อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 884 การมาถึงของซุนหมิง
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 884 การมาถึงของซุนหมิง
หลังจากหยวนโจวกล่าวถ้อยคำพวกนั้นออกมา เฉาจื่อซูก็รู้สึกผิดน้อยลง แถมยังถูกแทนที่ด้วยความชื่นชมแทน มาตอนนี้เขารู้แล้วล่ะว่าทำไมหยวนโจวถึงได้เป็นสุดยอดเชฟตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะต้องกินอาหารของตัวเองให้หมดแน่ๆ” เฉาจื่อซูหัวเราะก่อนที่จะกินต่อ “สัดส่วนสำหรับที่เดียว ช่างเป็นคำพูดที่ดีอะไรอย่างนั้น”
“ทานให้อร่อยนะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา อันที่จริงแล้ว เขาหาได้เข้าใจเรื่องที่เฉาจื่อซูกำลังหัวเราะอยู่เลยแม้แต่น้อย
เฉาจื่อซูกินอาหารไปสองคำก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “เถ้าแก่หยวน นี่เป็นกฎที่ไม่ดีเอาเสียเลยนะครับ จะมีคนที่กินอาหารอร่อยขนาดนี้ไม่หมดได้ยังไงกัน? ผมคิดว่าจะมีแต่คนอยากขอเพิ่มอีกมากกว่าจะกินไม่หมดเสียมากกว่านะ”
ไม่ว่าใครก็ย่อมยินดีไปกับสิ่งดีๆ คราวนี้เฉาจื่อซูตั้งใจเยินยอหยวนโจว ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งใจเยินยอ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าปลาต้มเผ็ดรสชาติอร่อยจริงๆ
ตั้งแต่ตอนที่กินปลาต้มเผ็ด เฉาจื่อซูเกือบจะขอสูตรของหยวนโจวไปเสียแล้ว
“หัวหน้าเชฟเฉาชมเกินไปแล้ว ยังมีส่วนที่ต้องปรับปรุงอยู่อีกมากครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้น เขาไม่ได้ถ่อมตัว หากแต่มีความตั้งใจจริงโดยสิ้นเชิง ถึงอย่างไรปลาต้มเผ็ดก็หาใช่อาหารที่เจ้าระบบตกรางวัลมาให้ ดังนั้นอาหารจานนี้จึงเป็นสิ่งที่เขารังสรรค์ขึ้นมาด้วยตัวเองอันประกอบไปด้วยรสชาติที่ห้าก็คือรสหวานและรสชาติที่หกซึ่งก็คือปลาเป็นๆนั่นเอง
ในความคิดของหยวนโจว ปลาต้มเผ็ดจานนี้ยังมีส่วนที่ต้องปรับปรุงอยู่อีกมาก อย่างน้อยน้อยก็มีอีกหลายส่วนที่ต้องปรับปรุงในด้านของวัตถุดิบที่นำมาใช้
โชคดีที่เฉาจื่อซูหาได้ล่วงรู้ความคิดของหยวนโจว มิฉะนั้น… เขาคงได้เริ่มสบถไม่หยุดหย่อนเป็นแน่
เฉาจื่อซูตอบอย่างจริงจังว่า “หัวหน้าเชฟหยวนถ่อมตัวเกินไปแล้ว ปลาต้มเผ็ดจานนี้อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาเลยล่ะ ผมพูดเรื่องจริงนะ ฝีมือการทำอาหารของหัวหน้าเชฟหยวนยอดเยี่ยมไปเลยแหละครับ ในฐานที่เป็นตัวแทนของร้านซู ผมยอมรับว่าสุดยอดร้านอาหารตำหรับเสฉวนของปีนี้คงจะเป็นร้านของคุณอย่างแน่นอนเชียวล่ะ”
หยวนโจวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาจึงได้แต่ยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น
เฉาจื่อซูเอ่ยคำชมหยวนโจวต่อไป จากความเร็วในการทำอาหาร การตกแต่งอาหารของเขาไปจนถึงการชิมวัตถุดิบที่เลือกสรร ทุกอย่างล้วนได้รับคำชม
เฉาจื่อซูหาได้ล่วงรู้ว่าจริงๆแล้วหยวนโจวไม่ได้โกรธเคืองจ้าวน้อยเลย ถึงอย่างไรจ้าวน้อยก็พูดเรื่องจริงและหยวนโจวก็ไม่สนใจเรื่องที่คนอื่นจะรู้ว่าเขาเคยทำงานอยู่ที่ไหนมาก่อนด้วย ราชินีแสนสวยเจียงเคยพูดเรื่องหนึ่งที่หยวนโจวเองก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ราชินีแสนสวยเจียงบอกว่าในโลกนี้ แหล่งที่มาของรายได้อันชอบด้วยกฎหมายที่คนผู้หนึ่งตรากตรำทำงานหนักเพื่อมาจ่ายค่าอาหารบนโต๊ะไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยสักนิด
