อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 890 ผมสามารถทำได้
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 890 ผมสามารถทำได้
ทันทีที่ช่างไม้เหลียนกล่าวเช่นนั้น หยวนโจวก็ชักจะสงสัยจึงถามขึ้นมาทันที
“ถั่วสามสีงั้นเหรอครับ? อธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?” หยวนโจวถามขึ้น
ช่างไม้เหลียนรู้สึกดีใจนิดหน่อยเมื่อเขาพบว่าหยวนโจวถามเช่นนั้นออกมาและดูเหมือนว่าจะไม่เคยได้ยินชื่ออาหารจานนั้นมาก่อนเสียด้วยซ้ำไป แต่เมื่อเขาเห็นว่าหยวนโจวหน้าไม่เปลี่ยนสีเลยสักนิด เขาก็ชักจะไม่ค่อยมั่นใจเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องอธิบายให้เขาฟังง่ายๆว่า “ง่ายมากเลยแหละ แค่ใส่ถั่วลิสง ถั่วเหลืองและถั่วแดงลงไปแล้วผัดให้เข้ากันจากนั้นก็ยกมาเสิร์ฟได้เลย ถั่วทั้งสามชนิดจะต้องมีรสชาติที่แตกต่างกันและต้องแบ่งได้ตามลำดับอีกด้วยนะ”
“ผมเข้าใจแล้วล่ะครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วเริ่มคิดให้รอบคอบอยู่ในใจโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
เห็นได้ชัดเลยว่าอาหารจานนี้ทำยากมากทีเดียวเนื่องจากสุดยอดช่างไม้ผู้นี้ถึงขนาดกล้าทำตามคำขอที่มีเงื่อนไขเช่นนี้ทั้งๆที่เขารู้ว่าเป็นหยวนโจว ส่วนหยวนโจวก็คาดเดาว่ามันอาจจะเป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้ว แต่น่าแปลกที่เขาไม่ยักเคยได้ยินชื่ออาหารจานนี้มาก่อน
จะว่าไปแล้วหยวนโจวก็เคยเห็นมายากลที่ผสมถั่วเหลืองกับถั่วเขียวแล้วแยกออกจากกันในทันที ถึงแม้ว่าทั้งฝีมือการทำอาหารและมายากลที่อาศัยเทคนิคการใช้มือ แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองสิ่งกลับชัดเจนยิ่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้นหยวนโจวก็หาใช่นักมายากล ชั่วประเดี๋ยวนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะปรุงอาหารอย่างไรดี แต่เขาก็ค่อนข้างสนใจมากทีเดียว
“รสชาติทั้งสามแบบของถั่วสามสีน่าจะเป็นรสหวาน เค็มหรือเปรี้ยวสินะ” หยวนโจวนึกขึ้นในใจได้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นช่างไม้เหลียงก็รู้สึกพึงพอใจและผ่อนคลาย
แน่นอนว่าภารกิจทั้งหมดไม่น่าจะเสร็จสมบูรณ์ลงได้เพราะอาหารจานนี้สาบสูญไปจากประวัติศาสตร์มานานมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงในอินเตอร์เน็ตเลย แม้แต่ห้องสมุดก็ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับอาหารจานนี้เสียด้วยซ้ำไป
พวกเชฟขั้นสูงไม่รู้จักอาหารจานนี้กันหรอก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องการปรุงมันขึ้นมาเลย สาเหตุที่ทำให้ช่างไม้เหลียนรู้จักมันก็เพราะเขาบังเอิญได้อ่านตำราโบราณที่มีชื่อว่าซ่งจาจู๋ที่ตีพิมพ์ขึ้นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง อาหารจานนี้ก็ถูกบันทึกเอาไว้ในตำราด้วย มีชื่อเดิมว่าสามหอมแห่งท้องสมุทรแทนที่จะเป็นถั่วสามสี
