อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 896 เป็นไปไม่ได้หรอกน่า
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 896 เป็นไปไม่ได้หรอกน่า
เท่าที่หยวนโจวทราบมา กลห่วงจีนและกลย้ายถั่วล่องหนเป็นตัวแทนทั้งสองอย่างในมายากลย้ายที่ จะว่าไปแล้วกลห่วงจีนก็คือกลเก้าห่วงนั่นเอง ระหว่างการแสดงพวกเขาจะเกี่ยวห่วงไม่สามก็เก้าห่วง แม้ว่าคุณจะเคยเห็นมาต่อหน้าต่อตา แต่คุณก็ยังไม่สามารถเข้าใจว่าวิธีการเล่นกลอยู่ดีนั่นแหละ
หลังจากผู้เชี่ยวชาญที่ยกถังน้ำเอาไว้บนศีรษะแสดงจบ พิธีกรแสนสวยที่แต่งกายในชุดกี่เพ้าก็ขึ้นมาบนเวที
“ต่อไป ขอให้เพลิดเพลินกับการแสดงมายากลย้ายที่ในวันนี้นะคะ” พิธีกรกล่าวเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษออกมาครั้งหนึ่งตามลำดับ
ระหว่างการแนะนำของพิธีกร อาจารย์เติ้งศิลปินพื้นบ้านที่จะแสดงกลย้ายที่ก็ขึ้นมาบนเวที
เมื่อตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกของเขาแล้ว อาจารย์เติ้งน่าจะอยู่ในวัยราวๆสี่สิบปีเศษ เขาดูธรรมดาและสวมใส่ชุดคลุมตัวยาวสีน้ำเงิน ทันทีที่เขาขึ้นไปอยู่บนเวที เขาก็ยื่นห่วงเหล็กทั้งเก้าให้ผู้ชมข้างในดู
“ทุกท่าน มาๆ ลองมาตรวจสอบดูซิว่าห่วงเหล็กมีอะไรผิดปกติหรือไม่” อาจารย์เติ้งกล่าวขึ้น
มีโรงน้ำชาอยู่มากมายในตรอกมงคล ค่าบริการก็เกือบจะเท่ากับค่าคอนเสิร์ตเลย ถ้าคุณยิ่งอยู่ใกล้เวทีมากเท่าไหร่ตั๋วก็จะยิ่งแพงมากขึ้นเท่านั้นด้วย แน่นอนว่าโรงน้ำชาไม่ได้ใหญ่โตมากมายสักเท่าไหร่นักจึงทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดว่าด้านในมีเพียงแค่ 7 แถวเท่านั้นเอง
โรงน้ำชาจะจัดเตรียมน้ำชาพร้อมผลไม้อบแห้งจานเล็กๆมาให้ผู้ชม โดยมีน้ำชาเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น ผู้ชมส่วนใหญ่จะชมการแสดงของผู้เชี่ยวชาญบนเวทีจึงถูกเรียกว่าฟังเรื่องเล่า
อีกด้านหนึ่ง การดื่มชาก็เหมือนกับการลิ้มรสชาติน้ำชาอยู่ริมระเบียงจริงๆ กล่าวได้ว่าโรงน้ำชาจะมีน้ำชาดีๆอยู่สองอย่าง แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมไม่ต้องการอยู่แล้ว
มีค่าบริการที่แตกต่างกันออกไปคือราคา 188 หยวน 288 หยวนและ 388 หยวน เนื่องจากหยวนโจวอยากได้แรงบันดาลใจ เขาจึงเลือกจ่ายค่าบริการในราคา 388 หยวนและได้ที่นั่งในแถวแรก
388 หยวนไม่ถูกเอาเสียเลย ถ้าหากเป็นเมื่อสองปีที่แล้วเขาก็คงลังเลที่จะจ่ายเงินออกไป แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกปวดใจมาจนถึงตอนนี้ แต่เขาก็ค่อยๆเข้าใจสิ่งที่มารดาของตนเคยบอกว่า “คนเราไม่ต้องร่ำรวยมากก็จริงแต่ก็ต้องมีเงินมากพอด้วยนะ”
