อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 895 เรียนรู้มายากล
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 895 เรียนรู้มายากล
คุณปู่เจียกับคุณปู่หลิงไม่ได้คุยกันเสียงดังจึงไม่เป็นการรบกวนลูกค้าคนอื่นๆ อันที่จริงแล้วเดิมทีเสียงของคุณปู่เจียดังมากและมักจะพูดเสียงดังโดยไม่รู้ตัว เมื่อตอนที่เขามาที่ร้านหยวนโจวเป็นครั้งแรก เขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับบรรยากาศอันเงียบเชียบ แต่โชคดีที่เขาหลังจากเขามาอีกไม่กี่ครั้งก็เริ่มคุ้นเคย
เพราะเสียงเบาๆของพวกเขา คุณปู่หลิงจึงกล้าที่จะถามคำถามสามข้อติดๆกันในที่สาธารณะ
ส่วนหลิงหงที่เพิ่งจะเข้ามาในร้านก็เจตนานั่งให้ห่างจากพวกเขาอยู่เงียบๆในตอนนั้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวสวัสดีกับพวกเขาเสียด้วยซ้ำไป
และในขณะเดียวกัน จุดประสงค์เดิมของคุณปู่หลิงที่มาร้านหยวนโจวก็ถูกลืมเลือนไปทันทีเพราะคุณปู่เจีย
ดังนั้นเวลาอาหารค่ำจึงผ่านไปด้วยความราบรื่น หลังจากมื้อค่ำ หลิงหงก็เห็นคุณปู่ของเขาเอารถลากของคุณปู่เจียกลับบ้านไปอย่างไม่รีบร้อน
“เซินหมิน ฉันจะออกไปข้างนอกนะ เธอช่วยดูร้านให้ทีนะ” หยวนโจวกล่าวทันทีที่ลูกค้าคนสุดท้ายออกไป
“ได้ค่ะ คุณจะออกไปตอนนี้เลยใช่ไหมคะ?” เซินหมินพยักหน้าคามความเคยชินขึ้นมาเป็นครั้งแรก เธอเพียงแค่ถามขึ้นหลังจากรับรู้สิ่งที่หยวนโจวบอกแล้ว
“ผมมีเรื่องต้องทำน่ะ” หยวนโจวพยักหน้าพลางล้างมือในอ่างล้างมือแล้วเดินออกจากครัวไป
“รักษาตัวด้วยค่ะ เถ้าแก่หยวน” เซินหมินกับโจวเจียรับคำสั่ง “อืม เดินทางดีๆนะคะ!”
หยวนโจวพยักหน้าตอบโจวเจีย ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร เขาก็หันหน้าไปหาเซินหมินแล้วกล่าวว่า “โอเค ถ้ามีอะไรที่จัดการไม่ได้ก็โทรหาผมนะ”
หลังจากนั้นหยวนโจวก็หันหลังแล้วเดินออกจากร้านด้วยฝีเท้าอันว่องไว
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของหยวนโจวแล้ว เซินหมินก็รู้สึกตกตะลึงนิดหน่อย เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เธอได้เห็นหยวนโจวรีบออกไปข้างนอกขนาดนั้น
แต่เมื่อก่อนถึงเขาจะเร่งรีบขนาดไหน หยวนโจวก็มักจะขึ้นชั้นบนไปเปลี่ยนชุดก่อนออกไป ถึงอย่างไรก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีกลิ่นน้ำมันและควันหลังจากการทำงานมาตลอดค่ำ
“ดูท่าจะมีเรื่องด่วนแน่ๆ วันนี้เถ้าแก่หยวนถึงได้รีบมากเสียขนาดนั้น” เซินหมินบอกโจวเจีย
