Great Doctor Ling Ran - ตอนที่ 245
หลังจากหลิงรันจอดรถ โฟล์คสวาเก้นเจลต้าคันเล็ก ๆ ของเขา เขาจะได้กลิ่นหอมของหมูนึ่งในไวน์แล้ว เขาลงจากรถทันทีและมุ่งหน้าไปที่ห้องครัว
ไอน้ำออกมาจากเต้าไฟขนาดใหญ่ซึ่งกว้างเท่ากับเอวของคนน้ำหนัก 270 ปอนด์ หลิงรันสามารถได้กลิ่นของเต้าหู้หมักและเนื้อสัตว์ได้
ความแตกต่างระหว่างหมูนึ่งในไวน์และหมูตุ๋นอยู่ต่อหน้าเต้าหู้หมัก
ไม่เพียง แต่เต้าหู้หมักจะสามารถขจัดความมันของเนื้อหมูได้ แต่ยังมีสารอะโรมาติกที่มีกลิ่นหอมที่เข้มข้นและยาวนานอยู่ในนั้นด้วย
สารอะโรมาติกเป็นแหล่งน้ำหอมสำหรับทุกอย่างที่อยู่ในหม้อกลิ่นหอมเหล่านั้นมันมาจะอบอวลมาจากกลิ่นของ ใบชา กาแฟ ไวน์แดง แฮม ไวน์ขาวและหมูนึ่งในไวน์
หลิงรานไม่รู้จะพูดอะไรออกมา เมื่อเขาได้กลิ่นที่คุ้นเคยและยั่วเย้าเช่นนี้ก็ทำให้น้าลายของหลิงรันไหลออกมา
เมื่อพูดถึงการทำกับข้าวทานเองที่บ้านที่ทำโดยพ่อและแม่ของเขา ซึ่งหมูนึ่งในไวน์เป็นหนึ่งในอาหารที่ทำให้เขาประทับใจมากที่สุด เมื่อเทียบกับอาหารทุกอย่างที่เตาปิงเคยทำมาอยู่ตลอด แจ่อย่างไรก็ตามคุณภาพของหมูนึ่งไวน์ที่ทำโดยหลิงโจวอาจจะมีฝีมือสูสีกับภรรยาของเขาเช่นกัน
มีหมูนึ่งน้ำหนัก 1.3 ปอนด์ต่อไวน์ทุกหนึ่งถ้วย หลังจากที่พวกมันถูกหั่นเป็นชิ้นหนาจะมีทั้งหมดยี่สิบสี่ชิ้น ส่วนที่เหลือก็เป็นเต้าหู้ที่มีปริมาณใกล้เคียงกับน้ำหนักของหมูมันช่วยแก้ปัญหาการกระจายน้ำหนักไม่เท่ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หมูนึ่งไวน์มักทำด้วยหมูสามชั้นเพราะมันมีไขมันและเนื้อไม่ติดมัน พวกมันถูกทำโดยใช้หมูสามชั้นที่มีสี่หรือห้าชั้นและทั้งสองชนิดไม่ควรเอามาใส่ในจานเดียวกัน
กระบวนการทำหมูนึ่งในไวน์มันก็ง่ายมากเช่นกัน รวมถึงเต้าหู้หมักแบบทำเองก็ไม่ได้หายากอย่างที่คิดเพราะหลิงโจวเพียงซื้อของเหล่านี้มาจากตระกูลเก้าที่อาศัยอยู่ที่ท้ายซอยพวกเขาทำธุรกิจมาประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบปีซึ่งเป็นยุคเดียวกันกับคลินิคตระกูลหลิง วัตถุดิบเหล่านั้นมันยอดเยี่ยมมานานแล้วถ้าพูดถึงคุณภาพของวัตถุดิบเหล่านั้น
เวลานี้จะต้องนำเนื้อหมูไปนึ่งและปริมาณน้ำในเครื่องนึ่งก็ต้องคงที่เช่นกันถ้าปรุงมันด้วยวิธีนี้ก็จะได้หมูนึ่งไวน์ที่มีรสชาติที่สุดแสนอร่อย
แม้ว่าอาหารในเซี่ยงไฮ้นั้นจะอร่อย แต่รสชาติของพวกมันแตกต่างจากที่หลิงรันคุ้นเคย หลังจากอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งเดือนระบบย่อยอาหารของหลิงรันนั้นค่อนข้างแย่ลง ลองนึกถึงในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาในชีวิตของเขาเขาไม่เคยออกจากหยุนหัวตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน
เนื่องจากหลิงรันต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่หยุนหัวและต้องกลับบ้านอยู่ตลอดเวลา
ในช่วงปีแรกของเขาในมหาวิทยาลัยหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ที่เพิ่งเข้ามาจะมีความภาคภูมิใจในการมีชีวิตอิสระ แต่หลิงรันนั้นต่างออกไปเขายังคงกลับบ้านบ่อยครั้งและหลิงรันเองก็ไม่ได้รู้สึกอาย แน่นอนว่านักเรียนหญิงทุกคนชื่นชมเขาอย่างมากในเวลานั้นและกล่าวว่าเขาเป็นตัวอย่างของเด็กกตัญญู สิ่งนี้ยังสนับสนุนให้หลิงรันพฤติกรรมติดการชอบกลับบ้านของเขาด้วย
หลิงรานดึงผ้าเช็ดตัวเปียก ๆออกมา แล้วโอบรอบมือของเขา จากนั้นเขาก็ยกฝาครอบของหม้อและมองเข้าไปด้านในหม้อ
หมูตุ๋นเกลือสีแดงและไขมันไวน์ที่สั่นสะเทือนอยู่ใต้ไอน้ำนั้น แต่พวกมันยังคงรักษารูปร่างของเนื้อย่างชัดเจนไม่มีสภาพเนื้อไม่ยุ่ยจนเกินไป พวกมันยังคงมีความเหนียวในระดับหนึ่ง
“พวกมันยังไม่สุกเหรอเนี่ย?” หลิงรันถอนหายใจออกมา
“เกือบจะเสร็จแล้ว” หลิงโจวเดินเข้าไปในครัวและยิ้มเมื่อเขาเห็นหลิงรัน “ตอนพ่อได้ยินเสียงรถของลูกพ่อก็คิดว่าลูกจะติ้งมุ่งตรงมาที่ห้องครัวแน่นอน เพราะการนึ่งหมูในไวน์มีความสำคัญมากกว่าพ่อของลูกตอนนี้หรือยังไงกันเนี้ย”
“ทั้งคู่มีความสำคัญเท่ากันนะครับ” หลิงรันตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา เขารู้ว่านี่เป็นแค่การแซวเท่านั้น
หลิงโจวตะโกนสองสามครั้ง จากนั้นเขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “มีบางชิ้นสุกแล้วพ่อรอให้พวกมันสุกกว่านี้ก่อน ตอนนี้ลูกอยากจะกินพวกมันแล้วใช่ม่ะ?”
“อ่า … ใช่แล้วครับ” ตอนนี้หลิงรันมีท่าทางมีความสุข เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “ผมของลองทานน้ำซุปของมันหน่อยสิ”
เมื่อเนื้อหมูที่นึ่งด้วยไวน์สุกแล้วน้ำมันหมูและเต้าหู้หมักก็จะผสมกันและจมลงไปที่ด้านล่างของเนื้อ เมื่อมันถูกเพิ่มลงในข้าวที่ชุบด้วยน้ำซุปวัตถุดิบสุดท้ายจะเป็นข้าวปรุงรสที่มีรสชาติที่ดีขึ้น มันอาจเป็นอาหารอันโอชะที่ไม่มีอะไรเทียบได้ในสมัยโบราณและยังคงเป็นอาหารมื้อที่เยี่ยมยอดในปัจจุบัน
หลิงโจวหัวเราะออกมาเบา ๆ สองสามครั้ง “ พ่อคิดว่าลูกต้องการข้าวในหม้อหุงข้าวไ ปตักมันได้เลยแต่อย่ากินมากไปนะมันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณ”
หลิงรันเพียงแค่พยักหน้าตอบรับ เขารู้สึกหิวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนราวกับว่าเขาไม่เคยกินอาหารที่มาตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมา
หลิงโจวมองหลิงรันพร้อมรอยยิ้มขณะที่หลิงรันเตรียมอาหารของเขา หลังจากหลิงรันกินข้าวไปหนึ่งคำหลิงโจวก็ถามว่า “ลูกชายพ่อได้ยินมาว่าลูกสามารถผ่าตัดใหญ่ได้ดีและลูกก็ได้ผ่าตัดให้นักกีฬาอย่างหลิวเหม่ยด้วยนิ“
