อยากกินไหมล่ะ - บทที่ 897 ผมเชื่อในคำแนะนำของคุณนะ
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 897 ผมเชื่อในคำแนะนำของคุณนะ
อาจารย์เติ้งไม่ได้ให้คำตอบแก่หยวนโจวในทันที ตรงกันข้ามเขายังคงพูดต่อไป
“ในบรรดากลมากมาย มีอยู่กลหนึ่งที่ชื่อว่าสามเซียนเข้าถ้ำซึ่งแสดงด้วยตะเกียบคู่หนึ่ง ชามสองใบและลูกบอลสามลูก ส่วนหัตถ์ปีศาจที่อาจารย์หวังแสดงได้ยอดเยี่ยมที่สุดนี้ ภายใต้การฝึกอันแสนดุเดือดทำให้มือของเขาว่องไวมากเสียจนคุณมองตามไม่ทันเชียวล่ะ หลายครั้งที่เขาไม่ได้ใช้กลอะไรเลย เขาเพียงแค่ขยับลูกบอลจากชามหนึ่งไปอีกชามหนึ่งเท่านั้นเอง” อาจารย์เติ้งกล่าวขึ้น
นี่คือแนวคิดที่ค่อนข้างเรียบง่าย เมื่อคนผู้หนึ่งมีความเร็วเหนือกว่าสิ่งที่กล้องและดวงตาจะสามารถจับได้ก็จะไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ หยวนโจวไม่ได้พูดอะไรและรอให้อาจารย์เติ้งพูดต่อไป
“จากคำอธิบายที่คุณว่ามา คุณต้องการที่จะแยกถั่วทั้งสามชนิดที่มีขนาดเท่าๆกันที่เหลืออยู่ในหม้อให้ได้ในทันที มาดูซิว่าคุณจะเร็วได้ขนาดไหนกัน? ผมจะให้เวลาพิจารณาสองวินาที คุณมีถั่วอยู่ในหม้อเยอะขนาดไหนล่ะ? ผมจะให้เวลาในเรื่องนั้นและถือว่าคุณจะมีเวลาพิจารณาถั่วอย่างละ 30 เม็ด การย้ายถั่ว 90 เม็ดอย่างแม่นยำในสองวินาทีหาใช่สิ่งที่แม้แต่อาจารย์หวังก็จะทำได้ แต่ทว่าหัตถ์ปีศาจสามารถทำได้” อาจารย์เติ้งกล่าวขึ้น
คำอธิบายเช่นนี้ไม่ทำให้หยวนโจวผิดหวังเลย จากคำอธิบายของอาจารย์เติ้งแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการแยกกลิ่นรสทั้งสามเลย แม้แต่การแยกถั่วทั้งสามชนิดก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้นอาจารย์เติ้งก็ยังต้องใช้เวลาในการตอบคำถามของเขา ดังนั้นหยวนโจวจึงกล่าวขอบคุณอย่างจริงจังว่า “โอเค ขอบคุณครับ อาจารย์เติ้ง”
เมื่ออาจารย์เติ้งเห็นสีหน้าผิดหวังของหยวนโจว เขาจึงกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “สามหอมแห่งท้องสมุทรคือชื่อของอาหารจานนั้นงั้นรึ? ผมมีไอเดียล่ะ คุณลองพิจารณาดูนะครับ”
“ว่ามาเถอะครับ อาจารย์เติ้ง” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“ในเมื่อเป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าสามหอมแห่งท้องสมุทรเป็นอาหารที่เคยมีอยู่ พูดง่ายๆก็คือมันเป็นสิ่งที่เคยมีคนทำมาก่อนจริงๆ พอมานึกๆดูแล้ว ถ้าหากเชฟสามารถทำเช่นนั้นได้ด้วยกลหรือความเร็วของมือจริงๆแล้วล่ะก็เขาคงไม่ใช่เชฟหรอกครับ ตรงกันข้ามเขาน่าจะเป็นสุดยอดนักมายากลมากกว่า”
ทฤษฎีนี้ของอาจารย์เติ้งค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว สิ่งนี้ทำให้หยวนโจวตระหนักขึ้นมาได้ อาจารย์หวังจอมหัตถ์ปีศาจน่าจะเป็นผู้ที่มีมือไม้ว่องไวที่สุดแล้วในวัยขนาดนี้ ถึงแม้ว่าในยุคนี้จะมีผู้ที่มีพรสวรรค์ชนิดหาตัวจับยากอยู่มากมายั้สามารถเข้าถึงความเร็วเช่นนั้นได้ก็ยังนับการกล่าวเกินจริงมากเกินไปอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นหากอาหารจานนั้นมีความต้องการให้เชฟมีคุณสมบัติขั้นต้นเช่นนั้นก็ไม่น่าจะเรียกว่าอาหารแล้ว ตรงกันข้ามน่าจะเป็นการแสดงเสียมากกว่า
