อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 889 อาหารที่เขาเคยได้ยินชื่อมาก่อน
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 889 อาหารที่เขาเคยได้ยินชื่อมาก่อน
ขณะที่หยวนโจวกำลังตั้งใจมองหาช่างไม้ที่โจวซื่อเจี๋ยเอ่ยถึงอยู่นั้นก็มีเสียงดุด่าดังชัดเจนขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันแสนอึกทึกครึกโครม
“แกเป็นหมูหรือไง? ต้องให้ฉันบอกอีกสักกี่ครั้งกันว่าทำแบบนี้ไม่ได้? ทิ้งไปแล้วทำใหม่ซะ” เสียงดุด่าดังเสียจนได้ยินอย่างชัดเจน
“แม่งเอ้ย อาหารที่แกกินเข้าไปทั้งหมดเอาไว้เลี้ยงสุนัขได้หลายปีเลยไม่ใช่หรือไง?
“ไสหัวไปให้พ้น ฉันไม่อยากเห็นหน้าแกอีก”
“ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคาดหวังให้แกสืบทอดวิชาช่างต่อจากฉัน”
หยวนโจวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนที่ได้ยินเสียงดังขึ้น เสียงดังมากเสียจนหยวนโจวอดไม่ได้ที่จะหันไปมองต้นตอของเสียง
ระยะห่างเกินไป ดังนั้นหยวนโจวจึงต้องเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวจนกว่าเขาจะพบว่าเสียงดังขึ้นมาจากร้านที่มีนามว่ามู่เซิง
ร้านนี้เป็นร้านที่น่าสนใจเนื่องจากการตกแต่ง ส่วนร้านข้างเคียงได้รับการออกแบบในสไตล์โบราณไม่ก็สมัยใหม่ จริงๆแล้ว พวกมันยังเป็นอาคารที่สร้างขึ้นด้วยซีเมนต์และทาสีไม้เสียส่วนใหญ่ แต่สำหรับร้านที่มีนามว่ามู่เซิงมีสิ่งที่ค่อนข้างแตกต่างออกไป ของตกแต่งในร้านที่ทำขึ้นมาจากไม้ประกอบไปด้วย กรอบประตู หัวติดประตูและสิงโตไม้ทั้งสองข้างประตู
มันเป็นอาคารไม้ขนานแท้เหมือนกับบ้านผู้มีอันจะกินในสมัยโบราณ ด้วยสายตาอันเฉียบคมของหยวนโจว เขาสามารถรับรู้ได้ว่าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งด้านในล้วนแล้วแต่ทำขึ้นมาจากไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณภาพไม้ที่มีลายเนื้อไม้สวยงาม
“แกไม่มีสมองหรือไงหรือว่าสมองของแกเป็นแค่ก้อนดินไปเสียแล้ว? ฉันเคยบอกแกให้ทำโต๊ะแบบนี้งั้นรึ?”
