Great Doctor Ling Ran - ตอนที่ 267
หลิงรัน ขับรถโวสวาเกนของเขาที่พึงซ่อมเสร็จเพื่อกลับไปยังบ้านของเขา โดยระหว่างทางเขาต้องผ่านการจราจรที่หนาแน่นจนเกินกว่าจะบรรยยายเป็นคำพูดได้
โดยซอยบ้านที่เขาอยู่นั้นสามารถรองรับรถยนตร์ได้เพียงสองเลนเท่านั้น แต่ตอนนี้บนถนนนั้นเต็มไปด้วยพนักงานออฟฟิศที่เดินกันอย่างพลุกพล่าน
ตอนนี้ร้านที่อยู่ในซอยบ้านของเขาหลายร้านได้ถยอยปิดตัวลงส่วนใหญ่จะเหลือเพียงร้านอาหารเท่านั้นที่ยังเปิดให้บริการอยู่
และยิ่งเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแล้วนั้นมันจะเต็มไปด้วยบรรดาพนักงานออฟฟิศเรียงหลายกันอย่างมากมาย ร้านเหล่านี้เปิดเพลงเสียงดังและคนพลุกพล่านทำให้คนที่อาศัยอยู่ในระแวกนั้นบ่นถึงเรื่องนี้กันอย่างหนาหู
ในความเป็นจริงการที่มีผู้คนจำนวนมากเขามาจับจ่ายใช้สอยในซอยนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การมีคนจำนวนมากเกินไปกลับกลายเป็นว่ามันน่ารำคาญจริงๆโดยเฉพาะเมื่อร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเข้ามาแทนที่ร้านทั่วไปที่มีอยู่ก่อน บ่อยครั้งที่ผู้คนในละแวกใกล้เคียงเห็นร้านค้าที่มีมานานหลายทศวรรษพวกเขาจะยังรู้สึกสบายใจเล็กน้อยแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ซื้อสินค้าเหล่านนั้นบ่อยเหมือนแต่ก่อน
หลิงรันขับรถผ่านเข้าไปโรงจอดรถอย่างช้า ๆ ก่อนที่เขาจะจอดรถอย่างเหมาะสม จากนั้นเขาก็กลับไปที่ลานบ้านของเขาและเห็นผู้ป่วยรอคิวที่คลินิกของเขาอย่างมากมาย
เมื่อเขาจ้องมองที่ผู้ป่วยคิวเขาพบว่าคิวนั้นล้นออกไปที่ห้องที่อยู่ทางทิศตะวันออก
ที่ประตูห้องมีป้ายพลาสติกขนาดเล็ก [นวดห้าที 10 หยวน]
มีชายหญิงวัยกลางคนมากกว่ายี่สิบคนที่นำม้านั่งเล็กพับเก็บได้มานั่งคุยกันระหว่างที่พวกเขารอเข้าคิว นี่หมายความว่าต้องใช้เวลาสองชั่วโมงก่อนที่จะสามารถจัดการได้ทั้งหมด
“แม่ครับผมกลับมาแล้ว” หลิงรันตะโกนออกมา เขาเดิยขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งก่อนที่เขาจะดื่มชาสมุนไพร
“วันนี้ลูกกลับเร็วจัง” เสียงของหลิงโจวดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเขาจากชั้นล่างก่อนที่เขาจะเดินขึ้นไปด้วย เขายิ้มและพูดว่า “แม่ของลูกไปที่ร้านน้ำชา เธอคงไม่คิดว่าลูกจะกลับเร็วขนาดนี้”
“โอ้.” หลิงรันจึงถามต่อไปว่า “แล้วดงเฉินกำลังนวดอยู่หรอ”
หลิงโจวพยักหน้า “ดงเฉินนี้เป็นเด็กที่ใส่ซื่อบริษัทจริงๆ พ่อเขียน 10 หยวนเป็นเวลาห้านาทีและหนุ่มน้อยนั้นดันนวดสิบนาทีส่ะงั้นทำให้ลูกค้าที่รออยู่บ่นกับเป็นเกลียวเลย”
“10 หยวนต่อครั้ง?”