การมีเงินไม่ได้หมายความว่าจะใช้เงินได้อย่างสุรุ่ยสุร่าย แต่เมื่อคนในครอบครัวลมป่วยจนต้องไปโรงพยาบาล เขาก็จะสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ และหลังจากเขาทำงานล่วงเวลาหรือทำงานหนักมาตลอดทั้งวันแล้ว เขาก็จะสามารถเลือกขึ้นรถแท็กซี่ได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีค่าบริการเท่าไหร่แทนที่จะต้องขึ้นรถเมล์อันแสนเบียดเสียด
คนเราไม่ต้องร่ำรวยมากก็จริงแต่ก็ต้องมีเงินมากพอด้วยจึงทำให้เขามีทางเลือกอื่น อันที่จริงแล้วมันเป็นเป้าหมายทั่วๆไปที่คนส่วนใหญ่พยายามที่จะเข้าถึงให้ได้ เนื่องจากหยวนโจวนั่งอยู่แถวแรก อาจารย์เติ้งจึงยื่นห่วงเหล็กให้เขา
หยวนโจวตั้งใจสังเกตดูมือของอาจารย์เติ้งอย่างละเอียดถี่ถ้วนและพบว่าไม่ได้เรียวบางและดูดีอย่างที่เขาคิดเอาไว้เลยสักนิด แต่กลับให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างหยาบกร้านและมีข้อนิ้วมือใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มตรวจสอบห่วงเหล็กในมือตัวเอง
ลูกค้าคนอื่นๆที่ได้ห่วงเหล็กก็พากันตรวจสอบทันทีพลางเคาะลงบนนั้นด้วย มิหนำซ้ำยังมีบางคนลองกัดดูอีกต่างหาก
“ไม่มีปัญหาครับ” หยวนโจวตรวจสอบห่วงแล้วส่งกลับคืนให้อาจารย์เติ้ง
อย่างไรเสียห่วงเหล็กก็ไม่มีปัญหา อาจารย์เติ้งจึงรับห่วงเหล็กทั้งเก้ากลับคืนมาแล้วขอเสียงปรบมือสองครั้งก่อนที่เขาจะเริ่มการแสดง และผู้ชมก็พากันแสดงความเคารพต่อเขาแล้วตอบเขาด้วยเสียงปรบมือที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้า หลังจากเสียงปรบมือดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ในที่สุดเขาก็เริ่มการแสดงขึ้น
เขาเกี่ยวห่วงทั้งสองห่วงเข้าด้วยกันก่อนแล้วค่อยเกี่ยวห่วงทั้งสามเข้าด้วยกัน หลังจากเขาดึงพวกมันไปทางด้านขวาแล้ว ห่วงเหล็กทั้งสามก็แยกออกจากกัน ก่อนที่ผู้ชมจะทันได้เอ่ยปากชื่นชมการย้ายที่อันยอดเยี่ยมของเขา ห่วงเหล็กทั้งหกในมือซ้ายของเขาก็เกี่ยวเข้าด้วยกันอีกสามห่วง
ความเร็วในการขยับมือของอาจารย์เติ้งว่องไวมากทั้งยังขยับอย่างไม่เป็นธรรมชาติอีกต่างหาก ไม่ว่าผู้ใดก็คงยากที่จะมองตามได้ทัน
แม้ว่าหยวนโจวจะไม่เคยเรียนรู้เรื่องมายากลมาก่อน แต่เขาก็ขยับมือตัวเองได้ว่องไวมากๆเหมือนกัน นอกเหนือไปจากนี้เขายังใช้สายตาอันเฉียบคมของตัวเองให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แต่เขาก็ยังไม่พบอะไรระหว่างนั้นเลย สิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คืออาจารย์เติ้งผู้นั้นมักจะดึงดูดความสนใจของผู้ชมด้วยวิธีการเขย่าห่วงด้วยมือข้างเดียวและในขณะเดียวกันก็ย้ายที่ได้อย่างน่าเหลือเชื่อยิ่งด้วยมืออีกข้าง