ขณะที่หยวนโจวกำลังคอยเฝ้าสังเกตร้านค้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่นั้นก็มีบุรุษที่แต่งกายด้วยเสื้อและกางเกงสีดำจากทางด้านในหันหลังให้หยวนโจวแล้วชี้ไปยังบุรุษอีกคนที่อยู่ตรงหน้าเขาพลางตะคอกเสียงดังด้วยความเดือดพล่านอีกครั้งหนึ่ง โต๊ะที่เขาเอ่ยถึงเป็นโต๊ะรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบโบราณสำหรับแปดคน จากการตัดสินของหยวนโจว โต๊ะฝีมือใช้ได้เชียวล่ะ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะตำหนิอะไรดี
“ต้องเป็นเขาแน่ๆ” ในที่สุดหยวนโจวก็เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมโจวซื่อเจี๋ยถึงได้บอกว่าเขาจะรู้เองทันทีที่ได้เจอช่างไม้เหลียน อันที่จริงแล้วก็รู้ได้ไม่ยากนักหรอก เขาก็คือคนที่อุปนิสัยแข็งกระด้างและเสียงดังมากที่สุดอย่างไรเล่า
เมื่อสักครู่ตอนที่ชายชราหันกลับมา เขาแต่งกายด้วยเสื้อและกางเกงสีดำซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผ้าที่กันสิ่งสกปรก ชายชรามีผมสีดอกเลาและหลังโกง ข้อนิ้วมือของเขาทั้งใหญ่และหนา ตาโปนและปากยกสูง เมื่อตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว เขาเป็นคนที่เข้มงวดและใช่ว่าจะสามารถเข้ากับใครได้ง่ายๆ
จริงๆแล้วใบหน้ายังบูดบึ้งอยู่หน่อยๆด้วย แต่เพียงแวบแรกที่ได้เห็น หยวนโจวก็รู้ได้เลยว่าเขาคือช่างไม้ที่โจวซื่อเจี๋ยเอ่ยถึงนั่นเอง
นี่เป็นเพราะสีหน้าเคร่งขรึมตอนที่เขาดุด่าบุรุษอีกคนนั่นแหละ ความแตกต่างระหว่างมืออาชีพกับคนธรรมดาช่างห่างไกลกันคนละโลก ในสายตาของหยวนโจว โต๊ะตัวนั้นจัดว่าไม่เลวเลยจริงๆในแง่ของรูปลักษณ์ภายนอกและความคงทน
แต่กลับถูกชายชราวิพากษ์วิจารณ์เสียจนดูไร้ค่าไปเลย คนที่ถูกด่าทอเองก็ได้แต่ก้มหน้าแล้วตั้งใจฟังชายชราอย่างเอาจริงเอาจัง แม้ว่าเสียงของเขาจะค่อนข้างแหลมแสบแก้วหูก็ตามที ไม่มีใครคิดว่าการถูกดุด่าอย่างหนักเป็นเรื่องที่น่ากลัวหรอก เรื่องที่แย่กว่านั้นก็คือเมื่อตอนที่ไม่มีใครสนใจที่จะดุด่าต่างหากเล่า เพื่อเรียนรู้งานฝีมือจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกมือฝึกหัดจะไม่ถูกดุด่าว่ากล่าว
เมื่อชายชราหันหน้ามาเห็นหยวนโจว เขาก็หาที่นั่งอย่างกระฟัดกระเฟียดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี เขาไม่สนใจหรอกว่าท่าทางฉุนเฉียวของตนเองจะส่งผลต่อกิจการอย่างไรแล้วก็ไม่สนใจด้วยว่าหยวนโจวจะเป็นลูกค้าของตนหรือไม่
“สวัสดีครับ คุณใช่ช่างไม้เหลียนหรืออาจารย์เหลียนหรือเปล่าครับ?” หยวนโจวเอ่ยปากพูดอย่างกระตือรือร้น
จากนั้นชายชราผู้นี้ก็เพียงแค่นั่งมองไปทางหยวนโจว แววตาของชายชราค่อนข้างแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ม่านตาของเขากลมมากทีเดียว แต่ส่วนของตาขาวกลับมีสีเหลืองและเส้นเลือดอยู่ประปราย รูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูน่าหวาดกลัวจริงๆยามที่เขาจ้องมองหยวนโจวด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
