Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 142
ตอนที่ 142 ผู้มาเยือน
ฉงเจียอี่จ้องมองไม้เท้าที่มู่อิ่มอบให้ด้วยสีหน้าที่ดูตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ
เขาเคยเห็นไม้เท้าอันนี้มาก่อนและมันอยู่ในกระเป๋าที่ต้าหนิวแบกเอาไว้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลกๆไปบ้างถ้าหากมู่อี้ถือไม้เท้าในมือของตนเอง แต่ชายชราก็รู้ดีว่าไม้เท้าอันนี้คืออาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่งแม้จะอยู่ในขั้นแรกเริ่มก็ตาม
แม้ว่าชีวิตของเขาจะล่วงเลยมามากกว่าครึ่งหนึ่งของอายุขัยแล้ว อาวุธที่สําคัญที่สุดที่อยู่ในมือของเขาก็มีเพียงหนอนและแมลงที่เขาเลี้ยงมาด้วยตนเองเท่านั้น แต่มันก็พ่ายแพ้ต่อยันต์ปราบปีศาจของมู่อื้อย่างง่ายดาย ถ้าหากจะบอกว่าเขาไม่รู้สึกผิดหวังเลยก็คงไม่จริงเพราะนั่นคืออาวุธที่สําคัญที่สุดของเขาแล้ว แต่เรื่องนี้ก็โทษมู่อี้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดหวังแต่เขาก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะสามารถฝึกฝนการเลี้ยงหนอนและแมลงให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกได้ในอนาคต ส่วนอาวุธวิญญาณนั้นเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนและเคยเห็นว่ามันคืออาวุธที่อยู่ในมือของชวี่หยางแม้ว่ามันอยู่ในสภาพที่ชํารุดก็ตาม แต่ชวี่หยางก็หวงแหนอาวุธชิ้นนี้อย่างมาก
แต่อาวุธวิญญาณขั้นแรกเริ่มชิ้นหนึ่งนั้นก็ไม่ได้มีพลังมากนักและไม่ได้ถือว่ามีค่าสักเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังหาได้ยากอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ฉงเจียอีถึงไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลยและหันไปศึกษาเรื่องแมลงของเขาเท่านั้น
แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น หลังจากต้องสูญเสียอิสรภาพของตนเองไปแล้วกลับมีอาวุธวิญญาณขั้นแรกเริ่มชิ้นหนึ่งมาวางตรงหน้าเขา
“นายท่าน นายท่านขอรับ ” ฉงเจียอีจ้องมองมาที่มู่อี้และพูดออกมาด้วยเสียงสั่น แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
” ข้าได้สังหารหนอนแมลงของเจ้าไปแล้ว แม้ว่าข้าจะหาหนอนแมลงตัวใหม่มาทดแทนให้เจ้าไม่ได้แต่ข้าก็คิดว่าไม้เท้าอันนี้คงพอทดแทนให้กับเจ้าได้” มู่อี้พูดอย่างตรงไปตรงมา ความจริงแล้ว ไม้เท้าอันนี้ก็อยู่ในมือของเขามานานแล้วแต่เขาก็ไม่เคยใช้มันเลย
ไม่ใช่ว่าไม้เท้าอันนี้ไม่ดีแต่สําหรับมู่อี้แล้วมันไม่ต่างอะไรจากกระบองท่อนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องเข้าต่อสู้ระยะประชิดจึงไม่เคยสนใจไม้เท้าอันนี้ แต่ในตอนนี้เขาได้เข้าใจเรื่องการต่อสู้เพิ่มมากขึ้นแล้วและเมื่อมีต้นไผ่แห่งชีวิตอยู่ในมือ ไม้เท้าอันนี้ก็ไร้ประโยชน์ไปทันที
ต้าหนิวก็ไม่สามารถใช้ไม้เท้าอันนี้ได้ด้วยเช่นกัน หลังจากที่คิดดูแล้วทางที่ดีที่สุดก็คือมอบให้ฉงเจียอื่นําไปใช้
