อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 891 เอาชนะถั่วสามสี
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 891 เอาชนะถั่วสามสี
โจวซื่อเจี๋ยเอาใจใส่หยวนโจวราวกับเป็นลูกศิษย์ของเขาเองและหวังว่าหยวนโจวจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคในเส้นทางการทำอาหารของตนเองได้ด้วยความสงบนิ่งเพื่อทำให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคตได้ง่ายขึ้น
แต่อีกด้านหนึ่ง โจวซื่อเจี๋ยก็หวังว่าหยวนโจวจะสามารถฝ่าฟันได้อย่างไร้อุปสรรค เขาบังเกิดความขัดแย้งอยู่ในใจอย่างรุนแรง
ดังนั้นเมื่อโจวซื่อเจี๋ยได้ยินว่าช่างไม้กำลังจะทดสอบหยวนโจวด้วยอาหารที่สาบสูญไปหลายร้อยปีจึงรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจ
เมื่อตอนที่โจวซื่อเจี๋ยโทรมานั้น หยวนโจวก็ก็เพิ่งจะมาถึงตรงทางเข้าตลาดขายส่งจินฟาเพื่อเตรียมเรียกรถแท็กซี่กลับร้าน
ในเมื่อเขาตอบรับคำขอของช่างไม้แล้ว เขาย่อมไม่เสียเวลาเดินเตร่อยู่แถวนี้อย่างแน่นอน เขาวางแผนที่จะเริ่มค้นหาข้อมูลถั่วสามสีทันที ขั้นแรกเขาต้องซื้อถั่วลิสง ถั่วแดงและถั่วเหลืองเสียก่อนทั้งยังต้องทำให้แน่ใจได้ว่าถั่วจะมีขนาดเท่าๆกัน
ขณะที่หยวนโจวเงียบไปและกำลังถามเจ้าระบบอยู่นั้น โจวซื่อเจี๋ยก็โทรมา
“ท่านประธานงั้นเหรอครับ?” หยวนโจวถามขึ้น
“เป็นอย่างไรบ้างเล่า หยวนน้อย?” โจวซื่อเจี๋ยถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง
“ผมสบายดี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงครับ” หยวนโจวกล่าว
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ พักนี้งานเป็นยังไงบ้างล่ะ?” โจวซื่อเจี๋ยถามขึ้นมา
“ผมฝึกอยู่ทุกวันเลยครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“ดีแล้วล่ะ ทักษะการใช้มีดเป็นพื้นฐานของเชฟเลยนะ” โจวซื่อเจี๋ยเปลี่ยนเรื่องคุย “ลูกชายคนเล็กของผมเพิ่งเรียนจบจากต่างประเทศและกำลังจะกลับมา ผมคิดว่าจะพาเขาไปกินอาหารที่ร้านของคุณเพื่อแสดงความงดงามของอาหารจีนให้เขาได้เห็น”
หยวนโจวตอบตกลง อันที่จริงแล้ว โจวซื่อเจี๋ยมีแผนของเขาเองสำหรับเรื่องนี้แล้ว บุตรชายคนเล็กของเขามีอายุราวๆ 20 ปี ครอบครัวส่วนใหญ่จะตามใจบุตรคนเล็ก และในทำนองเดียวกัน โจวซื่อเจี๋ยก็รักบุตรชายคนเล็กมาก ตั้งแต่เล็กๆเด็กคนนี้ได้รับอนุญาตให้ติดตามคุณป้าของเขาไปเรียนต่างประเทศ
ถึงแม้ว่าโจวซื่อเจี๋ยจะไม่เคยบังคับบุตรชายคนเล็กให้สืบทอดฝีมือการทำอาหารของเขาเลย แต่เขาก็ยังหวังให้บุตรชายคนเล็กจะมีความเคารพนับถือในอาหารจีน เขารู้สึกว่าในเมื่อหยวนโจวมีอายุไล่เลี่ยกับบุตรชายของเขาก็น่าจะสามารถสั่งสอนเรื่องความเคารพนับถือในเรื่องดังกล่าวให้บุตรชายของเขาได้
โจวซื่อเจี๋ยเปลี่ยนเรื่องคุยอีกครั้ง “คุณกำลังมองหาช่างไม้อยู่งั้นรึ?”