หยวนโจวหาได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด พวกเขาเอาแต่จ้องมองกันแบบนั้นก่อนที่ชายชราจะตอบขึ้นมา
“คุณก็คือหยวนโจว” ชายชรากล่าวด้วยความมั่นใจ เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักหยวนโจว
“ครับ ผมเองแหละ สวัสดีครับ ช่างไม้เหลียน” หยวนโจวทักทายเขาอย่างสุภาพ
“มาหาผมมีเรื่องอะไรงั้นรึ?” ชายชรามองหยวนโจวแล้วถามตามตรงโดยไม่เปลี่ยนท่านั่งแต่อย่างใด
“ผมอยากทำตู้ซักใบครับ มันเป็นตู้ใบเล็กๆแต่ใช้ใส่สิ่งของได้เยอะเป็นพิเศษ พอดีห้องเล็กน่ะครับ ผมก็เลยอยากให้บรรจุสิ่งของได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นผมจึงมาให้คุณช่วยน่ะครับ” ตอนที่เขาพูดเช่นนั้นออกมาค่อนข้างสุภาพมากทีเดียว คำอธิบายเยอะไปหน่อยแต่กลับชัดเจนมากเกินพอเลยเชียวล่ะ
“ฉันไม่ได้ทำเฟอร์นิเจอร์เองมาตั้งนานแล้วนะ” ช่างไม้เหลียนบ่นพึมพำ
เขามองหยวนโจวแต่ไม่ได้พูดเสียงดัง เขาเงียบไปราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
แม้ว่าหยวนโจวจะได้ยินช่างไม้เหลียนบ่นกับตัวเอง แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าชายชรากำลังคุยกับเขาอยู่หรือไม่จึงไม่ได้ตอบกลับไป เขาได้แต่รอฟังคำตอบอยู่เงียบๆ
“เจ้าหนุ่ม โจวซื่อเจี๋ยบอกให้มาที่นี่งั้นรึ?” ช่างไม้เหลียนเอ่ยปากถามขึ้นมา
“ประธานโจวแค่เล่าให้ผมฟังว่ามีสุดยอดช่างไม้อยู่ในตลาดจินฟาครับ” เมื่อเจอเรื่องทำนองนี้นานๆเข้า หยวนโจวก็ชักจะฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาไม่ได้ปฏิเสธตรงๆแต่กลับเลือกใช้อีกวิธีหนึ่งมากล่าวปฏิเสธ
“เจ้าคนหลอกลวงโจวจอมน่ารำคาญผู้นี้มักจะทำเรื่องให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่วายเลยสิน่า” ช่างไม้เหลียนบ่นพึมพำต่อไปพร้อมสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด นอกเหนือไปจากนั้น เขายังเรียกโจวซื่อเจี๋ยว่าเจ้าคนหลอกลวงโจวจอมน่ารำคาญแทนชื่ออีกต่างหาก คงจะต้องมีเรื่องราวระหว่างพวกเขาอย่างแน่นอน แต่หยวนโจวพบว่าไม่เหมาะสักเท่าไหร่นักที่จะถามถึงเรื่องนั้นขึ้นมา
แต่โชคดีที่ช่างไม้เหลียนไม่ได้ระบายอารมณ์ใส่หยวนโจว
จู่ๆร้านก็ตกอยู่ในความเงียบและไม่มีผู้ใดเข้ามาข้างในไปสักพักหนึ่ง แม้แต่บุรุษร่างผอมสูงที่เดิมทีดูเหมือนเจ้าของร้านก็ยังหลบอยู่หลังประตูแผ่นป้ายชื่อร้านและไม่ยอมออกมาตอนที่เขาเห็นว่าหยวนโจวเริ่มคุยกับช่างไม้เหลียน
ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่หยวนโจวกับช่างไม้เหลียนอยู่ในร้านเท่านั้น หยวนโจวยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆในขณะที่ช่างไม้เหลียนก็นั่งอยู่ตรงนั้น