“ใช่พ่อได้ 4 หยวนและดงเฉินอีก 6 หยวน”
หลิงรันเหลือบมองไปที่หลิงโจว “ดงเฉินอายุแค่ 10 ขวบ แต่พ่อดันแบ่งเงินของเขาตั้ง 40/60″
“ ลูกไม่เข้าใจกฏส่วนแบ่ง 40/60 ของหมอแม้วหรอ ถ้าพ่อให้ดงเฉินเป็นสัดส่วนอื่นคนอื่นที่เป็นพนักงานในคลินิคจะไม่สบายใจเอาได้นะ” หลิงโจวทำท่าทางเหมือนเขาจะทุกข์ใจในฐานะผู้จัดการ “อีกทั้งดงเฉินเองก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากครอบครัวเรา ทั้งค่าที่พัก และ ต้องหาข้าวหาปลาให้กินอีกมันก็เหมือนว่าพ่อหักเงินจากกระเป๋าตัวเองดูแลเณรน้อยอยู่แล้ว “
“ งั้นผมขอตัวไปดูดงเฉินก่อนนะครับ” หลิงรันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย
มันค่อนข้างง่ายที่จะเรียนรู้วิธีการนวด นักเรียนหลายคนในโรงเรียนสำหรับคนตาบอดหูหนวกและใบ้ใช้ไม่เวลานานในการเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ แม้ว่าแพทย์แพทย์รักษาโรคกระดูกในโรงพยาบาลอาจใช้เวลานานกว่าในการเรียนรู้ทักษะ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่กับเทคนิคการนวดแต่อย่างใด แต่พวกเขาใช้มันบนพื้นฐานของกายวิภาคของมนุษย์และสิ่งอื่น ๆ
เมื่อเทียบกับการผ่าตัดที่ดำเนินการในระดับที่สมบูรณ์มากขึ้นของความต้องการความสามารถในการนวดดูเหมือนจะสูงกว่าทักษะอื่นๆ
โชคดีที่ดงเฉินเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูจากเจ้าอาวาส เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการจับจุดและสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนวดมาบ้างแล้ว ดังนั้นเขาสามารถติดตามได้อย่างง่ายดายเมื่อเขาให้หลิงรันสอนการนวด
อย่างไรก็ตามหลิงรันไม่สามารถยืนยันได้ว่าเณรน้อยทำได้ดีแค่ไหน
ในฝั่งตะวันตก …
พระภิกษุสามเณรอายุน้อยทำการนวดอย่างขยันขันแข็งโดยใช้วิธีการค่อยคลึงๆเพื่อบรรเทาคอไหล่บ่าและขาของผู้คนในละแวกใกล้เคียง
เพราะเณรน้อยยังตัวเล็กอยู่และมีแรงไม่มาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องแม่นยำยิ่งขึ้นในการนวดของเขาเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ด้วยระดับความอดทนต่อความเจ็บปวดของคนแก่ที่อาศัยแถวคลินิคความแข็งแรงของดงเฉินนั้นมากเกินพอที่จะรับมือได้
นักเรียนที่ถูกสอนโดยผู้เชียวชาญด้านการจัดกระดูกก็มีข้อได้เปรียบกว่าคนอื่นเมื่อพูดถึงในด้านทักษะ
การนวดที่ ดงเฉินใช้ไว้ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ทันทีเช่นของหลิงรัน และไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงในการรักษาของเขา อย่างไรก็ตามเขายังสามารถบรรเทาอาการปวดได้เป็นระยะเวลาสั้น ๆเท่านั้น
แม้แต่ทักษะของหลิงรันก็เน้นไปที่การบรรเทาอาการปวดเป็นหลัก ข้อแตกต่างระหว่างทักษะของเขาทั้งสองคือระยะเวลาของการบรรเทาอาการปวด