“ข้าไม่กล้ารับไว้หรอกขอรับ ในตอนนั้นนายท่านและข้ามีแต่ต้องสู้กันเท่านั้น แล้วหนอนแมลงของข้าจะไปเทียบกับอาวุธวิญญาณชิ้นนี้ได้อย่างไรกัน” ฉงเจียอี่รีบส่ายศีรษะขึ้นมาทันที ในตอนนี้ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยราวกับว่าเขาเคารพในตัวมู่อย่างสมบูรณ์แล้ว
“ตอนนี้เจ้าเก็บมันไว้ก่อนเถอะ ของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์สําหรับข้าแต่อย่างน้อยมันก็ช่วยพยุงร่างกายของเจ้าได้และยังทําให้พลังของเจ้าเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน หากเจ้ารู้สึกว่ามันมากเกินไปก็แค่ทําตามคําสั่งของข้าให้ดีก็พอ” มู่อี้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ข้าน้อย ข้าน้อยขอขอบคุณนายท่านมากครับ” บางที่อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่จริงจังของมู่อี้ ฉงเจียอี่จึงไม่ได้ปฏิเสธอีกต่อไปและรีบคุกเข่าลงบนพื้นทันที เขาชูมือของตนเองขึ้นมารับไม้เท้าจากมือของมู่อี้
แม้ว่ามู่อี้จะไม่ได้พูดอะไรกับท่าทีของฉงเจียอี่ แต่เขาก็ย่อมรู้ดีว่าการจะทําให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองเชื่อฟังนั้นเขาต้องเป็นคนที่ใจกว้างสักหน่อย
หลังจากได้รับไม้เท้าไปแล้วสีหน้าของฉงเจียอีก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาลูบคลําไม้เท้าด้วยความระมัดระวังและท่าทีของเขาก็ทําให้มู่อี้รู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากตรวจสอบดูคร่าวๆแล้ว ฉงเจียอี่สามารถใช้พลังของไม้เท้าอันนี้ได้ อย่างน้อยเขาก็สามารถใช้มันป้องกันตัวได้
เวลากลางคืนมาถึง มู่อี้และฉงเจียอี่เดินทางออกไปเงียบๆส่วนต้าหนิวนั้นเพราะว่ามันเชื่องช้าและตัวใหญ่เกินไปมู่อี้จึงทิ้งมันไว้ที่หมู่บ้านแห่งนี้ก่อน และคืนนี้เป้าหมายหลักของมู่อี้คือการสํารวจชวี่ยี่จวง เขาอาจจะต้องต่อสู้กับชวี่หยางอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้
หมู่บ้านเล็กๆที่ฉงเจียอี่อาศัยอยู่นั้นอยู่ไม่ไกลจากชวี่ยี่จวง ทั้งสองสถานที่นั้นต่างก็อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเหลือง
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงพวกเขาก็ใกล้จะถึงชวี่ยี่จวงแล้ว เมื่อยืนอยู่ริมแม่น้ำเหลือง พวกเขาก็จะมองเห็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไประยะไกลๆ ตามที่ฉงเจียอี่ได้บอกเอาไว้ที่นั่นคือชวี่ยี่จวง
เขาส่งพลังแห่งจิตใจเข้าไปในร่างกายของฉงเจียอี่และสั่งให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปในชวี่ยี่จวงทันที
พลังแห่งจิตใจของมู่อี้ไม่ได้ทําให้เขาเห็นหรือได้ยินอะไรทั้งสิ้น มีเพียงแค่เมื่อฉงเจียอี่ตกอยู่ในอันตรายเท่านั้นที่เขาจะรู้สึกได้ทันทีและจะได้หาวิธีช่วยเหลือชายชราได้ทันเวลา ส่วนเรื่องที่ฉงเจียอี่จะหักหลังเขาหรือไม่นั้นมู่อี้ไม่ได้รู้สึกกังวลเรื่องนี้เลย