อย่าคิดว่าตำราซ่งจาจู๋จะเป็นตำราอย่างรายชื่อของอร่อยในซุ่ยหยวนที่บันทึกอาหารอร่อยชนิดต่างๆเอาไว้เป็นพิเศษเป็นอันขาดเลยเชียวนะ จะว่าไปแล้วจาจู๋ก็หมายถึงปกิณกะและตำราเล่มนี้ก็ถูกเขียนขึ้นมาอย่างสุ่มๆโดยผู้แซ่ซ่งเหมือนกับชิวหยางจาจู๋และจื่อถังจาจู๋นั่นเอง ดังนั้นอาหารจานนี้จึงอธิบายเอาไว้ในตำราง่ายๆเพียงหนึ่งหรือสองคำเท่านั้น
เมื่อช่างไม้เหลียนเล่าให้ฟังแล้ว โจวซื่อเจี๋ยก็รู้สึกสนใจและได้ลองศึกษาดูบ้าง แต่ก็ยังประสบความล้มเหลวในที่สุด ดังนั้นช่างไม้เหลียนจึงมีความมั่นใจมากว่าเขาจะสามารถสร้างความสับสนให้หยวนโจวได้
ใช่แล้วล่ะ ช่างไม้เหลียนไม่ได้อยากทำตู้ให้หยวนโจวเลยแม้แต่น้อย ประการแรกคือเลิกทำเฟอร์นิเจอร์เองมาหลายปีแล้วและประการที่สองก็คือตู้ไม่มีความท้าทายแต่อย่างใด สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาทำเฟอร์นิเจอร์ชุดหนึ่งให้บุตรสาวของโจวซื่อเจี๋ยก็เพราะว่าเขาติดหนี้บุญคุณของโจวซื่อเจี๋ย นั่นจึงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาทำเฟอร์นิเจอร์เองอย่างไรเล่า
แต่หยวนโจวเป็นเชฟชื่อดังและยิ่งไปกว่านั้น โจวซื่อเจี๋ยก็เป็นคนแนะนำร้านของเขาอีกต่างหาก คงจะเป็นเรื่องน่าอายมากทีเดียวที่จะปฏิเสธซึ่งๆหน้า ในตอนนั้นเองที่จะนำไปสู่ชื่อเสียง ถ้าหากเป็นอีกคนหนึ่งเขาไม่เพียงแต่จะปฏิเสธแต่คงจะถูกช่างไม้เหลียนด่าเข้าให้ด้วย
ดังนั้นช่างไม้เหลียนจึงนึกไอเดียดังกล่าวออกมาได้ ในสายตาของช่างไม้เหลียน หยวนโจวไม่น่าจะปรุงอาหารที่จะสร้างความสับสนให้ประธานสมาพันธ์เชฟแห่งประเทศจีนได้หรอกน่า จากนั้นเขาก็ย่อมรู้สึกผ่อนคลายลง
“ได้ครับ ผมสามารถทำได้” หยวนโจวครุ่นคิดอยู่ในใจสักครู่แล้วกล่าวอย่างจริงจัง
“คุณไม่ได้ยินที่ผมบอกไปงั้นเหรอ? แล้วคุณรู้ไหมว่ามันคืออาหารแบบไหน?” ช่างไม้เหลียนตกตะลึงไปสักครู่แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจพลางขมวดคิ้ว
“คำอธิบายของคุณค่อนข้างชัดเจนทีเดียว ผมสามารถเข้าใจได้อย่างครบถ้วนเชียวล่ะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“คุณสามารถทำได้งั้นเหรอ?” ช่างไม้เหลียนเผยท่าทีไม่อยากจะเชื่อออกมา
“ครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“ถ้าคุณสามารถทำได้ ผมจะทำตู้ให้คุณฟรีๆเลยก็ได้ ผมจะไม่คิดเงินคุณซักเซนต์เดียวเลยล่ะ” ท่าทีไม่อยากจะเชื่อของช่างไม้เหลียนแสดงออกอย่างชัดเจนจากคำพูดของเขา
“ตามนั้นครับ” หยวนโจวตอบขึ้นมาทันที
“ฉันไม่เพียงแต่จะได้เรียนรู้อาหารจานใหม่ๆแต่ยังจะได้ตู้มาฟรีๆอีกต่างหาก ดีจะตายไป” หยวนโจวกล่าวอยู่ในใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตาเฒ่าคนนี้ไม่หลอกคุณเรื่องตู้หรอก” ช่างไม้เหลียนทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาแล้วเริ่มเงียบไป
