่อยๆ
“ดูเหมือนปานจื่อเลยแฮะ” หยวนโจวค่อยๆมองดูให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้วกล่าวยืนยัน
จากนั้นเขาก็ยัดเข้าปากแล้วเริ่มเคี้ยวทันที
จริงๆแล้วส่วนปลายของลำไส้เป็นอาหารที่เคี้ยวยากชนิดหนึ่งแต่อาหารชนิดนี้กลับมีความแปลกอย่างหนึ่ง ทันทีที่เข้าปากไปแล้ว หยวนโจวก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงพื้นผิวอันกรุบกรอบและส่วนปลายของไส้อ่อนที่อยู่ข้างใน
“กรุบ กรุบ” เมื่อเขากัดเข้าไปก็กลิ่นหอมประหลาดก็ระเบิดออกมาจากภายใน รสชาติช่างแตกต่างจากเนื้อหมูโดยสิ้นเชิง อันที่จริงแล้วมันเป็นรสชาติที่เหนือคำบรรยายอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังดึงดูดให้เขาเคี้ยวมันต่อไปได้
ส่วนปลายของลำไส้สุกเกินไปและรสชาติก็ค่อนข้างอ่อนเพราะถูกนึ่งเอาไว้ล่วงหน้า ผนวกกับพื้นผิวสีน้ำตาลกรุบกรอบจึงให้รสชาติที่ดี
หยวนโจวกลืนปานจื่อทอดกรอบลงไปคำหนึ่งแล้วดื่มน้ำอุ่นไปสามอึกจิดๆกันเพื่อล้างปาก
จากนั้นเขาก็หยิบปานจื่อทอดกรอบอีกชิ้นขึ้นมา คราวนี้เขาจิ้มส่วนปลายของลำไส้ลงในซอสจิ้มก่อนที่อยู่ทางด้านข้างก่อนแล้วค่อยหยิบผักกาดหอมขึ้นมาห่อ
หลังจากนั้นหยวนโจวก็พับผักกาดหอมให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็กด้วยตะเกียบแล้วยัดเข้าปาก เขาใช้ตะเกียบมาโดยตลอดและไม่ได้ใช้มือเลยสักนิด
คราวนี้ดูเหมือนว่าจะมีรสชาติที่แตกต่างกันมากยิ่งขึ้นในปานจื่อทอดกรอบ อย่างแรกคือความสดใหม่ของผักกาดหอม ต่อมาคือความกรุบกรอบของพื้นผิวสีน้ำตาลแล้วก็รสหวานและรสเปรี้ยวของซอสจิ้มและสุดท้ายก็คือกลิ่นหอมประหลาดของด้านในส่วนปลายของลำไส้
“หอม กรุบกรอบ เกรียม นุ่มและอร่อย” หยวนโจวค่อยๆลิ้มรสให้ละเอียดถี่ถ้วน “อาหารจานนี้นับว่าเป็นอาหารชั้นยอดเชียวล่ะ”
หยวนโจวมักจะแสดงความคิดเห็นกับอาหารด้วยวิธีการให้คะแนนระหว่าง 1-10 และอีกหลายๆระดับคือสูง กลางและต่ำ ทั้งนี้เขาได้มอบความคิดเห็นในแง่ดีแก่อาหารจานนี้ด้วย เฉาจื่อซูช่างเป็นเชฟที่มีความสามารถอย่างแท้จริง
ในสายตาของหยวนโจว ปานจื่อทอดกรอบจานนี้ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องสงสัยเลย มันผสมผสานทุกรสชาติเข้าด้วยกันได้ดีเชียวล่ะ
มีปานจื่อทอดหรอบอยู่ทั้งหมดห้าชิ้นกับผักกาดหอม อาหารงามประณีตแต่กลับถูกเสิร์ฟด้วยปริมาณน้อยนิด เหมือนกับอาหารฝรั่งเศสที่หยวนโจวเคยกินมาแล้วครั้งหนึ่ง ในตอนนี้เขากินไปทีละคำอย่างมีความสุขเหลือเกิน
ดังนั้นอาหารจานนี้จึงหมดลงในไม่ช้า ในตอนนี้ บริกรชายที่ปรากฏตัวขึ้นและหายตัวไปอย่างลึกลับก็ยกอาหารจานใหม่ขึ้นมาเสิร์ฟอีกครั้ง
หยวนโจวแสดงความคิดเห็นต่ออาหารอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ในใจเช่นเคย อาหารที่ตามมาติดๆกันสองจานต่างมีการออกแบบที่งามประณีตแต่กลับมีปริมาณเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ตราบเท่าที่หยวนโจวสามารถกินได้อีก อาหารก็จะถูกทำขึ้นง่ายๆแต่อร่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกเหนือไปจากนั้น หยวนโจวก็คุ้นเคยกับตารางเวลาของบริกรชายแล้ว
เอาง่ายๆเลยนะแค่ฝีเท้าก็สามารถรับรองได้แล้วว่าหยวนโจวกินอาหารจานที่แล้วจนเกลี้ยงแล้วดื่มน้ำไปอึกหนึ่งก่อนที่อาหารจานใหม่จะถูกยกมาเสิร์ฟเสียอีก ทุกอย่างเป็นที่น่าพึงพอใจยกเว้นข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆบางอย่างในอาหารจานรอง