“ใช่แล้ว.” ตาของหลิงโจวแคบลงหลิงรันคว้าข้าวก้อนหนึ่งที่ชุ่มไปด้วยน้ำมันหมูใส่ตะเกียบคู่หนึ่ง ข้าวแต่ละเม็ดสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและพวกมันเป็นประกายจากชั้นของน้ำมันหมูที่เคลือบมัน ข้าวแข็งขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากพวกมันถูกนำออกมาข้างนอกเพื่อทำให้มันเย็นมาสักครู่หลังจากพวกมันถูกปรุงสุกแล้วและมันก็เหมือนกับว่าข้าวแต่ละเม็ดมีเนื้อที่เหนียวขึ้น ด้วยชั้นของน้ำมันหมูที่เคลือบอยู่รอบตัวพวกมันดูเหมือนกองทัพนักรบสปาร์ตันผู้กล้าหาญและทัพพีซุปสแตนเลสสตีลที่พวกมันยึดติดกันอย่างใกล้ชิดมันดูเหมือนเกราะของพวกทหารเหล่านั้น
หลิงรันกลืนก้อนข้าวโดยไม่เคี้ยว
คาร์โบไฮเดรตที่อุดมด้วยน้ำมันหมูที่ถูกชุบจะแข็งเล็กน้อย
“มันดีมั้ย” หลิงโจว ถาม
หลิงรันพยักหน้า
“ลูกต้องการอะไรอีกหรือไม่” หลิงโจวถามอีกครั้ง
หลิงรันมองอย่างจริงจังไปที่หลิงโจว จากนั้นเขาก็ไตร่ตรองสักครู่แล้วพูดว่า “มันไม่น่าเป็นไปได้ที่จะทำผ่าตัดเหล่านั้นที่ผมแสดงในคลินิคแห่งนี้ นอกจากนี้คนดังจะไม่มาที่นี่เพื่อทำการผ่าตัดอย่างแน่นอน”
“พ่อรู้ดี แม้ว่าคนดังมาที่คลินิกของเราจริง ๆ พ่อก็ไม่กล้าปล่อยให้หมอของเรารักษาต่อคนพวกนั้นแน่ๆ” หลิงโจวหัวเราะเบา ๆ สองสามครั้งและพูดว่า “อย่างน้อยพ่อก็จำเป็นต้องปรับปรุงสถานที่เพื่อให้เหมาะกับคนดังมากขึ้นโอ้นอกจากพี่ชายชานยู่ก็ไม่ผู้ใดมาที่คลินิกของเราเลยนะ”
หลิงโจวลดเสียงของเขาลงและกระซิบเมื่อเขาพูดถึงพี่ชายชานยุเพื่อไม่ให้เพื่อนบ้านได้ยิน
เขากลัวว่าถ้าเพื่อนบ้านได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกไปพวกเขาจะรู้สึกอิจฉา
หลิงรันเงยหน้าขึ้นมองพ่อของเขา “เธอมาที่นี่เพียงเพื่อนวดหรอผมไม่เห็นรู้เลย”
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก เธอจะมาที่นี้ก็ต่อเมื่อลูกอยู่เพราะเธอรู้จักลูกเพียงเดียว” หลิงโจวหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันกำลังคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง…บอกว่าลูกสามารถทำการผ่าตัดปลูกถ่ายนิ้วได้ตอนนี้สินะ มันต้องใช้ความแม่นยำระดับสูงใช่มั้ย”
ด้วยความสามารถทางการแพทย์ของหลิงโจวเขาจะไม่แม้แต่รักษาโรคง่ายๆได้ แต่เขามีความรู้เมื่อพูดถึงวงการแพทย์ตั้งแต่เขาเติบโตในคลินิกและเฝ้าดูพ่อและปู่ของเขาทำงานนี้มา
หลิงรันพยักหน้าเล็กน้อย “มันเป็นการผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศ์เพื่อเชื่อมต่อเส้นเลือดนั้นมันเลยต้องการความแม่นยำระดับสูง”
“ลูกต้องใช้กล้องจุลทรรศน์พร้อมเลนส์ซูมมาโคร 4x หรือเลนส์ที่ดีกว่าใช่มั้ย”
“ ทุกวันนี้เราใช้กล้องจุลทรรศน์กับเลนส์มาโครซูม 8 เท่าเท่านั้น” หลิงรันกล่าว
“เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจริง ๆ ในอดีต … ลืมมันไปเถอะอย่าพูดถึงมันลูกอาจรู้วิธีการเย็บแผลด้วยใช่มั้ย” หลิงจวเขยิบเข้าใกล้หลิงรันและวางเนื้อ, ไขมัน, และหมูนึ่งไวน์ลงในชามของหลิงรัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกต้องการที่จะผ่าตัดเย็บแผลในคลินิกของเราหรือป่าว ถ้าลูกต้องการกล้องจุลทรรศน์พ่อสามารถหายืมมาให้ได้ … “
“เอาล่ะ.” หลิงรันหยิบหมูนึ่งทั้งชิ้นเขาปาก หลังจากเคี้ยวมันสองครั้งจากนั้นเขาก็หยิบข้าวอีกก้อนหนึ่งเข้าไปในปากของเขา เขารู้สึกดีมาก
หลิงโจวคิดถึงวิธีการต่าง ๆ แปดวิธีเพื่อชักชวนลูกชายของเขา ตั้งแต่เล็ก ๆ น้อย ๆหลิงรัน ก็ไม่เคยเป็นคนที่เชื่อฟังเลยและหลิงโจวก็เลิกบ่นเรื่องนี้ไปนานแล้ว สำหรับการขอให้ หลิงรันทำสิ่งต่าง ๆ ตามคำขอของหลิงโจวเอง
นี่คือเหตุผลที่หลิงโจวค่อนข้างประหลาดใจเมื่อหลิงรัน เห็นด้วยอย่างง่ายดาย “จริงๆหรอเนี่ย?”
“ได้.”
“ทำไมง่ายเช่นนั้น?”
“เพราะผมรู้วิธีเย็บแผลใต้ผิวหนัง” หลิงรันทานอาหารจนหมด หลังจากใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งเขาตัดสินใจที่จะไม่เติมข้าวอีก เขากลับเช็ดปากแล้วถามว่า “มีผู้ป่วยกี่คน?”
หลิงโจวอยู่ในอาการงงงวย เหลือบมองไปที่ลูกชายของเขา จากนั้นเขาก็พูดว่า “ผู้ป่วยจะมาถึงในไม่ช้าเธอเป็นลูกค้าของบริษัทกวางทอง และ บริษัท รับผลกำไร 20% ของเราถ้าลูกสามารถรักษาผู้ป่วยได้ 80% ที่เหลือจะเป็ยของครอบครัวของเราหากลูกสามารถรักษาได้มากขึ้น พ่อจะขอให้พวกเขาส่งผู้ป่วยให้มากกว่านี้และในเวลากลางคืนเป็นช่วงเวลาสูงสุดที่ผู้ป่วยส่งมาจากบริษัทกวางทอง “
“แน่นอน” หลิงรันตกลง จากนั้นเขาก็ถามว่า “หมอแม้วล่ะ”
“จะมีผู้ป่วยธรรมดาด้วยนอกจากนี้ไม่ใช่ว่าลูกจะมาทำงานที่นี่ทุกวันเราจะปล่อยให้เขาเย็บแผลในเวลาอื่นๆแทน” หลิงโจวได้ทำการคำนวณให้ชัดเจนมาก ตอนนี้ผู้ป่วยจำนวนมากมาที่คลินิกของเขาก่อนที่จะพูดคุยกันเมื่อพูดถึงการแบ่งกำไรและหลิงโจวก็โอเคกับการรับผลกำไร 60% หรือ 40% ของมัน สิ่งที่เขาต้องการทำมากที่สุดในตอนนี้คือการรวบรวมการจำนวนผู้ป่วยให้มารักษาที่คลินิก ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจสูญเสียความเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทกวางทองและมันยากมากที่พวกเขาจะได้ร่วมทุนกันใหม่อีกครั้งง่ายๆ
หลิงรันไม่ได้คิดมากเกี่ยวเรื่องนี้ เขาอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ เมื่อเขาลงไปข้างล่างเขาแต่งตัวในชุดเสื้อคลุมสีขาวขนาดใหญ่แล้ว
“อาตี๋น้อย กลับมาแล้วหรอ”
“ช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบกับมาแล้วคุณหมอหลิงคุณช่วยรักษาฉันได้ไหม”
“อาตี๋ ได้ข่าวว่ามีสาวๆชอบอาตี๋เยอะแยะเลยนิที่โรงพยาบาล?”