“คุณมาที่ร้านของผมตอนบ่ายสามโมงสามวันหลังจากนี้เป็นอย่างไรครับ?” หยวนโจวนึกอยู่สักครู่แล้วยืนยันเวลาออกมาทันที
“ได้เลย” ช่างไม้เหลียนโบกมือและดูเหมือนคร้านที่จะพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว
“ไว้เจอกันสามวันหลังจากนี้นะครับ” หลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว หยวนโจวก็หันหลังเดินจากไป
“ตาเฒ่าโจวผู้นี้แนะนำคนแบบไหนมาให้ฉันกันล่ะเนี่ย? เจ้าหนุ่มผู้แสนมุ่งมั่น!” ช่างไม้เหลียนบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ
เมื่อเห็นหยวนโจวหันหลังเดินออกไปจากร้านอย่างแนบเนียนแล้ว ทว่าช่างไม้เหลียนก็ยังคงรู้สึกกรุ่นโกรธอยู่ในใจอยู่ดี แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าหยวนโจวไม่น่าจะทำอาหารจานนี้ได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกรำคาญใจอยู่ไม่วาย
“บ้าเอ้ย ฉันต้องด่าเจ้าคนหลอกลวงโจวเพื่อระบายความโกรธเสียหน่อยแล้ว” ช่างไม้เหลียนลุกขึ้นเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วเตรียมตัวต่อสายทันที
จากนั้นบุรุษที่อยู่หลังประตูแผ่นป้ายชื่อร้านก็ไม่กล้าออกมาอีกเลย เขาเริ่มจ้องมองไปทางคนด้านในที่ทำโต๊ะ เก้าอี้และม้านั่งอย่างระแวดระวัง
“ไม่น่าไปเถียงกับเจ้าหนุ่มผู้นี้เลย แต่ยังไงฉันก็ต้องด่าเจ้าคนหลอกลวงโจวอยู่ดีนั่นแหละ” ในขณะที่ช่างไม้เหลียนกำลังรอสายอยู่นั้น เขาก็ยังคงบ่นพึมพำและแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา
ถึงอย่างไรช่างไม้เหลียนก็สนิทกับหยวนโจว ประกอบกับชื่อเสียงละวัยของหยวนโจวแล้ว เขาไม่อาจทำเช่นนั้นอย่างที่ดุด่าชายหนุ่มได้เลย แต่โจวซื่อเจี๋ยกลับต่างออกไป
โจวซื่อเจี๋ยมีชื่อเสียงมากและพวกเขาก็สนิทสนมกันดีด้วย นอกเหนือไปจากนั้นเขายังทุ่มเถียงและทะเลาะกันมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว ดังนั้นช่างไม้เหลียนจึงไม่รู้สึกลำบากใจเลยสักนิดที่ต้องด่าเขา
“ช่างไม้เหลียน นายโทรหาฉันมีธุระอะไรงั้นรึ? น้ำเสียงของโจวซื่อเจี๋ยดังขึ้นมาจากโทรศัพท์
“ก็เรื่องที่นายทำไงล่ะ” ช่างไม้เหลียนส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา
“อะไรกันเล่า?” โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกสับสน
“ใครให้นายแนะนำเจ้าหนุ่มยวนโจวนั่นมาทำตู้ที่ร้านของฉันกันเล่า? ฉันบอกนายแล้วนี่ว่าฉันเลิกทำเฟอร์นิเจอร์ไปแล้ว นอกจากนายจะหูตึงแล้วยังแก่จนสายตาย่ำแย่เชียวรึนี่?” ช่างไม้เหลียนจงใจถามเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เขามาขอให้นายทำตู้ให้งั้นรึ?” โจวซื่อเจี๋ยถามด้วยความลังเล
“นายเป็นคนบอกเขางั้นสิ” ช่างไม้เหลียนกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
“นายรับคำขอของเขาไว้หรือเปล่าล่ะ?” โจวซื่อเจี๋ยถามแทนที่จะพูดอะไรอีก