“ครับ ผมกำลังอยากได้ตู้เอาไว้เก็บของบางอย่างน่ะครับ” หยวนโจวไม่แปลกใจเลยที่โจวซื่อเจี๋ยจะรู้เรื่องนี้เข้า ทุกวันนี้แค่โทรหรือส่งข้อความไปก็ใช้ได้แล้ว
“เดิมทีถั่วสามสีที่ตาเฒ่าผู้นั้นร้องขอมามีอีกชื่อหนึ่งว่าสามหอมแห่งห้องสมุทรซึ่งถูกค้นพบจากตำราโบราณที่เขียนเอาไว้ในซ่งจาจู๋ตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์หมิง” โจวซื่อเจี๋ยไม่ถามอะไรแล้วเริ่มคุยเรื่องประวัติความเป็นมาของถั่วสามสี
“ในการค้นหาข้อมูลทักษะงานช่างไม้ ช่างไม้ผู้นั้นมักจะค้นหาจากตำราโบราณและค้นพบว่ามีอาหารจานนี้อยู่ ในตำราโบราณเพียงแค่ให้คำอธิบายง่ายๆกับอาหารจานนี้เท่านั้น” โจวซื่อเจี๋ยพูดต่อไปว่า “บางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนว่าจะเป็น ‘ส่วนที่ดีที่สุดที่ทำให้ถั่วทั้งสามชนิดเต็มไปด้วยกลิ่นหอมราวกับท้องสมุทร’ ผมก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอกนะ”
“ขอบคุณครับท่านประธาน” หยวนโจวกล่าวขึ้นพลางเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของคำว่า ‘ราวกับท้องสมุทร’
“ไม่เป็นไรๆ ผมเคยลองทำอาหารจานนี้มาก่อนแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ผมเลยไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำนักว่าอาหารจานนี้มีอยู่จริงหรือเปล่า แต่การคืนชีพมันขึ้นมาต้องเป็นเรื่องยากสุดๆอย่างแน่นอนเชียวล่ะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวขึ้น
“ผมจะทำให้ดีที่สุดนะครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจัง
“ผมรู้ว่าคุณต้องทำได้ แต่ถ้าคุณสามารถทำได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะได้ตู้สักใบ ถ้ามาถึงขั้นนั้นผมจะจัดการให้คุณเอง” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวพลางยิ้ม
“ผมคิดว่าคุณเป็นเชฟเสียอีก? คุณรู้วิธีทำเฟอร์นิเจอร์ด้วยเหรอครับเนี่ย?” หยวนโจวถามด้วยความประหลาดใจ
“คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ผมหมายความว่าผมจะไปเยี่ยมตาเฒ่าพร้อมกับมีดของผมเพื่อขอร้องให้เขาทำตู้ให้น่ะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวขึ้นมา
“โอ้ โอ้ ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะครับ ท่านประธาน” หยวนโจวกล่าวพลางปฏิเสธข้อเสนออย่างไม่มีทางเลือก
“โอเค ถ้าหากคุณสามารถทำอาหารจานนี้ได้อย่าลืมโทรหาผมเชียวนะ” โจวซื่อเจี๋ยย้ำเตือน
“ได้ครับ” หยวนโจวตอบตกลง
“เอาล่ะ ผมจะให้ลี่ลี่ส่งตำราซ่งจาจู๋บางส่วนไปให้คุณนะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว
“ขอบคุณมากครับ ท่านประธาน” หยวนโจวกล่าวขอบคุณอย่างจริงจัง
หยวนโจวย่อมสัมผัสได้ว่าโจวซื่อเจี๋ยเต็มใจให้เขายืมตำราโบราณสมัยปลายราชวงศ์หมิงโดยไม่ลังเล
“อืม อืม ไม่ต้องเอ่ยถึงมันหรอกน่า ถ้าคุณสามารถคืนชีพอาหารจานนี้ได้ก็จะถือได้ว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในวงการทำอาหารของเราเชียวล่ะ ตำราโบราณจะไปเทียบอะไรได้กับสิ่งนั้นกันเล่า?” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวอย่างกล้าหาญ
“ผมจะต้องทำสำเร็จแน่ๆครับ” หยวนโจวให้คำมั่นสัญญา
“โอเค งั้นผมจะรอดูสีหน้าตกตะลึงของตาเฒ่าผู้นั้นนะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวพลางยิ้มกว้าง