กลห่วงจีนมีอยู่หลายแบบอาทิเช่น ดอกบีโกเนีย ลูกบอลแพร ตะกร้าดอกไม้และหมวกผ้าโปร่งสีดำ ยกเว้นแต่หมวกผ้าโปร่งสีดำเท่านั้นแหละ ส่วนที่เหลืออาจารย์เติ้งก็แสดงไปทีละอย่างต่อหน้าหยวนโจวจนหมดแล้ว ทุกครั้งเขาก็จะได้รับเสียงปรบมือและคำชื่นชมจากผู้ชมอยู่เสมอ
หลังจากอาจารย์เติ้งแสดงจบ หยวนโจวก็เริ่มลงมือทันที เขาลุกขึ้นแล้วเดินตามอาจารย์เติ้งไปหลังเวที
บนประตูเป็นโปสเตอร์อันโดดเด่นสะดุดตาที่อ่านได้ว่าห้ามเข้าเฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่หยวนโจวก็ยังคงสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเริ่มเคาะประตูเพื่อแจ้งให้ทราบถึงความต้องการของเขาต้องการ
“ขอโทษที่มารบกวนอย่างปุบปับนะครับ ผมมีเรื่องด่วนอยากปรึกษาอาจารย์เติ้งหน่อย ขอผมเข้าไปได้ไหมครับ?”
อาจเป็นเพราะไม่เคยมีใครทำแบบนั้นมาก่อนหลังจากเงียบไปสักครู่ก็มีเสียงบุรุษผู้หนึ่งตอบเขามาจากในห้องว่า “เข้ามาสิ”
หยวนโจวเข้าห้องและปิดประตูอย่างเบาไม้เบามือแล้วก็เจอเข้ากับอาจารย์เติ้งที่เพิ่งแสดงมายากลบนเวลาทีเมื่อสักครู่นี้นั่งพักอยู่บนเก้าอี้
“มีอะไรงั้นรึ เจ้าหนุ่ม?” อาจารย์เติ้งถามเขาขึ้นมาก่อน
“ขอโทษที่รบกวนนะครับ อาจารย์เติ้ง” หยวนโจวกล่าวอย่างนอบน้อมขึ้นมาก่อน
“คุณรู้ทั้งรู้ว่าอาจจะเป็นการรบกวนผมแต่ก็ยังเข้ามา นั่นย่อมหมายความว่าคุณมีเรื่องอยากคุยกับผมจริงๆ ว่ามาเถอะ เจ้าหนุ่ม” แม้ว่าตอนนี้บนใบหน้าของอาจารย์เติ้งจะไม่ค่อยมีรอยยิ้มมากมายเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับเมื่อสักครู่นี้ แต่เขาก็ดูค่อนข้างอบอุ่นทีเดียว
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะครับ ผมอยากปรึกษาคุณเรื่องการเล่นกล” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“คุณก็เรียนรู้การเล่นมายากลด้วยรึ?” อาจารย์เติ้งขมวดคิ้วแล้วมองหยวนโจว
“เปล่าหรอกครับ ผมเป็นเชฟ” หยวนโจวส่ายหน้า
“เชฟงั้นรึ?” อาจารย์เติ้งสีหน้าไม่ดีขึ้นเลย
เขามีเหตุผลให้โกรธอยู่แล้วล่ะ เนื่องจากทีแรกหยวนโจวบอกว่าอยากปรึกษาเขาเรื่องการเล่นกล อาจารย์เติ้งย่อมเชื่อว่าหยวนโจวกำลังเรียนรู้การเล่นมายากล แต่หลังจากนั้นหยวนโจวกลับบอกว่าเขาเป็นเชฟทำให้เขามีความรู้สึกว่าหยวนโจวกำลังล้อเล่นกับเขาอยู่