“บอกตามตรงเลยนะ ผมไม่ได้ทำเฟอร์นิเจอร์มานานแล้ว แถมยังไม่ค่อยได้ฝึกมือไม้เลยด้วย” วิธีการที่ช่างไม้เหลียนใช้พูดชักจะจริงจังมากขึ้นทุกที
“อาจารย์เหลียนครับ ผมเชื่อในฝีมือของคุณนะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมาทันที “และประธานโจวก็เคยบอกว่าคุณเป็นช่างไม้ที่เก่งที่สุดในประเทศจีนเชียวนะครับ”
เนื่องจากเล่าเรื่องคำชมของโจวซื่อเจี๋ยให้ฟัง ช่างไม้เหลียนหยักยิ้มเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อว่าโจวซื่อเจี๋ยจะแอบชมเชยเขาลับหลัง
จะว่าไปแล้วโจวซื่อเจี๋ยก็ไม่ค่อยได้พูดถึงเขาสักเท่าไหร่นักหรอก แต่กลับถ่ายภาพโต๊ะเครื่องแป้งของบุตรสาวเอาไว้ พูดตรงๆก็คือมันสวยมากเสียจนแม้แต่พวกโต๊ะเครื่องแป้งราคาแพงระยับพวกนั้นก็ไม่อาจเทียบกันได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นทุกวันนี้ยังมีคนน้อยมากที่จะมีความเชี่ยวชาญในเทคนิคข้อต่อชนิดเจาะรูกับเดือย แน่นอนว่าไม่นับสิ่งที่เจ้าระบบจัดเตรียมเอาไว้ให้
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะได้มาเจอช่างฝีมือชื่อดังและนอกเหนือไปจากนั้น สิ่งที่จะใส่ลงในตู้ก็ล้วนแล้วแต่ล้ำค่ายิ่ง ดังนั้นหยวนโจวจึงอยากได้เฟอร์นเจอร์ชิ้นนั้นเอามากๆเลยล่ะ
หยวนโจวเอ่ยปากชื่นชมออกมาตรงๆเสียจนช่างไม้เหลียนแทบสำลักไปในทันที เขาหยุดไปสักครู่แล้วกล่าวขึ้นมาว่า “เรื่องทำตู้น่ะไม่มีปัญหาหรอกนะ แต่ผมมีเงื่อนไขข้อนึง”
ช่างไม้เหลียนสังเกตสีหน้าของหยวนโจวเป็นพิเศษตอนที่เขากล่าวเช่นนั้นออกมา เมื่อเขาเห็นหยวนโจวเอาแต่สงบนิ่ง เขาก็ชักไม่พอใจขึ้นมาหน่อยๆจึงหยุดไปสักครู่เพื่อรอให้หยวนโจวพูดออกมาก่อน
“เงื่อนไขอะไรงั้นเหรอครับ?” เมื่อเห็นท่าทางของช่างไม้เหลียนแล้ว หยวนโจวก็พลันเข้าใจขึ้นมาในทันทีจึงถามออกไป
“เจ้าหนุ่ม เป็นเชฟชื่อดังไม่ใช่หรือไง? ผมเคยได้ยินชื่ออาหารจานนั้นมาก่อน แต่ผมยังไม่เคยเห็นหรือกินดูเลย ถ้าคุณสามารถทำให้ผมกินได้ล่ะก็ผมสัญญาว่าจะทำตู้ให้คุณฟรีๆก็ได้เลยเอ้า” ช่างไม้เหลียนดูค่อนข้างมั่นใจทีเดียวตอนที่กล่าวออกมาเช่นนั้น
“ผมสามารถรับรองได้เลยว่าตู้จะออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ แต่คุณก็ต้องรับรองด้วยว่าอาหารจานนี้จะต้องทำให้ผมพึงพอใจเช่นกัน”
เขาพูดราวกับว่าค่อนข้างแน่ใจว่าหยวนโจวไม่สามารถทำได้หรอก
“มันคืออะไรเหรอครับ?” หยวนโจวขึ้นอย่างไร้ความกังวล เขาเตรียมพร้อมอยู่ในใจแล้ว
ด้วยฝีมือและความรู้อันมากมายในตอนนี้ของหยวนโจวทำให้เขาสามารถทำอาหารได้มากกว่าสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวการแข่งขันทำอาหารแต่อย่างใด
“ถั่วสามสี คุณเคยได้ยินไหมล่ะ?” ช่างไม้เหลียนกล่าวขึ้น