โจวเจียพยักหน้า “พวกนักดื่มก็ยังไม่มากันเลย”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันหรือเปล่านะ?” เซินหมินรู้สึกเป็นกังวลอยู่นิดหน่อย เธอกำลังคิดว่าหากเกิดปัญหาจะสามารถช่วยเขาได้อย่างไร
“ถ้าตัดสินจากสีหน้าเถ้าแก่ของเราแล้ว เขาก็ดูสบายดีนี่นา ก็คงจะไม่เป็นไรหรอกน่า” โจวเจียกล่าวขึ้นมา แม้แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะปลอบเซินหมินหรือตัวเธอเองดี
“ฉันจะไปเตรียมเหล้าสำหรับเปิดผับก่อนนะ” เซินหมินกล่าวขึ้นหลังจากเธอพยักหน้าแล้ว
“โอเค ฉันจะจะอยู่ตรงเคาน์เตอร์รอพวกเขาก็แล้วกันนะ” โจวเจียกล่าวอย่างกระตือรือร้น
“โอเค” เซินหมินตอบโดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนไปคอยเฝ้าร้าน
ในยามปกติหยวนโจวจะอยู่ตรงเคาน์เตอร์แล้วเธอก็จะไปเปิดร้าน และตอนนี้โจวเจียก็ต้องอยู่ที่นั่นแทนหยวนโจว
เนื่องจากวันนี้หยวนโจวไม่อยู่ โจวเจียจึงต้องอยู่ตรงประตูและรอให้บรรดาลูกค้ามาถึง
ดังนั้นเธอจึงเริ่มทักทายพวกนักดื่มทันทีที่พวกเขามาถึง
“สวัสดีค่ะคุณเหว่ย พี่เฉิน เชิญด้านในค่ะ” เมื่อมองเห็นสองคนที่ใกล้เข้ามา โจวเจียจึงกล่าวทักทายพวกเขา
“อืม” คุณเหว่ยคือบิดาของเว่ยเว่ยพยักหน้าเล็กน้อยให้โจวเจียแล้วเดินผ่านทิวทัศน์ที่เป็นกำแพงงดงามตระการตา
“ทำไมวันนี้เธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?” เฉินเหว่ยกวาดตามองไปรอบร้าน
“เถ้าแก่ออกไปข้างนอกค่ะ ฉันก็เลยต้องช่วยเฝ้าร้าน แล้วก็มีเหล้าพร้อมให้บริการอยู่ในผับด้วยนะคะ” โจวเจียรู้ใจเฉินเหว่ยดีมากทีเดียว เมื่อเธอเริ่มพูดก็จะพูดถึงเรื่องที่เฉินเหว่ยอยากรู้มากที่สุด
“ผมไม่เป็นห่วงเรื่องเหล้าหรอก แต่เรื่องที่ผมเป็นห่วงที่สุดคือสภาพความเป็นอยู่ของชายโสดต่างหาก” เฉินเหว่ยพยักหน้าพลางอมยิ้มขึ้นมาก่อนแล้วค่อยกล่าวด้วยสีหน้าเมินเฉย
เฉินเหว่ยย่อมไม่กล้าพูดเช่นนั้นต่อหน้าเถ้าแก่หยวนอยู่แล้ว เขาจะกล้าพูดเล่นเช่นนั้นก็ต่อเมื่อหยวนโจวไม่อยู่ที่นั่น
“พูดอย่างกับมีแฟนอย่างนั้นแหละ” ขณะที่กำลังบ่นอยู่นั้น โจวเจียก็กล่าวขึ้นมาว่า “เข้าใจแล้ว เชิญเลยค่ะ”
“เธอมันยัยตัวแสบ” หลังจากเฉินเหว่ยกล่าวเช่นนั้นแล้วเขาก็เดินเข้าผับไป
คนที่เพิ่งมาถึงหลังจากนั้นคือพวกนักดื่มที่ไม่ค่อยได้มาดื่มบ่อยๆนัก โจวเจียจึงกล่าวทักทายพวกเขาอย่างจริงจังแล้วนำทางพวกเขาเข้าประตูไป
โชคดีที่วันนี้มีพวกนักดื่มไม่เยอะสักเท่าไหร่นักมีแค่ห้าคนเท่านั้น ถึงอย่างไรพวกเขาก็เข้ามาในร้านแล้ว โจวเจียจึงค่อยๆดึงประตูม้วนลงแล้วเดินไปที่ลานและมองขึ้นไป เธออยากรู้ว่าเซินหมินอยากให้เธอช่วยอะไรบ้างไหม