ไม่นานหลังจากฉงเจียอี่ได้เข้าไปในชวี่ยี่จวง มู่อี้ก็ปกปิดลมหายใจของเขาและหายตัวไปกับความมืดทันที การจะหาตัวเขาได้พบย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนถ้าหากไม่ใช่ชวี่หยางลงมือด้วยตนเอง
ชวี่ยี่จวงแห่งนี้กว้างใหญ่อย่างยิ่ง แม้ว่าจะไม่ได้เข้าไปใกล้มากนักแต่มู่อี้ก็รู้สึกได้ถึงพลังหยินอันมหาศาลที่รวมตัวกันอยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ มู่ไม่กล้าอาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีพลังหยินมากขนาดนี้แน่นอนแม้ว่าพลังของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่พลังหยินอันมหาศาลก็อาจทําร้ายร่างกายเขาได้ด้วยเช่นกัน
สําหรับชวี่หยางนั้นเขาไม่ใช่คนเป็นแต่ก็ไม่ใช่คนตายอีกเหมือนกัน
ในตอนที่ได้ปะทะกับชวี่หยาง มู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าลมหายใจของอีกฝ่ายนั้นแปลกประหลาดไปเล็กน้อยและต่อมามันก็เป็นข้อพิสูจน์การคาดเดาของเขาได้ ร่างกายของชวี่หยางมีทั้งส่วนที่ยังเป็นมนุษย์และกลายเป็นผีดิบไปแล้ว และทั้งสองส่วนนั้นต่างก็ผสมผสานกันอย่างลงตัว..
แม้ว่ามู่อี้จะไม่เข้าใจวิธีการสร้างผีดิบขึ้นมา แต่เมื่อคิดว่าชวี่หยางกล้าที่จะใช้วิธีการชั่วร้ายเช่นนี้กับร่างกายของตนเอง รวมไปถึงเป่ยหมิงที่อยู่ข้างกายของเขาก็แตกต่างจากผีดิบตัวอื่นๆ และนางยังดูเหมือนกับคนที่ยังมีชีวิตคนหนึ่งเลย เห็นได้ชัดว่าการสร้างผีดิบนั้นจะต้องมีมากมายหลายแบบแน่นอน
ไม่ต้องเดาเลยว่าวิธีการที่ชวี่หยางใช้กับร่างกายของเขานั้นจะต้องโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนยิ่งกว่าที่มู่อี้จินตนาการเอาไว้ แต่ด้วยพลังที่แข็งแกร่งนั้นทําให้เขาสามารถมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้
มู่อี้กระโดดข้ามกําแพงและเข้ามาในชวี่ยี่จวง ทันทีที่เขาเข้ามาที่นี่มู่อี้ก็เห็นหมอกจางๆที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่นี้และมีศพของมนุษย์ที่เดินไปมาอยู่ข้างใน ศพเหล่านี้คือผีดิบของชวี่หยาง แต่ลมหายใจของพวกมันก็ดูอ่อนแอมากเทียบไม่ได้กับเงาดําที่เข้าไปโจมตีสํานักคุ้มกันโม่หยวนก่อนหน้านี้เลย
เพื่อไม่ให้ชวี่หยางรู้ตัว มู่อี้จึงไม่ได้ทําอะไรกับศพที่เดินไปมาเหล่านี้และซ่อนตัวพร้อมกับเดินทางเข้าไปข้างในให้ลึกที่สุด
ชวี่ยี่จวงแห่งนี้มีพื้นที่มากกว่า 10 เอเคอร์และโครงสร้างของมันก็ไม่ได้มีความซับซ้อนเท่าไหร่นัก มีลานกว้างที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้จํานวนมาก และเขาก็รู้สึกได้ถึงศพที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในลานกว้างและต้นไม้เหล่านั้น แต่ใจกลางของลานกว้างนั้นมู่อี้รู้สึกได้ว่ามีภัยคุกคามซ่อนเร้นอยู่ที่นั่น ในตอนที่มู่อี้ลังเลที่จะก้าวต่อไปนั้นก็มีเสียงที่เย็นชาดังขึ้นมาในหูของเขาทันที
“เจ้ากล้ามากนะ ที่บุกเข้ามาในชวี่ยี่จวงในยามค่ำคืนเช่นนี้”
“รู้ตัวแล้วหรือ?” มู่อี้รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันทีเขาไม่คิดว่าจะถูกพบตัวเร็วขนาดนี้ แต่เขาก็ระวังตัวอยู่ตลอดเวลาและไม่ได้เปิดเผยลมหายใจของตนเองออกไปเลย ทําไมศัตรูถึงพบตัวเขาได้เร็วขนาดนี้