อย่างไรก็ตามผู้คนที่รอต่อคิวนั้นไม่ได้เข้าใจทักษะเหมือนกับสองคนนี้จึงเน้นเรื่องของความผ่อนคลายมากกว่า อีกทั้งสิ่งเดียวที่พวกเขาเห็นคือสามเณรตัวน้อยที่สวมจีวรอยู่ …
หลิงรันเข้าไปในห้องทางปีกตะวันตกและสังเกตการทำงานของดงเฉิน สักพัก จากนั้นเขาพยักหน้าและเดินออกไป
เทคนิคการนวดของดงเฉินยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และมีข้อผิดพลาดไม่มาก ยิ่งกว่านั้นเขาดูเหมือนจะจำคำเตือนของหลิงรันเกี่ยวกับส่วนอันตรายในร่างกายมนุษย์และการกระทำที่อาจเป็นอันตรายได้ เขาไม่ได้นวดในส่วนดังกล่าวเลย
ตอนนี้ลูกค้าหลายคนประทับใจการนวดที่มา จาก ดงเฉิน และ หลิงรันก็สามารถหยุดพักได้อย่างมีความสุข
หลิงรันจึงกลับไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิมของเขาและเปิดเกมขึ้นมา
หลังจากนั้นไม่นานหลิงรันก็ถูกเรียกจากหมอแม้ว จากเสียงที่ดังของรถพยาบาล
“หมอหลิงผู้ป่วยอีกสองคนมาถึงแล้วคุณต้องการที่จะรับพวกเขาหรือไม่?” หมอแม้วยิ้ม “ค่าธรรมเนียมจะไปที่ใครก็ตามที่ทำการเย็บคิดว่ามันเป็นการหารายได้เสริมล่ะกัน”
“อย่างงั้นรอผมหน่อยเกมกำลังจะจบแล้ว” ความสนใจทั้งหมดของหลิงรันในตอนนี้อยู่ที่โทรศัพท์มือถือ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็วางมันลง
หมอแม้วมองดูหลิงรันและเขาไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
ภายใต้สายตาของหมอแม้ว หลิงรันดูเหมือนกำลังไตร่ตรองสักสองสามวินาทีก่อนที่เขาจะพูดว่า “การต่อสู้ครั้งสุดท้ายดูเหมือนจะจบลงจริง ๆ แล้วพวกเขาต่อสู้มันก่อนจะวางมันลง … เขาจะเป็นผู้ป่วยประเภทไหนกัน?”
หมอแม้วไม่ได้เล่นเกมดังนั้นเขาจึงยิ้มและกล่าวว่า “การบาดเจ็บจากวัตถุทื่อพวกเขามาจากสถานที่ก่อสร้างตอนนี้รถพยาบาลจากบริษัทกวางทอง ขยายบริการของพวกเขาไปยังสถานที่ก่อสร้างสำคัญของเมือง บริการของเราในชุมชนใหม่เรามักจะมีคนงานก่อสร้างคนงานปรับปรุงและคนที่คล้ายกันเข้ามาหาเรา “
หมอแม้วพอใจกับการขยายธุรกิจของบริษัทกวางทองเป็นอย่างมากสำหรับศัลยแพทย์ที่นั่งในคลีนิกเล็ก ๆ เป็นเวลานานมีผู้ป่วยจำนวนมากที่เดินเข้ามาหาพวกเขาเพื่อขอคำปรึกษามันเป็นเรื่องล้าหลังแล้ว ในความเป็นจริงสำหรับหมอแม้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เขาอยู่ในปัจจุบันถูกส่งมาโดยบริษัทกวางทองแทบทั้งสิ้น
ถือว่าเป็นเดือนที่สะดวกสบายที่สุดของหมอแม้วนับตั้งแต่เขาออกจากโรงพยาบาล
เขาไม่ต้องขายยาอีกต่อไปหรือเอาสมองของเขาไปใช้เพื่อให้ได้เงินมากขึ้น เขาเพียง แต่ต้องเย็บแผลคนไข้ที่ถูกส่งมาให้เสร็จอีกทั้งรวมรายได้ก็ค่อนข้างดีเช่นกัน
หลังจากที่หลิงรันแสดงให้เห็นเทคนิคการเย็บของเขามันทำให้หมอแม้วมีความหวังขึ้น