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
“โอเค ผมจะไม่พูดมากแล้ว เชิญค้นหาข้อมูลของคุณต่อไปเถอะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว
“โอเคครับ ลาก่อนครับ ท่านประธาน” หยวนโจวเตรียมที่จะตัดสาย
“อีกอย่างนะ ตอนที่พลิกดูตำราโบราณก็ช่วยเบาไม้เบามือหน่อยก็แล้วกันนะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวขึ้นมา
“รับทราบครับ ไม่ต้องห่วงเลย” หยวนโจวรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา แต่เขาก็อดกลั่นไว้แล้วให้สัญญา
เดิมทีเขานึกว่าโจวซื่อเจี๋ยจะไม่สนใจแม้แต่ตำราโบราณสมัยปลายราชวงศ์หมิง แต่มาตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะยังรักตำราโบราณเหล่านั้นอย่างสุดซึ้งอีกต่างหาก
แต่เนื่องจากนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้ หยวนโจวจึงยิ่งรู้สึกประทับใจมากขึ้น
หลังจากวางสายไป หยวนโจวก็ขึ้นรถแท็กซี่
เนื่องจากมีเวลาไม่พอ ทันทีที่เขาขึ้นรถแท็กซี่จึงหลับตาแล้วเริ่มตั้งคำถามกับเจ้าระบบ
เมื่อคนขับเห็นหยวนโจวหลับตาอยู่เงียบๆ เขาจึงได้แต่เงียบและขับรถตรงไปยังจุดหมายปลายทาง
นี่คือวิธีการที่คนขับแท็กซี่ของเมืองเฉิงตูจะปฏิบัติกัน พวกเขาทั้งสามารถคุยฟุ้งกับลูกค้าของตนเองและให้ความสงบแก่ลูกค้าตลอดการเดินทาง
ทันทีที่หยวนโจวหลับตาลง เขาก็ถามขึ้นในใจว่า “เจ้าระบบ ฉันมีเรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารอยากถามแกหน่อย”
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ว่ามาสิ”
“จึ๊ จึ๊ ดูแกสิเย็นชาชะมัดเลย” หยวนโจวว่าเข้าให้
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เชิญกล่าวมาได้เลยเจ้านาย สหายน้อย”
“แค่ก แค่ก ฉันว่านะแกเย็นชาต่อไปเถอะ” หยวนโจวตอบ เขาต้องอดกลั้นมิให้ส่งเสียงไอเสียงดังออกมา
“เจ้าระบบ แกมีข้อมูลเกี่ยวกับถั่วสามสีบ้างไหม?” หยวนโจวถามตรงๆเพื่อเลี่ยงมิให้เจ้าระบบกล่าวอะไรที่สร้างความตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง
“ถั่วสามสีมีอีกชื่อหนึ่งว่าสามหอมแห่งท้องสมุทรเป็นอาหารที่เขียนเอาไว้ในตำราโบราณซ่งจาจู๋ในสมัยปลายราชวงศ์หมิง” หยวนโจวกล่าวเสริม
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ใช่แล้ว”
“ยอดไปเลย ขอฉันดูหน่อยได้ไหม?” หยวนโจวถามขึ้นมา
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ไม่ได้”
“ทำไมเล่า?” หยวนโจวถาม
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “อาหารจานนี้ถือว่าเป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้ว มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งส่วนใดของรางวัลจึงไม่สามารถแบ่งปันกันได้”
“เฮ้ งั้นจะมีแกอยู่ไปเพื่ออะไรกันเล่า เจ้าระบบ?” หยวนโจวตอบ
เจ้าระบบตอบว่า “ฉันเชื่อมั่นว่าคุณจะสามารถคืนชีพอาหารจานนี้ได้ด้วยตัวเองนะ”
“เจ้าระบบจอมพิลึก เอาล่ะ กลับไปพักเหอะ” หยวนโจวไม่รู้สึกอยากคุยกับเจ้าระบบอีกต่อไปโดยเฉพาะตอนที่เจ้าระบบมาเรียกเขาว่าสหายน้อยนั่นแหละ
“ในเมื่อเจ้าระบบไม่อนุญาตให้ฉันดูข้อมูล ฉันก็คงต้องอาศัยตำราโบราณเสียแล้ว แต่ประธานโจวบอกว่ามันแค่ให้คำอธิบานสั้นๆมาเท่านั้นเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงจะมีข้อมูลอ้างอิงน้อยมากๆเลยล่ะ” หยวนโจววิเคราะห์