หรือว่าฉงเจียอี่จะหักหลังเขาจริงๆ? ในตอนที่เขาคิดขึ้นมาเช่นนี้มู่อี้ก็พยายามสงบจิตใจของตัวเองก่อน
ไม่ต้องพูดถึงการควบคุมชีวิตและความตายเลย ถ้าหากฉงเจียอี่ต้องการจะหักหลังจริงๆ เขาก็มีวิธีการที่ดีกว่านี้อีกมากมาย
ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูหาตัวเขาพบเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
ในตอนที่มู่อี้รู้สึกสับสนอยู่นั้น แรงกดดันที่รุนแรงก็ระเบิดออกมาจากลานกว้างอีกแห่งหนึ่งที่ล้อมรอบเอาไว้ด้วยกําแพงทันที
เหตุผลที่ทําไมมู่อี้บอกว่าแรงกดดันที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงก็เพราะเขารับรู้ได้ด้วยตัวเอง ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาตอนนี้มีพลังไม่ด้อยไปกว่าเขาอย่างแน่นอนและอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ที่ฝึกฝนในด้านจิตใจ แต่น่าจะฝึกฝนในเรื่องเคล็ดวิชายุทธต่างๆหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจอมยุทธนั่นเอง
” ชวี่หยาง วันตายของเจ้ามาถึงแล้วและเจ้าไม่มีทางรอดไปได้แน่นอน” จากนั้นก็มีเสียงตะโกนดังออกมา
หลังจากได้ยินคําพูดนี้ มู่อี้ก็รีบยืนนิ่งและไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป ในเมื่อคนที่ถูกพบเจอตัวไม่ใช่เขา เช่นนั้นเขาซ่อนตัวเอาไว้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
แต่เขาก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าใครกันที่กล้าบุกมายังชวี่ยี่จวงในยามค่ำคืนเช่นนี้
“คิดว่าเจ้าจะทําได้งั้นหรือ?” จากนั้นน้ำเสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนี้มู่อี้รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามันคือน้ำเสียงของชวี่หยาง
คําพูดของเขานั้นดูเหมือนจะเข้ามาในจิตใจของมู่อี้ทันที อย่างน้อยในตอนนี้ผู้ที่มาเยือนก็มีท่าทีดูประหม่าไปเล็กน้อย
“ในเมื่อศัตรูพบตัวเราแล้ว พี่น้องทุกๆท่านจงออกมาเถอะ” ผู้ที่มาเยือนก็ตะโกนออกมา เสียงดังจนผู้ที่อยู่รอบๆได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อสิ้นเสียงตะโกนของเขาผู้คนจํานวนมากที่หลบซ่อนตัวอยู่ในชวี่ยี่จวงก็ปรากฏออกมาทันที ดูจากลมหายใจแล้วคนเหล่านั้นมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอแตกต่างกันไป คนที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นเทียบได้กับระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจและคนอื่นๆต่างก็ลดน้อยแตกต่างกันไป
“ฮ่าฮ่า ท่านชายฉือ ดูเหมือนว่าท่านจะซ่อนตัวไม่เก่งเลยนะ พวกเราเลยถูกพบตัวเร็วไปหน่อย” ในตอนนี้มีเสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาและเห็นได้ชัดว่าชายที่ถูกพบเจอตัวนั้นมีชื่อว่าท่านชาย
มู่อี้ก็เห็นรอยแตกบริเวณมุมกําแพงและเมื่อมองผ่านรอยแตกนั้นออกไปเขาก็สามารถมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในลานกว้างได้