ในขณะที่หยวนโจวกำลังกินอย่างมีความสุขอยู่ในห้องโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนอยู่นั้น เฉาจื่อซูที่กำลังเฝ้าสังเกตเขาในครัวก็รู้สึกผิดหวัง
“ถึงแม้ว่าเขาจะอายุน้อยอยู่เลย แต่หัวหน้าเชฟหยวนดูเหมือนจะค่อนข้างหนักแน่นมากทีเดียว ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้เขาไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย” เฉาจื่อซูลูบศีรษะล้านเลี่ยนของเขาเองด้วยความสับสน
จะว่าไปแล้วเฉาจื่อซูก็ไม่รู้หรอกว่าหยวนโจวหาได้หนักแน่นอะไรเลย แต่มันเป็นผลมาจากการแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจของเขาล้วนๆ
“หัวหน้าเชฟครับ”
ขณะที่เฉาจื่อซูยังคาดเดาต่อไปอยู่นั้น จ้าวน้อยก็เข้ามาใกล้ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็อ้าปากขึ้นมาทันที
จ้าวน้อยเคยเป็นผู้ช่วยเชฟโรงแรมระดับสามดาวที่หยวนโจวทำงานมาก่อน แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ว่าหยวนโจวคือผู้ที่จะมาแลกเปลี่ยนวิชาในวันนี้
เขารอคอยอยู่ทางด้านข้างอย่างรำคาญใจเพื่อดูว่าหยวนโจวผู้นี้จะใช่คนที่เขารู้จักจริงๆหรือเปล่า
แม้ว่าเขาจะเคยเห็นรายงานและภาพถ่ายของหยวนโจวมาแล้วก็ตามที แต่เขาก้ยังไม่อยากจะเชื่อเลย
ในความรู้สึกของเขา หยวนโจวไม่นับเป็นอะไรได้เลยนอกจากลูกมือในครัวของโรงแรม จู่ๆเขาจะมีความสามารถและมีชื่อเสียงในวงการทำอาหารไปได้อย่างไรกันเล่า?
แม้ว่าเขาจะก้าวหน้าได้ราวกับจรวด แต่ก็ไม่อาจรวดเร็วได้ขนาดนั้นหรอก
เนื่องจากวันนี้เฉาจื่อซูเตรียมอาหารด้วยตัวเอง จ้าวน้อยจึงต้องอยู่ในครัวเพื่อช่วยและศึกษางานไปด้วย ดังนั้นจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของหยวนโจวเลย
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ? ไฟเรียบร้อยดีใช่ไหม?” เฉาจื่อซูถามขึ้น
“รุ่นพี่กำลังดูไฟให้อยู่ครับ” จ้าวน้อยตอบอย่างนอบน้อม
“อืม งั้นนายมาทำอะไรที่นี่เล่า?” เฉาจื่อซูถามอีกครั้ง
“อาจารย์ครับ ผมไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องดีที่ปล่อยให้บริกรไปเสิร์ฟอาหาร อีกทั้งผมยังอายุน้อยและไม่สะดุดตาเลยอยากจะขอถามความเห็นของหัวหน้าเชฟหยวนตอนที่ผมยกอาหารไปเสิร์ฟน่ะครับ” จ้าวน้อยกล่าวอย่างกระตือรือร้นและสวยงาม
เขาวางบันไดเอาไว้ตรงเท้าของเฉาจื่อซูด้วยการพูดเช่นนั้นและยังให้เหตุผลที่เพียงพอที่จะทำเช่นนั้นอีกด้วย
จ้าวน้อยพูดถูก เชฟที่มีชื่อเสียงอย่างเฉาจื่อซูไม่น่าจะเข้าไปถามหยวนโจวเรื่องความเห็นหรือสังเกตสีหน้าของเขาอย่างใกล้ชิดหรอก นั่นออกจะเป็นการลดเกรดตัวเขาเองไปเสียสิ้น
แน่นอนว่าเฉาจื่อซูย่อมไม่ทำเรื่องน่าอับอายพรรค์นั้นหรอก แต่ก็อยากจะทราบความเห็นของหยวนโจวเช่นกัน
“เอาล่ะ นายไปเสิร์ฟปลาต้มเผ็ดเถอะ” เฉาจื่อซูชี้ไปทางอาหารที่เพิ่งจะปรุงเสร็จใหม่ๆแล้วกล่าวขึ้นโดยไม่ลังเล
“วางใจได้เลยครับอาจารย์ จ้าวน้อยกล่าวอย่างแยบยล
ในขณะที่กำลังยกปลาต้มเผ็ดที่เพิ่งจะปรุงเสร็จใหม่ๆ จ้าวน้อยก็เดินไปทางห้องเขาหลงเหมินอย่างไม่รีบร้อน
“ให้ผมทำเองเถอะครับ เชฟจ้าว” บริกรชายที่เพิ่งจะยกอาหารไปร์ฟเมื่อสักครู่รีบเดินเข้าไปหาแล้วบอกกับเขา
“ไม่ต้องหรอก ผมจะยกไปเสิร์ฟเขาเอง” เจ้าน้อยกล่าวอย่างจริงจัง