“ดังนั้นในเมื่อเป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้ว คุณก็สามารถพิจารณาถึงเรื่องการคืนชีพอาหารอย่างที่เชฟควรจะทำแทนที่จะเข้าถึงอาหารจานนั้นด้วยกลที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของเชฟเลยนะ ยกตัวอย่างเช่นวัตถุดิบและอย่างอื่น” อาจารย์เติ้งกล่าวต่อไปว่า “ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารมากสักเท่าไหร่นัก แต่ผมก็เชื่อว่าเป็นวิธีการที่คุณควรจะทำนะครับ”
ในเมื่อเป็นอาหารก็ควรจะได้รับการคืนชีพอย่างที่เชฟควรจะทำสิ สิ่งนี้พุ่งเข้าใส่หยวนโจวราวกับสายฟ้าฟาด ในที่สุดหยวนโจวก็ตระหนักได้ว่าตนเองได้หลงประเด็นเสียแล้ว
“ขอบคุณครับ อาจารย์เติ้ง” หยวนโจวกล่าวพลางคารวะ
“ไม่ต้องหรอก ผมรับการคารวะครั้งนี้ไม่ได้” อาจารย์เติ้งรีบพยุงตัวหยวนโจวขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “จะไม่ดูเหมือนกับว่ากำลังจะมาเป็นลูกศิษย์ของผมหรอกหรือไง คุณไม่ต้องคารวะผมแบบนั้นก็ได้”
ทว่าหยวนโจวก็ยังคงคารวะต่อไป ถึงแม้ว่าอาจารย์เติ้งจะแข็งแรงกว่าหยวนโจวก็ตามที แต่คงไม่ใคร่เหมาะสมนักที่เขาจะออกแรงบังคับให้หยวนโจวลุกขึ้นมากเกินไปนัก หยวนโจวจึงกล่าวขึ้นมาว่า “คำพูดของคุณช่วยแก้ไขเส้นทางในการทำอาหารของผมให้เข้ารูปเข้ารอยแถมคุณยังพูดเหมือนอย่างที่ปรมาจารย์เขาพูดกันเลย อีกอย่างคุณก็ถือเป็นอาจารย์คนหนึ่งของผมแล้ว ผมจึงสมควรแสดงการคารวะครั้งนี้ครับ”
“เรื่องนั้นก็แค่ความคิดง่ายๆของผมเท่านั้นเอง” อาจารย์เติ้งไม่รู้ว่าจะรับมือกับหยวนโจวอย่างไรดีแล้ว เขารู้สึกว่าถึงแม้หยวนโจวจะยังหนุ่ม แต่กลับทำตัวคร่ำครึเป็นอย่างยิ่ง
“เมื่อยามที่กำลังเอ่ยปากขอบคุณใครสักคนก็ย่อมต้องยอมรับทัศนคติของคนที่เอื้อประโยชน์ให้ด้วยสิครับ” หยวนโจวยืนกราน
อาจารย์เติ้งทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับการคารวะของหยวนโจวอย่างไม่มีทางเลือก
“ด้วยความยินดีครับ ผมขอให้คุณจะทำสำเร็จนะ เถ้าแก่หยวน” อาจารย์เติ้งกล่าวอย่างจริงจัง
“ผมก็หวังอย่างนั้นเหมือนกันครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วไม่รบกวนอาจารย์เติ้งอีกต่อไป ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหลังเวทีแถมยังมีผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆพักอยู่แถวนั้นด้วย เขาจึงรีบออกไปโดยไม่รอช้าทันที
อาจารย์เติ้งมองหยวนโจวที่ออกไปแล้วพลางบ่นพึมพำขึ้นมาว่า “เจ้าหนุ่มนี่คร่ำครึเกินไปแล้ว คงจะหาแฟนได้ยากแล้วล่ะ”
ระหว่างที่เขาพูดอยู่นั้น อาจารย์เติ้งก็เตรียมการแสดงชุดถัดไปของตนเองไปด้วย อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้คนขับบอกผิดไป ในโรงน้ำชาแห่งนี้จะจัดการแสดงเพียงแค่สามอย่างในแต่ละคืน โดยจะเริ่มขึ้นตอนหกโมงครึ่งและไปสิ้นสุดลงตอนห้าทุ่ม
อาจารย์เติ้งหยิบห่วงเหล็กขึ้นมาแล้วจู่ๆก็เหม่อไป ตากนั้นเขาก็ออกจากหลังเวทีไป ในทีแรกเขาเดินเร็วๆแต่ต่อมาเขาก็เริ่มวิ่ง
เมื่อมาถึงข้างนอก เขาก็เห็นหยวนโจวกำลังจ้องมองไปที่โทรศัพท์ของตัวเอง อาจารย์เติ้งจึงร้องเรียกเขาเอาไว้
“เฮ้ อาจารย์หยวน”
หยวนโจวถึงกับเหม่อไปเมื่อได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคย เขาจึงถามขึ้นมาว่า “ครับ อาจารย์เติ้ง?”