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนาย ถ้านายกล้าแนะนำใครมาอีกล่ะก็ฉันจะทำลายเขียงของนายซะเลย” ช่างไม้เหลียนข่มขู่ด้วยความขุ่นเคืองใจ
“เอาน่า ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อตัวนายเองนะ ถ้านายไม่ทำเฟอร์นิเจอร์เสียบ้างเลย ฉันเกรงว่านายจะมือตกเอาได้นะ” โจวซื่อเจี๋ยพูดเบาๆ
“ไม่ใช่เรื่องของนายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกน่า และถ้านายยังทำอีกล่ะก็นะ ฉันสัญญาเลยว่านายจะไม่ได้เขียงของนาย” ช่างไม้เหลียนข่มขู่
“นายพูดเหมือนกับว่านายตอบรับคำขอของเขาแล้วอย่างนั้นแหละ” โจวซื่อเจี๋ยมีความเชี่ยวชาญในการใช้วิธียั่วยุคน ตอนนี้เขาก็ใช้วิธีนี้อีกครั้งหนึ่งแล้ว
“แหงล่ะ ฉันต้องตกลงอยู่แล้ว แต่จะให้ฉันทำตู้ให้มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” ช่างไม้เหลียนกล่าวอย่างพึงพอใจ
“นายขอถั่วสามสีอีกแล้วใช่ไหม?” หลังจากนึกอยู่สักครู่ โจวซื่อเจี๋ยก็เข้าใจเจตนาของช่างไม้ผู้นี้ได้ในทันที
ตามความเข้าใจของโจวซื่อเจี๋ยที่มีต่อเขา เขารู้ว่าช่างไม้เหลียนไม่ได้ปฏิเสธออกไปตรงๆหรอก แต่เขาก็ไม่น่าจะตอบตกลงเอาง่ายๆ แน่นอนการตั้งคำถามยากๆที่แทบจะแก้ไม่ได้เลยจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว
แถมคำถามยากๆแบบนี้ก็ยังสมเหตุสมผลอีกต่างหาก หยวนโจวเป็นเชฟและแน่นอนว่าคำถามยากๆที่ช่างไม้เหลียนสามารถคิดออกก็คือถั่วสามสีซึ่งสาบสูญไปจากประวัติศาสตร์แล้วนั่นเอง
“แม้แต่นายยังทำไม่ได้เลยงั้นเจ้าหนุ่มนั่นก็คงทำไม่ได้เหมือนกันแหละ ฉันรู้ว่านายแนะนำให้เขามาที่ร้านของฉัน แต่ฉันก็ไม่ขอบใจนายหนอกนะ” เมื่อเห็นโจวซื่อเจี๋ยยังคงตื่นตกใจตอนที่เขาค่อยๆเผยเจตนาของตนเองออกมา ตรงข้ามกับช่างไม่เหลียนที่กล่าวอย่างพออกพอใจ
“ฉันไม่สามารถทำได้แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำไม่ได้เหมือนกันนี่นา ตาเฒ่าดูเหมือนยายจะต้องทำตู้เสียแล้วล่ะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น โจวซื่อเจี๋ยก็วางเสียไปทันที
“เจ้าคนหลอกลวงโจวจอมน่ารำคาญเอ้ย!” ช่างไม้เหลียนจ้องมองโทรศัพท์ที่ถืออยู่ด้วยความเกรี้ยวกราด
หลังจากวางสายไปแล้ว โจวซื่อเจี๋ยก็ยังคงรู้สึกกังวลใจอยู่นิดหน่อย
“ตั้งแต่เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาหยวนโจวก็ไม่ประสบกับความพ่ายแพ้เลย ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถทำอาหารได้หลากหลายแบบ แต่คราวนี้ฉันไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะสามารถทำถั่วสามสีได้” โจวซื่อเจี๋ยยังค่อนข้างเป็นกังวลอยู่ในใจ
“ขอฉันโทรไปถามเขาสักหน่อยเถอะ” โจวซื่อเจี๋ยใคร่ครวญดูสักพักและทันใดนั้นก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมา เขายกหูโทรศัพท์แล้วเตรียมโทรไปถามหยวนโจวทันที