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะครับ ผมอยากคืนชีพอาหารที่สาบสูญไปแล้วที่มีชื่อว่าสามหอมแห่งท้องสมุทร แต่ก่อนที่จะเสิร์ฟมัน ผมต้องแยกถั่วทั้งสามชนิดด้วยสีที่แตกต่างกันได้ในทันทีให้ได้ ผมคิดว่าอาจจะต้องใช้ทักษะบางอย่างก็เลยลองมาปรึกษาเรื่องการเล่นกลกับคุณดูน่ะครับ” หยวนโจวบอกเหตุผลทันทีที่เขาเห็นว่าอาจารย์เติ้งสีหน้าไม่ดีนัก
“อาหารที่สาบสูญไปงั้นรึ? คุณจะฝึกสำเร็จได้ตั้งแต่อายุน้อยๆเพียงเท่านี้ได้เหรอ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาจารย์เติ้งก็ดูเหมือนจะมีสีหน้าดีขึ้น แต่แทนที่จะตอบหยวนโจว เขากลับมองหยวนโจวแล้วถามขึ้นมา
ในสายตาของอาจารย์เติ้ง การคืนชีพอาหารที่สาบสูญไปแล้วทำให้เขารู้สึกประทับใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ยังมีกลโบราณที่หายสาบสูญไปอีกตั้งเยอะตั้งแยะ และงานคืนชีพก็ต้องการคนหนุ่มที่มีแรงผลักดันแบบนี้จริงๆนั่นแหละ
แต่การคืนชีพก็ไม่น่าจะสำเร็จได้ทันทีที่อยากจะทำหรอก ดังนั้นอาจารย์เติ้งจึงถามเขาขึ้นมาด้วยคำถามนั้น
“ในด้านทักษะการทำอาหาร ผมยังต้องพัฒนาอีกเยอะ ยังไงผมก็จะเรียนรู้ให้มากๆครับ” หยวนโจวตอบอย่างจริงจัง
“อาจารย์เติ้ง เมื่อสักครู่ผมลืมแนะนำตัวเองไป ผมชื่อหยวนโจวแล้วผมก็มีร้านอาหารเล็กๆอยู่ตรงถนนเถ่าซือครับ ว่างเมื่อไหร่ก็มากินอาหารที่ร้านผมได้ตลอดนะครับ ผมจะเลี้ยงอาหารค่ำคุณเอง” ก่อนที่อาจารย์เติ้งจะทันได้ตอบเขาไป จู่ๆหยวนโจวก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยจึงได้กล่าวเสริมขึ้นมา
“หยวนโจวจากถนนเถ่าซืองั้นรึ?” อาจารย์เติ้งพิศดูรูปลักษณ์ภายนอกของหยวนโจวอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วพยักหน้าราวกับเขายืนยันอะไรบางอย่างได้แล้ว
“ครับ ว่างเมื่อไหร่ก็อย่าลืมมาที่ร้านอาหารเล็กๆของผมนะครับ ผมจะเลี้ยงอาหารค่ำคุณเอง” หยวนโจวกล่าวอย่างใจกว้าง
“ถ้างั้นก็น่าจะคืนชีพอาหารที่สาบสูญไปแล้วได้จริงๆแหละนะ” อาจารย์เติ้งไม่สนใจเรื่องอาหารเลยสักนิด แต่เขากลับบ่นพึมพำเรื่องอื่นออกมาแทน
หยวนโจวไม่มีเวลามาพูดอะไรอีกเมื่ออาจารย์เติ้งพูดต่อไปว่า “ผมไม่เคยได้ยินว่าจะมีทักษะอะไรที่จะใช้แยกอาหารอย่างสามหอมแห่งท้องสมุทรได้เลย สิ่งที่ผมเชี่ยวชาญก็แสดงบนเวทีไปเมื่อสักครู่แล้ว”
“อืม” หยวนโจวพยักหน้าแล้วฟังเขาพูดต่อไป
“แต่ผมสามารถบอกคุณได้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าถึงกลย้ายที่ขนานแท้ได้” อาจารย์เติ้งกล่าวขึ้น
“คุณหมายความว่าไม่มีทางแยกถั่วชนิดต่างๆออกได้ใช่ไหมครับ? หยวนโจวถาม