“อาจารย์หยวน ถ้าหากคุณรู้จักคนที่เหมาะสมและสนใจเรียนการเล่นมายากลของเรา ช่วยแนะนำให้ผมทีนะ”
“โอเค ได้เลยครับ” หยวนโจวตอบตกลง
อาจารย์เติ้งยิ้ม “ผมเชื่อมั่นในตัวคนที่คุณแนะนำมานะครับ”
ทันใดนั้นเมื่อรถแท็กซี่มาถึง หยวนโจวก็ออกไปขึ้นรถแท็กซี่ หลังจากบอกที่อยู่แก่คนขับแล้วรถแท็กซี่ก็พุ่งตัวออกไป
หยวนโจวมาถึงประมาณสองทุ่มและหลังจากการแสดงจบลงก็เป็นเวลาประมาณสามทุ่มแล้ว ตอนที่เขามาถึงร้านก็เป็นเวลาสามทุ่มสี่สิบนาทีแล้ว
ผับยังคงอึกทึกครึกโครมอยู่เลย หยวนโจวคิดจะเข้าทางประตูแต่เมื่อเขาเห็นว่าไฟตรงหน้าร้านยังเปิดอยู่ เขาจึงเดินไปที่ถนนสายหลักแทนเพื่อเตรียมเข้าทางประตูหน้า
“โจวเจียยังอยู่อีกงั้นเหรอ?” หยวนโจวรู้สึกสงสัย
หยวนโจวทราบว่าโจวเจียมีเรียนภาคค่ำทุกวัน เนื่องจากต้องมีคนอยู่ที่ผับ แน่นอนว่าตอนนั้นเซินหมินย่อมต้องอยู่ชั้นบนอยู่แล้ว ถ้าหากไฟหน้าร้านยังเปิดอยู่ก็มีความหมายเพียงอย่างเดียวว่าโจวเจียยังอยู่น่ะสิ
หยวนโจวเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว
ทันทีที่เขามาถึงประตู หยวนโจวก็ตรวจดูและเห็นหญิงสาวในชุดเครื่องแบบพร้อมรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้ประตู
“เธอไม่ใช่โจวเจียนี่นา” หยวนโจวลงความเห็น
ตึก ตึก ตึก หยวนโจวก้าวเดินเบาๆแต่เสียงฝีเท้าก็ยังค่อนข้างชัดเจนในร้านอันเงียบเชียบ แล้วหญิงสาวก็หันหน้ามา
“เถ้าแก่หยวน คุณกลับมาแล้ว” หญิงสาวผู้นั้นก็คือจงลี่ลี่ที่กำลังถือกระเป๋าสตางค์เอาไว้ในมือ
“คุณมารอนานหรือยังครับเนี่ย?” หยวนโจวถามขึ้น
ช่วยดูแลให้กล่าวพลางยื่นกล่องไม้ให้หยวนโจว
“ขอบคุณครับ” หยวนโจวกล่าวพลางรับกล่องเอาไว้
หยวนโจวทราบว่าจงลี่ลี่จะต้องคอยอยู่นานแล้วเป็นแน่ แขนของเธอเท้าโต๊ะนานเสียจนเกิดรอยแดงจนสามารถมองเห็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ดึกมากแล้วด้วย
แต่ในเมื่อจงลี่ลี่พยายามที่จะกลบเกลื่อนเอาไว้ หยวนโจวจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
“ด้วยความยินดีค่ะ นอกจากนี้ท่านประธานยังฝากบอกมาด้วยว่านี่เป็นตำราโบราณสมัยปลายราชวงศ์หมิงเลยอยากให้คุณช่วยระมัดระวังด้วยนะคะ” จงลี่ลี่ถ่ายทอดข้อความที่โจวซื่อเจี๋ยฝากมา
“อืม ผมรู้แล้วครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“งั้นฉันกลับก่อนนะคะ” จงลี่ลี่พยักหน้าแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
“โอเค กลับบ้านดีๆนะครับ” หยวนโจวกล่าว
“อืม” จงลี่ลี่เดินออกจากร้านไป
หยวนโจววางกล่องลงแล้วตามไปส่งจงลี่ลี่ออกนอกร้าน เขามองจนกระทั่งจงลี่ลี่เดินห่างออกไปภายใต้แสงจันทร์และขึ้นรถไป