เนื่องจากความหวังก็เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตมาก
“เขาต้องการเย็บแผลรึเปล่า?” หลิงรานถามหมอแม้ว
“ เราไม่ต้องการให้เขาเสียโฉมดังนั้นจึงจำเป็นต้องเย็บ” หมอแม้วตอบ
“โอ้.” หลิงรันลุกขึ้นจากเก้าอี้เอนกายที่แสนสบายของเขาแล้วพูดว่า “ยังงั้นไปดูกันเถอะ”
เขาทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างๆเพื่อชาร์จแบต ผู้คนเฝ้าดูเขาขณะที่หลิงรันลุกออกจากจุดนั้น
อย่างไรก็ตามหลิงรันเป็นคนประเภทที่ทำศัลยกรรมเหมือนกับความบันเทิงเหมือนกับคนขับรถแข่งมืออาชีพขับเพื่อความบันเทิงและนักบาสเกตบอลมืออาชีพบางคนเล่นบาสเก็ตบอลเพื่อความบันเทิง
หลิงรันเติบโตขึ้นมาในคลินิกและไม่เคยพบปัญหาใด ๆ กับการเห็นผู้ป่วยหลังเวลาทำงาน
เมื่อเขาพบคนไข้สองคนที่ถูกส่งมาหาเขาหลิงรันก่อนเอนกายเพื่อดูบาดแผลของพวกเขา – เช่นเดียวกับที่เขาทำในแผนกฉุกเฉิน
แผลทั้งหมดเกิดจากการบาดเจ็บจากของทื่อและผิวหนังขาด หนึ่งคนบาดเจ็บที่หน้าผากขณะที่อีกคนหนึ่งอยู่ที่แก้ม ดูเหมือนว่าเขาจำเป็นต้องทำการล้างน้ำเกลือและฆ่าเชื้อโรค หลิงรันคุ้นเคยกับกระบวนการดังกล่าวแล้วดังนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปและพูดว่า “กอซโพวิโดน – ไอโอดีน”
หมอแม้วรู้สึกตกใจเล็กน้อยก่อนที่เขาจะนำสิ่งต่าง ๆ มาในพริบตา เขากลายเป็นผู้ช่วยที่เชื่อฟังในทันใด
ในขั้นต้นเขาอยู่ที่นั่นเพื่อเรียนรู้จากหลิงรันอย่างลับๆ ตอนนี้เขาสามารถเรียนรู้จากเขาในที่โล่งซึ่งดีขึ้นกว่าเดิม
“หมอฉันมาที่นี่เพื่อเย็บแผลให้ดูดีที่สุด” คนงานที่ถูกเลือกโดยหลิงรันมีอาการบาดเจ็บที่หน้าผากและเขาก็เป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย เขาน่าจะอายุประมาณยี่สิบปีได้ใบหน้าของเขามีฝุ่นและสิ่งสกปรกเสื้อผ้าของเขาสกปรกและมันง่ายสำหรับลิงรันที่จะเชื่อมโยงเขากับคนงานที่ทำงานประเภทคนงานก่อสร้าง
“ ได้เราจะเย็บแผลคุณให้สวยที่สุด” หมอแม้ว กล่าว
“ในกรณีนี้ฉันต้องการให้คุณเย็บแผลให้ฉัน” คนงานที่มีอาการบาดเจ็บที่หน้าผากทำลดศีรษะลงมาจากเตียงผ่าตัด
คนงานที่มีอาการบาดเจ็บที่แก้มที่อายุใกล้เคียงกัน เขาพูดว่า “อย่าดูถูกพวกเราเรื่องเงินนะ ถึงแม้จะมีฝุ่นเต็มหน้าพวกเราแต่พวกเราก็มีเงินพอที่จะจ่ายในการเย็บแผลในครั้งนี้อย่างแน่นอน”
คนงานที่ได้รับบาดเจ็บที่หน้าผากยังกล่าวอีกว่า “ค่ารักษาสูงขนาดนี้การรักษาต้องสมกับราคาด้วยล่ะ อย่าหลอกพวกเราเลย เพราะว่าปีนี้ฉันจะกับไปนัดบอดกับที่บ้านและจะได้คู่หมั่น แต่ถ้ามีแผลรอยยาวขนาดนี้ใครกันอยากจะหมั่นกับฉัน”
“ถูกแล้ว เพื่อนนายจะถูกปฏิเสธการนัดบอด และ นายก็จะไม่ได้เมียเพราะแผลยาวๆบนหน้าผากของนาย”
หมอแม้วถึงกับผงะอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะยิ้ม “พวกคุณค่อนข้างฉลาด”