ในตอนนี้มีคนประมาณ 5 คนที่ยืนอยู่ในลานกว้างแห่งนี้ ตรงกลางนั้นเป็นชายที่สวมชุดคลุมสีดําดูมีอายุประมาณ 20 ปี ดูเหมือนเขาจะเป็นผู้นําของกลุ่มคนที่บุกรุกเข้ามาที่นี่
ด้านข้างนั้นมีผู้ชายกับผู้หญิงที่ล้อมรอบเขาเอาไว้ ชายคนนั้นสวมชุดคลุมเอาไว้เขาดูมีอายุประมาณ 30 ปีและสิ่งที่อยู่ในมือของเขานั้นคล้ายกับแส้หางม้าและมู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้อยู่ในระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจและเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทั้ง 5 คน
ที่เหลืออีก 4 คนนั้นนอกจากท่านชายฉือต่างก็เป็นจอมยุทธทั้งหมด
หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มเป็นคนที่พูดออกมาก่อนหน้านี้ ดูจากรูปร่างหน้าตาของนาง แล้วนางน่าจะมีอายุอย่างน้อยประมาณ 20 ปี แต่ท่ามกลางความมืดในตอนนี้นางกลับสวมชุดคลุมสีขาว จึงทําให้ดูโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
แต่ท่าทีที่หยิ่งผยองของนางนั้นมู่อี้คิดว่าอีกไม่นานความตายต้องมาเยือนอย่างแน่นอน ท่าทีของนางทําให้เขารู้สึกได้ว่านางไม่ได้มีประสบการณ์ในยุทธภพมากเท่าไหร่
ส่วนอีก 3 คนที่เหลือ พวกเขาต่างก็มีอายุประมาณ 30 ปี ดูจากท่าทีของพวกเขาแล้วดูเหมือนจะเป็นองครักษ์ที่ตามมามากกว่า
“หึ ข้าซ่อนตัวมาเป็นอย่างดีถ้าหากไม่ใช่เพราะบังเอิญปะทะกับผีดิบเข้า มีหรือที่ศัตรูจะพบเจอข้าได้?” ฉือเล่อตะคอกกลับมาทันที คําพูดของหญิงสาวนั้นดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจอย่างชัดเจน
” ข้าคิดว่าจะเป็นคนใจกล้าที่ไหน ที่แท้กลับกลายเป็นพวกโง่เขลากลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง” ในตอนนี้สายลมก็พัดเข้ามาอย่างรุนแรงและมี 3 คนที่ปรากฏตัวขึ้นมาบนลานกว้างแห่งนี้นั่นก็คือ ชวี่หยาง เป่ยหมิง และคนสุดท้ายคือฉงเจียอี่..
ชวี่หยางประสานมือของตนเองเอาไว้ด้านหลังและจ้องมองมาที่ทั้ง 5 คนด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม
” ถ้าหากเป็นสถานการณ์ปกติพวกเราคงไม่กล้ามาเยือนที่นี่แน่นอน แต่ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าออกไปเผชิญศึกหนักและได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ครึ่งคนครึ่งผีดิบอย่างเจ้าก็ยังได้รับบาดเจ็บหนัก เจ้าคิดหรอว่าพวกเราจะหวาดกลัวเจ้าในตอนนี้?” ฉือเล่อเห็นชวี่หยางที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน สายตาของเขาก็หรี่ลงทันทีจากนั้นก็ตะโกนออกไปเสียงดัง
“บาดเจ็บหนักนั้นหรือ?” ชวี่หยางแสยะยิ้มขึ้นมาทันที แต่หลังจากนั้นอุณหภูมิของลานกว้างแห่งนี้ก็ลดต่ำลงไปอย่างเห็นได้ชัดจนทั้ง 5 คนรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นอย่างพร้อมเพียงกันและพวกเขาต่างก็มองมาที่ชวี่หยางด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง ความรู้สึกที่เลวร้ายเริ่มปรากฏขึ้นมาในใจของพวกเขา