เพื่อนบ้านต้อนรับเขาด้วยท่าทางที่เป็นมิตร
หลังจากหลิงรันนวดคอและไหล่ของหญิงชราที่ร้องขอให้เขานวดให้เสร็จและเขาก็ทำการนวดต้นขาของชายชราผู้ป่วยวีไอพีของ บริษัทกวางทองที่พึงมาถึงต่อ
และมีหญิงสาวคนหนึ่งที่บาดเจ็บที่หางตาข้างหนึ่งของเธอจากการทะเลาะวิวาท เธอแต่งหน้าหนาและใส่กระโปรงสั้น เธอประเมินอาคารเก่าของคลินิคตระกูลหลิงอย่างละเอียดและกล่าวว่า “ฉันเคยทำศัลยกรรมตามาก่อนคุณสามารถรักษาบาดแผลของฉันได้หรือป่าวถ้าไม่ได้ฉันก็จะไปที่อื่น -“
“ได้สิ.” หลิงรันพูดตัดบทเธอออกและถามว่า “คุณมีอาการแพ้ยารึเปล่า?”
“ อ๊ะ…ไม่” หญิงสาวตอบอย่างลังเลเล็กน้อย
“ผทขอตรวจสุขภาพคุณก่อนล่ะกัน” ขณะที่หลิงรันพูดเขาเริ่มทำการตรวจร่างกายบนหัวของเธอ เขาเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบด้วยสายตาและต่อเนื่องโดยการคลำหัวและใบหน้าของหญิงสาวคนนั้น
หญิงสาวเขินอายภายใต้การจ้องมองของหลิงรันในระหว่างการตรวจสายตา เธอเริ่มตะโกนด้วยความเจ็บปวดเมื่อหลิงรันคลำหัวและใบหน้าของเธอ
หมอแม้วได้แต่นั่งเงียบ ๆ บนเก้าอี้ของเขา แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหลิงโจวกำลังพยายามทำอะไรเขาก็ไม่ต้องการเขาไปยุ่งกับการรักษานี้อยู่ดี
เขารู้ว่าหลิงรันเป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลหยุนหัวและมักได้ยินว่าหลิงโจวชอบโม้เรื่องลูกชายของเขา อย่างไรก็ตามในฐานะแพทย์คนหนึ่งหมอแม้วรู้ดีว่ามาตรฐานของการฝึกงานด้านการแพทย์นั้นเป็นอย่างไร
‘ฉันจะปล่อยให้หลิงโจววิ่งชนกำแพงอิฐเพื่อให้เขาเข้าใจว่าการเย็บไหมนั้นมันยากแค่ไหน แล้วเขาก็จะเห็นความสำคัญของฉัน ‘ เมื่อคิดถึงความคิดนี้หมอแม้ว ก็นั่งผ่อนคลายบนเก้าอี้ของเขา
เทคนิคการเย็บแผลใต้ผิวหนังไม่ได้เป็นทักษะชั้นยอดและโรงพยาบาลเวชศาสตร์ความงามหลายแห่งหรือแผนกศัลยกรรมพลาสติกในโรงพยาบาลมีแพทย์ที่รู้วิธีการปฏิบัตินี้อยู่มากมาย มันจะใช้เวลาหนึ่งถึงสามปีสำหรับแพทย์หรือแม้แต่แพทย์ที่ไม่ใช่แพทย์เพื่อเรียนรู้วิธีการเย็บแผลเช่นนี้ถ้าเป็นการศึกษาเฉพาะทาง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือบางคนสามารถทำได้ดีกว่าคนอื่นมาก
โรงพยาบาลเวชศาสตร์ความงามนั้นใช้เวลาศึกษาค่อนข้างเร็วและมีนักเรียนจำนวนมากที่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการเย็บแผลใต้ผิวหนังเพราะมันใช่เวลาศึกษาแค่สามเดือน
อย่างไรก็ตามหมอแม้วมั่นใจว่าเขาได้รับการพิจารณาว่ามีทักษะค่อนข้างเก่งในเมืองหยุนหัว เขาออกไปหลิงโจวอาจอาจไม่สามารถจ้างคนที่มีทักษะมากกว่าเขาได้แล้ว
หมอแม้วมองด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาขณะที่หลิงรันล้างเครื่องสำอ้างของหญิงสาวทำให้แผลแตกและหมอแม้วจึงขอเข้าไปดูลอยแผลในลักษณะที่เสแสร้งเข้ามาเหมือนจะช่วยแต่ก็ไม่ได้คิดจะเข้ามาช่วย