“ เราไม่มีทางเลือกใด ๆ หากเราได้รับบาดเจ็บที่อื่นเราจะไม่ไปพบแพทย์แน่นอน”
“คุณเข้าใจผิดเล็กน้อยการเย็บของหมอหลิงนั้นดีกว่าของผม”หมอแม้วพูดเกินจริงสำหรับสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยท่าทางที่น่ารักเขายิ้มและยกย่องหลิงรัน“ หมอหลิงนั้นเป็นนักเรียนชั้นนำจากมหาวิทยาลัยหยุนหัวมหาวิทยาลัยที่เขาสำเร็จการศึกษามานั้นดีกว่าของผมตอนนี้เขาทำงานในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลหยุนหัวแล้ว จัดการกับกรณีที่คล้ายกันมากมายทุกวัน “
คนงานสองคนมองหน้ากันและพูดว่า “เราไม่ไปโรงพยาบาลใหญ่ขนาดนั้นหรอก เพราะเราอยากได้การเย็บที่ดีกว่า”
“ผมรู้ แต่หมอหลิงเก่งมากในการเย็บแผลขอผมใช้วิธีนี้คลินิกนี้เป็นของพ่อของหมอหลิงไม่เช่นนั้นคุณจะไม่สามารถหาคนที่มีความเป็นมืออาชีพอย่างหมอหลิงแม้ว่าคุณจะจ่ายสิบ คูณกับเงินที่คุณจ่ายไปที่นี่คุณรู้เรื่องการทำศัลยกรรมพลาสติกใช่ไหมการทำศัลยกรรมทั้งหมดนั้นคุณต้องเสียค่าใช้จ่ายถึงห้าเท่าจากการจ่ายราคาปกตินี้ “
คนงานสองคนเริ่มไม่แน่ใจ
หมอแม้วฉวยโอกาสให้หลิงรันเย็บรอย
หลิงรันไม่ได้คิดมาก เมื่อเขาเห็นว่าเขาสามารถเย็บได้เขาก็พูดว่า “ช่วยอดทนกับสิ่งนี้สักครู่หนึ่งแล้วผมจะจัดการให้คุณเอง”
หลังจากนั้นไม่นานหลิงรันก็รีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว
บาดแผลนั้นคุ้นเคยและเป็นเรื่องง่ายมาก หลิงรันรีบเย็บเสร็จเร็ว แต่ก็ไม่น่าสนใจ มันก็เหมือนกับการกินข้าวมันเพียงพอที่จะเติมเต็มความอยากของเขา
หมอแม้วให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของหลิงรัน และจดจำทุกขั้นตอนที่เขาทำ
“คุณอยากเรียนรู้เทคนิคนี้รึเปล่า” หลิงรันมองดูหมอแม้ว เขาดำเนินการผ่าตัดอย่างรีบเร่ง แต่แน่นอนว่าที่นี่มันเป็นไปตามคำนิยามของเขาอย่างสบาย ๆ
หมอแม้วรู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อเขาถามเขา เขารู้สึกเหมือนเด็กฝึกงานที่ถูกจับได้ว่าพยายามเรียนรู้ทักษะ เขาพึมพำ “ฉันแค่มอง … “
“ เมื่อคุณเย็บแผล, คุณให้ความสำคัญกับการรักษารอยตัดที่ตะเข็บแผลมากเกินไป, และการรักษาเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังนั้นไม่ได้ทำอย่างนั้น” หลิงรันหยุดพักก่อนที่เขาจะพูดว่า “ถ้าคุณทำรอยประสานระหว่างผิวหนังได้ดีและทำงานเลอะเทอะเพื่อรักษาปัญหาความตึงเครียดของผิวหนังหลังจากผ่านไปหนึ่งหรือสองสัปดาห์ในขณะที่ลักษณะของแผลอาจดูสวยงามมากขึ้น ในอนาคตนอกจากนี้แม้ว่าคุณจะระมัดระวังอย่างมากเมื่อต้องรับมือกับเส้นขอบรอยตะเข็บคุณยังต้องให้ความสนใจกับมุมที่คุณเสียบเข็มของคุณด้วย “
หลิงรันเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่ได้รับการศึกษาทางการแพทย์ภายใต้ระบบการศึกษาทางการแพทย์ อีกทั้งเขายังเป็นคนใฝ่เรียนรู้ ในตอนเด็กเขาแทบจะกลายเป็นเด็กอัจฉริยะส่วนใหญ่ เขาจะเป็นคนสอนมากกว่าถูกสอนเสียอีก
หลิงรันจำได้ว่าสมัยที่ติดตามแม่ของเขาเพื่อเขาไปเรียนเมื่อตอนที่เขาอยู่ในโรงเรียนอนุบาล ครูสอนวาดภาพเหล่านั้นร้องไห้และขอร้องให้เขาเป็นนักเรียนของเธอ เมื่อเขาตามแม่ไปเรียนเปียโนครูสอนเปียโนร้องและขอร้องให้เขาเป็นลูกศิษย์ของเธอ เมื่อเขาติดตามแม่ของเขาไปที่ซานซานชู [1] ครูก็ร้องและขอร้องให้เขาเป็นลูกศิษย์ของเขา
เมื่อเขาอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษาเต่าปิงไม่ต้องพาลิงหรันออกไปเรียนเป็นการส่วนตัว พวกเขาเพียงแค่ไปดูนิทรรศการภาพวาดและการประดิษฐ์ตัวอักษรจากนั้นถ่ายรูปเล็กน้อย เร็ว ๆ นี้ครูสอนการเขียนพู่กันครูสอนเปียโนครูสอนไวโอลินครูสอนว่ายน้ำและอื่น ๆ ที่ต้องการพานักเรียนมาถึงที่หน้าประตู …
ดังนั้นหลิงรันจึงไม่ค่อยห่วงความรู้ของเขาเท่าไรนัก
ในตอนท้ายของวันหากคุณต้องการเรียนรู้บางสิ่งคุณต้องพึ่งพาตัวเองไม่ใช่คนอื่น ไม่ว่าครูจะเก่งขนาดไหนพวกเขาจะไม่รู้เรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ยกเว้นระบบ
คนงานที่สั่นเทาภายใต้เข็มเรียวของหลิงรันไม่กล้าพูดในขณะที่ดวงตาเบิกกว้าง หมอแม้วเองก็อดกลั้นคำพูดของเขาไว้
‘คุณกำลังบอกว่าฉันตัดสินใจช้า เพราะอายุมากแล้วยังงั้นหรอ?
‘คุณกำลังบอกว่าฉันเป็นคนเรียนช้า? ฉันแค่พยายามเรียนรู้ทักษะของคุณอย่างลับๆ? คุณมีความคิดใด ๆ ว่าการเรียนรู้ทักษะอย่างลับๆนั้นยากแค่ไหน!
‘นอกจากนี้ฉันจะต้องเรียนรู้ทักษะอีกนานแค่ไหน?’
หมอแม้วตอบโต้อย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในใจของเขา แต่เขาก็ยังมองหลิงรันทำการเย็บแผล เขาค่อย ๆ ผ่อนคลายและลดสายตาของเขาเช่นเดียวกับจมูก และพูดอย่างจริงจังว่า “ใช่หมอ … หลิงฉันจะตั้งใจฝึกฝนให้มากขึ้น”
จริง ๆ แล้วเขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อเรียกหลิงรันว่าอาจารย์เพื่อที่เขาจะได้เป็นนักเรียนของหลิงรัน แต่คนที่หลงไหลในอัตตาก็หมดหวังที่จะหยุดยั้งการกระทำที่มีเหตุผลนี้ได้
เหตุผลที่เหลือของหมอแม้วหันไปหางานของเขา เขามองไปที่คนงานโดยที่ได้บาดเจ็บที่แก้มและเขาก็เต็มไปด้วยความอยากที่จะฝึกฝนทักษะ เขาพูดว่า “คุณนั่งข้างหน้าฉันขอดูแผลหน่อยสิ”
คนงานที่บาดเจ็บที่แก้มที่จบเพียงมัธยมสาม หลังจากที่เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างหมอแม้วกับหลิงรันเขาก็ค่อยๆบีบคอของเขา ด้วยคำใบ้ที่ชาญฉลาดเขาพูดว่า “ฉันต้องการให้หมอหลิงเย็บ ฉันไม่ได้หมายความอย่างที่คุณคิดอยู่เลยฉันแค่อยากให้รอยเย็บนั้นดีขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่ฉันจะได้กลับไปหาคู่กับเขาได้”