“ก็ได้ครับ” บริกรชายถอยกลับไปทีหนึ่งอย่างนอบน้อม
จากนั้นจ้าวน้อยก็ยกปลาต้มเผ็ดเข้าไปในห้องเขาหลงเหมินที่หยวนโจวอยู่
“นี่คือปลาต้มเผ็ดอาหารจานเด็ดของโรงแรมเรา ทานให้อร่อยนะครับ” จ้าวน้อยก้มหน้าแล้วยกอาหารขึ้นมาเสิร์ฟอย่างเอาจริงเอาจังทันทีที่เขามาในห้อง
ตลกน่า! จ้าวน้อยไม่กล้าทำให้อาหารจานเด็ดของเฉาจื่อซูมีปัญหาเพราะความอิจฉาริษยาของเขาหรอกน่า ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือแนะนำอาหารแล้ววางลงบนโต๊ะเสียก่อน
“ขอบคุณครับ” หยวนโจวเช็ดปากแล้วกล่าวโดยไม่รู้ตัว
ทุกครั้งที่มีอาหารยกมาเสิร์ฟ หยวนโจวก็จะกล่าวขอบคุณบริกรซึ่งหยวนโจวเคยชินเสียแล้ว และแน่นอนว่าเขายังคุ้นเคยกับบริกรที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันแล้วด้วย
หลังจากหยวนโจวกล่าวขอบคุณแล้ว จ้าวน้อยก็วางปลาต้มเผ็ดลงมา จากนั้นเขาค่อยเงยหน้าขึ้น
หยวนโจวที่อยู่ตรงหน้าเขาแต่งกายในชุดจีนฮั่นและนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เนื้อแข็งที่สลักเสลาอย่างประณีตด้วยหลังที่เหยียดตรงและท่านั่งตัวตรงและมั่นคง เขามีไว้ผมสั้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยการเตรียมพร้อมและรูปร่างที่ไม่ได้ผอมหนังหุ้มกระดูก
โดยรวมแล้ว คนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีความมุ่งมั่นเท่านั้นแต่ยังหล่อเหลาอีกต่างหาก
แต่เมื่อตัดสินจากรูปร่างหน้าตาแล้ว เขาก็คือหยวนโจวที่จ้าวน้อยรู้จักจริงๆเสียด้วย เมื่อตอนที่พวกเขาเคยทำงานด้วยกันมาก่อน หยวนโจวเป็นแค่ลูกมือในครัวของโรงแรมระดับสามดาวเท่านั้น
“หยวนโจวงั้นรึ?” หยวนโจวกล่าวออกมาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อหยวนโจวได้ยินว่ามีคนเรียกเขาอยู่ เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาเช่นกัน
เขาจำจ้าวน้อยผู้นี้ไม่ได้ในทันที ถึงอย่างไรในครัวก็มีคนตั้งเยอะตั้งแยะแถมผู้ช่วยเชฟคนนี้ก็แทบไม่เคยพูดคุยกับเขาเสียด้วยซ้ำไป อันที่จริงแล้วหยวนโจวสนิทกับตุ้นจื่อมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ลาออกมากว่าปีแล้วจึงทำให้หยวนโจวจำเขาไม่ได้ในทันที
“ฉันเองไง จ้าวซิน ผู้ช่วยเชฟของโรงแรม” จ้าวน้อยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเดือดดาลแล้วกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“โอ้ คุณนั่นเอง ผู้ช่วยเชฟจ้าว คุณเปลี่ยนงานนี่เอง” หยวนโจวทักทายเขาอย่างสุภาพ
“ผมอยู่ร้านซูมาสองปีแล้ว หยวนน้อยผมรู้มาว่าตอนนี้คุณเองก็เป็นเชฟแล้วนี่” จ้าวน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยากจะเข้าใจได้
“มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นน่ะสิครับ ดังนั้น…” จู่ๆหยวนโจวก็นึกถึงเจ้าระบบขึ้นมา
หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมา ทั้งสองคนต่างตกอยู่ในความเงียบ หยวนโจวไม่รู้จักจ้าวน้อยส่วนจ้าวน้อยก็ไม่อยากพูดอะไรอีก
ถึงอย่างไรบทบาทก่อนหน้านี้ของพวกเขาก็สับเปลี่ยนกันแล้วยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงมากเสียจนตอนนี้พวกเขาหาได้อยู่ในขั้นเดียวกันอีกแล้ว พูดก็พูดเถอะนะ พวกเขาอยู่คนละโลกกันไปเสียแล้วล่ะ
“แม่งเอ๊ย!” นั่นก็คือความรู้สึกของจ้าวน้อยในตอนนี้