“คุณครับ ผมจะสามารถชมการแสดงมายากลได้จากที่ไหนเหรอครับ?” จู่ๆหยวนโจวก็ลืมตาแล้วถามขึ้น
“โอ้? คุณอยากชมการแสดงมายากลงั้นรึ?” คนขับที่รู้สึกตกตะลึงกับคำถามเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง
“ครับ ผมจะสามารถชมได้จากที่ไหนครับ?” หยวนโจวถามขึ้นมา
“ผมรู้แต่ว่าคุณสามารถชมการแสดงเปลี่ยนหน้าได้ในเฉิงตู แต่ผมไม่ทราบเรื่องการแสดงมายากลเลยครับ” คนขับกล่าวพลางส่ายหน้า
“การเปลี่ยนหน้างั้นเหรอครับ?” หยวนโจวพูดอู้อี้
“ครับ การเปลี่ยนหน้ากาก จัดแสดงขึ้นในโรงน้ำชาที่ตรอกมงคลเมื่อวันก่อน เป็นการแสดงที่น่าสนใจมากเชียวล่ะครับ” คนขับรำพึงด้วยความชื่นชม
“ยังจัดแสดงอยู่ไหมครับ?” หยวนโจวถามขึ้นมา
“ไม่ใช่ตอนนี้หรอกครับ กว่าจะเริ่มแสดงก็หนึ่งทุ่มนู่นแน่ะครับ แต่ก็การแสดงก็จะเปลี่ยนไปในแต่ละวันด้วย ฉะนั้นคุณอาจจะได้ชมการแสดงมายากลก็ได้นะครับ” คนขับกล่าวขึ้น
“การแสดงใช้เวลานานขนาดไหนเหรอครับ?” หยวนโจวถาม
“ประมาณเก้านาทีเห็นจะได้นะ” คนขับตอบ
“ดูเหมือนว่าฉันต้องไปถามนักมายากลเรื่องการเล่นกลถั่วเสียแล้วล่ะ” หยวนโจวครุ่นคิด เขาจำได้ว่าเคยชมการเล่นกลถั่วอันน่าทึ่งจากในโทรทัศน์มาก่อน
“ถึงแล้วล่ะ เจ้าหนุ่ม” คนขับกล่าวขณะจอดรถ
“ขอบคุณครับ” หยวนโจวจ่ายเงินค่าโดยสาร
“เจ้าหนุ่ม คุณดูคุ้นๆนะ” คนขับกล่าวขึ้นมาระหว่างที่หยวนโจวกำลังจ่ายเงิน
“ผมดูเหมือนหยวนโจวเชฟคนดังผู้แสนหล่อเหลา เฉลียวฉลาดและนำสมัยเลยใช่ไหมล่ะครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย
“ใช่ๆ คุณเหมือนเขาล่ะ” คนขับพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ผมไม่คิดว่าเขาหล่อขนาดนั้นหรือเปล่าแล้วก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาฉลาดหรือไม่ แต่ผมรู้ว่าเขาต้องมีภูมิหลังแน่ๆ แม้แต่บุคคลอันดับหนึ่งของเสฉวนก็ยังเป็นลูกค้าขาประจำของเขาเลย เป็นไปได้ไหมว่าหยวนโจวคนนั้นอาจจะมีภูมิหลังที่ไม่ค่อยดีน่ะ?”
หยวนโจวถามขึ้นตามสัญชาตญาณว่า “ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องนั้นเลยนะ?”
บุคคลอันดับหนึ่งงั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ?
“คุณต้องไม่รู้อยู่แล้วล่ะ ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง” คนขับแท็กซี่มีสีหน้าราวกับจะพูดว่า ‘ให้ฉันสอนคุณเองนะ’ “ลองคิดดูสิ เบื้องหลังถนนเถ่าซืออันเป็นย่านการค้า ในพื้นที่แบบนั้น อาคารเก่าๆล้วนถูกทุบทิ้งเพื่อจุดประสงค์ด้านการพัฒนา แต่มีเพียงแค่ถนนเถ่าซือเท่านั้นแหละที่ไม่ถูกแตะต้องเลย เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะมีภูมิหลังที่ไม่ค่อยดีนักอยู่น่ะ?”
หยวนโจวลองใคร่ครวญดูก็เห็นว่ามีเหตุผลทีเดียว เขาไม่อาจโต้แย้งได้เลย
“ดังนั้นนี่ก็คือโลกที่ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถอยู่รอดได้หากปราศจากเส้นสาย” คนขับสรุปแล้วรำพึงต่อไปว่าเขาเองก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์แท้ๆแต่กลับขาดโอกาสไปเสียได้
ในที่สุดเมื่อตอนที่มีเสียงแตรดังขึ้นหลังรถแท็กซี่ คนขับก็รู้แล้วว่าเขากำลังขวางทางอยู่ หลังจากรับเงินไปแล้ว คนขับก็กล่าวอะไรอีกนิดหน่อยพลางยิ้มก่อนที่จะออกรถไป