แต่เมื่อมองขึ้นไปเธอก็เห็นแค่ใบไผ่สีเขียวที่ส่งเสียงอยู่ในสายลม
“ไม่มีเวลาเหลือพอแล้ว คงไม่เป็นไรหรอกนะ” โจวเจียตรวจสอบเวลาจากโทรศัพท์ของเธอแล้วตัดสินใจกลับไปก่อน
เธอต้องไปเข้าชั้นเรียนภาคค่ำ เวลาที่อยู่ที่นี่เพิ่งจะกินเวลาอาหารค่ำของเธอไป ถ้าหากเธอขึ้นชั้นบนไปอีก โจวเจียก็คงเข้าชั้นเรียนไม่ทันแน่ๆ
“ปัง” โจวเจียปิดประตูจากด้านนอกแล้วรีบวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์อย่างรวดเร็ว เธอไม่มีเวลาที่จะซื้ออะไรกินอีกแล้ว
“ฟู่ โชคดีที่มีรถเมล์เลยไม่ต้องรอนาน” โจวเจียตบหน้าอกตัวเองแล้วรู้สึกว่าช่างโชคดีมากเลย
อีกด้านหนึ่ง หยวนโจวลงจากรถตรงหัวมุมถนนเทียนเซียง
ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก มันเป็นเพราะถนนเทียนเซียงเป็นถนนสายวัฒนธรรมโบราณซึ่งค่อนข้างคับแคบ ผู้คนมาหาความสำราญกันอยู่มากมายและมีแม้แต่รถเมล์ผ่านไปผ่านมาบนท้องถนน ผลก็คือทำให้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและยวดยานพาหนะตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงไม่มีคนขับคนไหนอยากขับเข้ามาด้านในสักเท่าไหร่นักหรอก และแน่นอนว่าหยวนโจวย่อมเลือกที่จะลงรถตรงริมถนนเนื่องจากการเดินเข้าไปข้างในเร็วกว่าขับรถไปเสียอีก
“ตึก ตึก ตึก” หยวนโจวที่สวมเสื้อคลุมทรงตรงแขนสอบแคบสีฟ้าอมเขียวเดินก้าวยาวๆไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและมั่นคงในถนนที่เต็มไปด้วยอาคารยุคเก่าที่มีหลังคาโค้งขึ้นบน ระหว่างที่กำลังเดินไปข้างหน้าอยู่นั้น ตะเข็บสีเข้มปักลายดอกบัวตามขอบล่างก็ส่องแสงระยิบระยับเล็กน้อยแลดูงดงามยิ่งนัก
ดังนั้นทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจึงอดไม่ได้ที่จะหันมามองหยวนโจว แต่หยวนโจวกลับทำท่าทางราวกับว่าไม่ทันสังเกตเห็นเพียงแค่เดินมุ่งหน้าต่อไปที่โรงน้ำชาซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งที่ได้รับการยืนยันด้วยตนเองแล้ว
“โรงน้ำชา” หยวนโจวมาถึงร้านน้ำชาที่ถูกเรียกว่าโรงน้ำชา
โรงน้ำชาก็เหมือนๆกับอาคารข้างเคียงที่ยังเป็นอาคารยุคเก่านั่นแหละ มันมีสองชั้นและตรงกลางก็มีไม้กระดานตั้งอยู่สูงๆตรงนั้นซึ่งแสดงชื่อโรงน้ำชาเอาไว้ บริกรสองคนที่แต่งกายในชุดคลุมตัวยาวและสวมหมวกจีนกำลังยืนอยู่ทั้งสองด้านของประตู ทันทีที่พวกเขาเห็นหยวนโจวมุ่งหน้ามาที่โรงน้ำชา คนที่ตัวสูงกว่าก็เดินเข้ามาหาเขาในทันที