เนื่องจากสถานะของเขาในตอนนี้ทำให้หยวนโจวสามารถเผชิญหน้ากับอดีตของตัวเองได้อย่างใจกว้าง
แต่กระนั้นหยวนโจวก็ยังมีความสุขที่ได้รับคำชมของเชฟคนดังเช่นนี้ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขารู้สึกลำพองใจมากเชียวล่ะโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฉาจื่อซูยอมรับว่าร้านหยวนโจวคงจะถูกเลือกให้เป็นสุดยอดร้านอาหารตำหรับเสฉวนเป็นแน่แท้
ดังนั้นหยวนโจวจึงเริ่มร้องเรียกเจ้าระบบอย่างลำพองใจ ทว่ากลับถูกเมินโดยสิ้นเชิง
“ช่วยไม่ได้จริงๆนี่นา ช่วยไม่ได้ที่ฉันมันน่าทึ่งเสียจนเจ้าระบบยังต้องหลีกทางให้ยามที่เผชิญหน้ากับความปราชญ์เปรื่องของฉันเลย” หยวนโจวพึมพำอยู่ในใจพร้อมความลำพองใจที่เพิ่งมากขึ้นด้วย แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยให้มันแสดงออกมาทางสีหน้าจึงยังคงยิ้มและพยักหน้าอย่างสุภาพ
“อีกอย่างนะ หัวหน้าเชฟหยวน รสชาติที่หกของคุณเป็นรสชาติที่แปรเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง นับเป็นรสชาติพิเศษที่โดดเด่นท่ามกลางรสชาติทั้งหมดในอาหารจานนี้เลยก็ว่าได้” เฉาจื่อซูรำพึงระหว่างที่กินไปพลางๆ
“ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถทำอาหารเช่นนี้ได้ แต่ผมก็ยังสามารถชื่นชมความยอดเยี่ยมของมันได้” เฉาจื่อซูกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“คุณก็น่าจะรู้วิธีทำหลังจากกินเข้าไปคำนึงแล้วนี่ครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา
“ไม่หรอกครับ แต่การผสมผสานของข้าวขาวธรรมดากับปลาต้มเผ็ดของคุณดูเรียบง่ายทั้งยังเหมาะเจาะกันมากเลยเชียวล่ะ จะพูดให้ถูกก็คือเข้ากันเป๊ะเลย” เฉาจื่อซูกล่าวขึ้น
“เพื่อทำให้อาหารออกมาสมบูรณ์ ข้าวนับว่ามีความสำคัญทีเดียว” หยวนโจวกล่าว
“จริง จริงที่สุดเลยเชียวล่ะ” เฉาจื่อซูยิ้มแล้วพยักหน้า การผสมผสานของทั้งสองสิ่งสามารถอธิบายออกมาได้ด้วยคำว่าอร่อยเท่านั้นแหละ
ทั้งสองคนคุยกันเรื่องการทำอาหารต่อไป และไม่นานนักเฉาจื่อซูก็กินหมด
“หัวหน้าเชฟหยวน ข้าวที่คุณใช้ดีเหมือนกันนะเนี่ย” เฉาจื่อซูกล่าวพลางรำลึกถึงกลิ่นหอมของเมล็ดข้าวที่ยังหลงเหลืออยู่ในปาก เดิมทีเขารู้สึกภาคภูมิใจในข้าวที่ใช้ในร้านของเขาอยู่แล้วถึงขนาดมีความรู้สึกว่าพวกเขามีข้าวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเสฉวนเลยก็ว่าได้ แต่มาวันนี้ข้าวของหยวนโจวได้เปิดโลกทรรศน์ของเขาเข้าให้แล้ว
“ใช่ครับ เป็นข้าวดีเชียวล่ะครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“โอเคครับ งั้นผมไม่รบกวนคุณแล้วกัน หัวหน้าเชฟหยวนว่างเมื่อไหร่ก็มาดื่มชาที่ร้านของผมได้ตลอดเลยนะครับ ขอบคุณสำหรับอาหารครับ” เฉาจื่อซูลุกขึ้นแล้วกล่าวอย่างจริงจัง
“ด้วยความยินดีครับ ผมต้องไปแน่นอน” หยวนโจวตอบ
“โอเคครับ ผมจะได้ให้เจ้าเด็กบ้าคนนั้นขอโทษคุณด้วย” เฉาจื่อซูกล่าวขึ้นมา
“ไม่ต้องลำบากหรอกครับ” หยวนโจวส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างจริงจัง
“หัวหน้าเชฟหยวนช่างใจกว้างเหลือเกิน แต่ยังไงพวกเราก็ต้องปฏิบัติตามมารยาทครับ” เฉาจื่อซูกล่าวขึ้น
“คุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ” หยวนโจวตอบทั้งๆที่รู้ว่าคงไม่สามารถเปลี่ยนใจเฉาจื่อซูได้
ระหว่างที่คุยกันอย่างสุภาพอยู่นั้น พวกเขาก็ออกมาจากร้านแล้ว
“เอาล่ะ คุณมาส่งแค่นี้ก็พอครับ ผมจะกลับแล้วล่ะ ในเมื่อไม่มีใครคอยเฝ้าร้านให้คุณก็ไม่ต้องไปส่งผมอีกหรอกครับ” เฉาจื่อซูกล่าวพลางโบกมือให้