หมอแม้วอดไม่ได้ที่จะวิจารณ์ Ling Ling ภายใน เช่น ‘มือสมัครเล่น คุณควรปรึกษาเรื่องราคากับผู้ป่วยและให้อีกฝ่ายเลือกความต้องการการรักษาก่อน ช่างเป็นมือสมัครเล่น…มันช่างเป็นอะไรที่! ‘
หลิงราน – ได้ทำการเย็บเสริมแรงมาตลอดทั้งบ่าย – เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการรักษาให้เสร็จสมบูรณ์
ในขั้นตอนถัดไปเขาค่อย ๆ ประเมินรอยแผลก่อนเย็บอีกครั้งและเริ่มทำรอยประสานใต้ผิวหนัง
หมอแม้วลุกขึ้นและเดินเข้ามาใกล้หลิงรันโดยที่หลิงรันไม่รู้ตัว เขามองดูการเย็บของหลิงรัน อย่างจริงจังและจากนั้นเขาก็มองใกล้เข้ามาเพื่อดูการเย็บของหลิงรัน อีกครั้ง …
“หมอแม้วลูกชายของฉันไม่เลวใช่มั้ย” ในจุดนั้นหลิงโจวก็มายืนอยู่ข้างหมอแม้ว และมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“ ใช่เขาเย็บสวยดี…”หมอแม้วริมฝีปากของเขาเปียกและพูดด้วยรอยยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาติ“ หมอหลิงสมกับมาจากครอบครัวแพทย์จริงๆ”
“หมอแม้วคุณทำงานหนักมานานทำไมเราไม่ทำแบบนี้ในอนาคต: เมื่อลูกชายของฉันกลับบ้านเราจะปล่อยให้เขาเย็บผู้ป่วยบางส่วนคุณจะกลับบ้านเร็วขึ้นและมีส่วนที่เหลือดีฉันจะพยายามบอกให้หลิงรัน กลับมาบ้านมากขึ้นคุณคิดยังไง? “
หมอแม้วเขาลังเลสักครู่ จากนั้นเขาก็ตกอยู่ในความคิดขณะที่เขาดูหลิงรันเย็บรอยประสานใต้ผิวหนัง ทักษะเหล่านี้ไม่ใช่ทักษะธรรมดาอีกต่อไป ถ้าฉันสามารถเรียนรู้วิธีการผ่าตัดของเขาได้ล่ะก็ … ‘
“ถ้าหมอหลิงเต็มใจก็ดี แต่ผมเองก็สนใจที่จะรักษาผู้ป่วยอยู่และก็ไม่รีบกลับบ้านเสียด้วย” หมอแม้วยิ้มเมื่อเขาพูดและพูดต่อ “ หมอหลิงไม่ต้องกังวลตอนที่ฉันบอกว่าฉันเหนื่อยก่อนหน้านี้ฉันแค่พูดเล่นเท่านั้นฉันยังสามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงพิเศษในคลินิกได้”
หมอแม้วใช้โอกาสที่จะยืนเคียงข้างหลิงรันในขณะที่เขาพูดและเขาก็เริ่มเรียนรู้งานฝีมือของหลิงรันอย่างลับๆโดยไม่ได้รบกวนหลิงรัน
หลิงรันไม่สนใจสิ่งนั้น แม้ว่าทักษะบางอย่างนั้นไม่คุ้มค่ามากนักหากไม่มีแนวทางที่ถูกต้อง แต่ก็ยากที่จะควบคุมพวกมันจากการแอบมองเพื่อลอกเรียนเทคนิค แต่อย่างไรก็ตามเทคนิคการเสริมแรงและเทคนิคการเย็บแบบใต้ผิวหนังมันถูกสร้างขึ้นด้วยเทคนิคที่มีมานานหลายปีในประวัติศาสตร์และจากหลายแห่ง ถ้าต้องใช้ลอกเลียนมันก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากและในท้ายที่สุดหมอแม้วอาจะได้เห็นว่าเขาอาจจะเข้าใจเทคนิคแต่อาจเข้าใจมันเพียงเล็กน้อยเพียงเท่านั้น
แต่หลิงรันไม่สนใจที่จะอธิบายเทคนิคเหล่านั้นเขาทำเหมือนกับหมอแม้วเป็คนอื่นตอนนี้ผู้คนต่างก็มองหลิงรันพร้อมชื่นชมแต่หมอยังจ้องอยู่ตลอดเวลา และมีอีกหนึ่งหรือสองคนที่เข้ามาร่วมด้วยแต่หลิงรันก็ขี้เกียจเกินกว่าที่จะใส่ใจพวกเขาเหล่านั้น