“มากี่ท่านครับ? จะดื่มชาหรือฟังเรื่องเล่าดีครับ?” บริกรคนที่ตัวสูงกว่าเอ่ยปากถามขึ้นอย่างแนบเนียน
“อย่างหลังน่ะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา
บริกรคนที่ตัวสูงกว่าพยักหน้าแล้วนำทางหยวนเข้าไปในโรงน้ำชา
“ฟังทางนี้! มีคนมาฟังเรื่องเล่า ไปเตรียมชาถ้วยใหญ่ๆมาเสิร์ฟด้วย” เมื่อพวกเขาเหยียบย่างเข้าประตูไป บริกรคนที่ตัวสูงกว่าก็ตะโกนขึ้นมา
“ทางนี้เลยครับ” ทันใดนั้นก็มีบริกรอีกคนออกมาพาหยวนโจวไปหาที่นั่ง
คราวนี้การแสดงยังคงดำเนินต่อไปในห้องโถงใหญ่ มันเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของการยกถังน้ำเอาไว้บนศีรษะ ชายฉกรรจ์ที่แต่งกายในชุดเรียบๆตัวสั้นแบบจีนและดูเหมือนจะอยู่ในวัยราวๆห้าสิบหรือหกสิบเศษกำลังยกถังน้ำซึ่งกว้างยิ่งกว่าอ่างล้างมือแถมยังลึกเท่าแขนผู้ใหญ่เอาไว้บนศีรษะของเขา
“ยังแสดงอยู่ด้วยแฮะ” หยวนโจวรู้สึกโล่งอก
“ดี! ยอดเยี่ยม! สุดยอดไปเลย!” หยวนโจวเพิ่งจะได้ที่นั่งเอาเมื่อตอนที่ชายบนเวทีหมุนถังน้ำบนศีรษะไปสองครั้ง จากนั้นก็ได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมไปรอบหนึ่ง
“ยอดเยี่ยมจริงๆ” หยวนโจวอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้
การแสดงดังกล่าวไม่เพียงต้องมีความแข็งแรงเท่านั้นแต่ยังต้องมีความแม่นยำและฝึกหนักมานานปี
หยวนโจวชมการแสดงขณะที่บริกรคอยเสิร์ฟน้ำชาให้เขาอยู่ทางด้านข้างเงียบๆ
“วันนี้คุณจะมีการแสดงมายากลไหมครับ?” ระหว่างพักการแสดง หยวนโจวก็เรียกบริกรเอาไว้แล้วถามขึ้นมา
“ช่างประจวบเหมาะอะไรอย่างนั้น! การแสดงต่อไปนี่แหละครับ” บริกรพยักหน้าแล้วกล่าวพลางอมยิ้ม
“วันนี้เป็นการแสดงอะไรงั้นเหรอครับ?” หยวนโจวรู้สึกดีใจ แต่ทว่าภายนอกเขายังคงถามอย่างไม่ใส่ใจ
“การแสดงมายากลย้ายที่น่ะครับ น่าสนใจแล้วก็อลังการมากเชียวล่ะ นี่คือรายชื่อการแสดงนะครับ ลองเอาไปดูสิครับ” ระหว่างที่พูดเช่นนั้นออกมา บริกรก็ยื่นแผ่นกระดาษมาให้
“โอเค ขอบคุณครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วค้นหารายละเอียดของการแสดงมายากลทันที
การแสดงมายากลมีอยู่สามแบบคือ การย้ายที่ การลบด้วยมือ การยกแล้วก็การซ่อน และการแสดงต่อไปในวันนี้ก็คือกลห่วงจีนอันเป็นมายากลย้ายที่อย่างหนึ่ง
“การย้ายกลห่วงจีนงั้นเหรอ? น่าจะเป็นเทคนิคการใช้มือแหละนะ” หยวนโจวชักจะรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็อาจจะต้องตั้งใจเรียนรู้วิธีเตรียมการเพื่อแยกถั่วต่างๆออกจากถั่วสามสี