“โอเคครับ ไว้เจอกันครับหัวหน้าเชฟเฉา” หยวนโจวพยักหน้า
“คราวหน้าพวกเรามาดื่มชาด้วยกันนะครับ” เฉาจื่อซูกล่าวพลางเดินจากไป
หยวนโจวไม่ตอบ เขาพยักหน้าแล้วยืนอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งเฉาจื่อซูออกจากถนนไปก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในร้าน
“จำนวนของคำสุภาพที่ฉันพูดในวันนี้น่าจะพอๆกับจำนวนคำทั้งหมดที่ฉันจะพูดทั้งปีเชียวนะ” หยวนโจวบ่นพึมพำ
หยวนโจวเป็นคนที่ไม่ชอบพูดคำสุภาพ แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจ้าวน้อยทำให้เฉาจื่อซูขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเป็นเหตุบังคับให้หยวนโจวต้องพูดคำสุภาพออกมา
“ทำอาหารไม่เหนื่อยหรอก แต่การพูดนี่สิเหนื่อยชะมัดเลย ดีที่ทุกอย่างจบลงเสียที” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา การวิสาสะกับผู้อื่นช่างเป็นเรื่องที่เหนื่อยเอาการจริงๆ
กรุ๊ง กริ๊ง
หยวนโจวเริ่มทำความสะอาดโต๊ะและเคาน์เตอร์ที่ใช้งานเมื่อก่อนหน้านี้
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจ้าวน้อย การแลกเปลี่ยนวิชาในวันนี้จึงสิ้นสุดเร็วกว่ากำหนด ยังไม่สี่โมงเย็นเสียด้วยซ้ำไป แน่นอนว่าไม่เหลือเวลาให้หยวนโจวไปลับมีดอีกแล้ว ดังนั้นเขาก็เลยตัดสินใจว่าจะไปฝึกแกะสลักอีกสักนิดสักหน่อย
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นนอกร้าน
“เจ้าเข็มทิศเอ้ย นายกำลังทำความสะอาดอีกแล้วงั้นรึ? ฉันเห็นนายยุ่งแม่งทุกวัน ทำไมนายไม่จ้างคนเพิ่มเล่า?” ซุนหมิงเดินเข้ามาแล้วหยอกล้อเมื่อเขาเห็นหยวนโจวกำลังเช็ดเคาน์เตอร์อยู่
“ซุน นายมาแล้ว” หยวนโจวพูดด้วยน้ำเสียงสนิทสนมพลางเรียกชื่อเล่นของอีกฝ่ายออกมาตรงๆเหมือนกับที่ซุนหมิงเรียกเขาว่าเข้าเข็มทิศ
“เจ้าเข็มทิศ นายนี่มันไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ฉันมาเยี่ยมนายแต่ทำไมนายต้องมาเรียกชื่อฉันด้วยเล่า?” ซุนหมิงหยอกล้อต่อไป
“มาเยี่ยมงั้นรึ?” หยวนโจวจ้องมองไปที่มืออันว่างเปล่าของซุนหมิง
ความหมายของเขาชัดเจนทีเดียวเชียวล่ะ เขากำลังนึกสงสัยคำพูดของซุนหมิงเนื่องจากอีกฝ่ายมามือเปล่า
“นายเป็นเข้าของร้านอาหารแถมยังมีทุกอย่างที่นายต้องการแล้ว และอะไรที่นายมีต้องการย่อมไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะเอามาให้นายหรอกน่า แต่ฉันมาที่นี่เพราะมีธุระนิดหน่อยน่ะ ทำไมนายไม่เห็นจะต้อนรับการมาถึงของฉันบ้างเสียเลยเล่า?” ซุนหมิงตอบ เขาเป็นคนที่ผ่านการฝึกฝนศาสตร์ด้านความไร้ยางอายมาอย่างช้ำชองแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกอายเลยสักนิดเดียว ทันใดนั้นเขารีบเปลี่ยนเรื่องแล้วเริ่มหาเรื่องหยวนโจวแทน
“ฉันต้อนรับนายแล้วนะ” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“นั่นถือว่าต้อนรับแล้วงั้นรึ?” ซุนหมิงกล่าวตาขุ่นขวาง
“ใช่แล้วล่ะ คราวหน้าแม่เทพธิดาของนาย…” หยวนโจวเริ่มกล่าวอย่างไม่แยแสและใจเย็น
“ไม่นะ โด้โปรด ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ต้องต้อนรับฉันก็ได้ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนสนิทกันนี่นา” ซุนหมิงรีบโบกมือ แม่เทพธิดาของเขานับเป็นจุดอ่อนร้ายแรงอย่างหนึ่งของเขาเลยก็ว่าได้
“ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านหรอกน่า” หยวนโจวย้ำเตือนซุนหมิง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้กินอาหารฟรีๆ