Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 158
ตอนที่ 158 มู่อี้ผู้ยุติธรรม
เมื่อได้ยินคําตอบของชืออู๋ มู่อี้ก็รู้สึกแน่ใจขึ้นมาทันที
ส่วนคนอื่นๆที่อยู่ในห้องนี้กําลังตั้งใจฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แม้ว่ามู่อี้ได้ก่อคดีใหญ่ขึ้นมาแต่ไม่ใช่ว่าทุกๆคนจะรู้จักเขา แม้แต่ชืออู๋ที่จํามูได้ก็เพราะว่าเขาเคยเห็นภาพเหมือนของมู่ที่ติดประกาศอยู่ภายในเมืองตอนเช้เมื่อวาน ในตอนแรกที่เขาได้เห็นประกาศจับของมู่นั่นเขายังคิดว่าชายหนุ่มคนนี้ใจกล้าไม่เบาเลย
แม้ว่าชืออู๋จะทํางานให้กับทางราชสํานักแต่เขาก็นิสัยชอบเข้าสังคมและไม่ค่อยชอบพวกคนที่ใช้ตําแหน่งของตนเองเอาเปรียบและรังแกคนอื่นๆ ตอนที่เขาได้ทราบเรื่องราวของมู่อี้เขายังรู้สึกสะใจด้วยซ้ํา แต่เพราะเขาเองก็เป็นคนของศาลพิพากษามณฑลและอาชีพนี้ก็ถือเป็นชามข้าวหลักของเขา เขาจึงพูดอะไรไม่ได้มากนัก
แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตนเองจะโชคดีจนได้พบกับมู่อี้เข้า แม้ว่าเขาจะรับมอบหมายให้คอยสอดส่องชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับในใบประกาศจับ แต่เขาก็ไม่ได้จริงจังกับคําสั่งที่ได้รับมาสักเท่าไหร่
ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากที่ตนเองเดินเข้ามาในบ้านหลังนี้แล้ว สวรรค์จะประทานโชคครั้งใหญ่ให้กับเขา
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในเมื่อได้พบกันแล้วเขาก็ต้องทําหน้าที่ของตนเองและเพียงแค่เชิญมู่ธ์ไปที่ศาลพิพากษามณฑลเท่านั้น นี่ยังคงเป็นหน้าที่ของเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
เพียงแต่ว่ามู่อี้ก็มองเขาออกทุกอย่าง ในตอนนี้เหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือต้องใช้กําลังเข้าจับกุม แม้ว่าเขาจะไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังใดๆในร่างกายของมู่เลย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถสังหารลูกชายของขุนนาง พร้อมกับลูกสมุนเป็นจํานวนมากในที่เกิดเหตุ มู่อี้จะเป็นคนอ่อนแอได้อย่างไรกัน?
ดังนั้นเขาจึงต้องระวังคําพูดของตัวเองให้ดีไม่อย่างนั้นแล้วเขาเองก็อาจจะซวยไปด้วย
ประสบการณ์ในการทํางานของเขาทําให้เขารู้ว่าคนแบบไหนที่ไม่ควรล่วงเกินและคนแบบไหนที่สามารถลงมือได้ทันที ในตอนนี้หัวใจของเขาบอกว่ามู่อี้ คือคนที่เขาไม่สมควรล่วงเกิน
“เป็นลูกชายของขุนนางใหญ่หรอกหรือ?” มู่อี้พูดพร้อมกับยิ้มเย้ยหยัน แม้ว่าในตอนที่เขาสังหารชายหนุ่มคนนั้นเขาจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอนแต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจในตอนนี้เขายังต้องสนใจอะไรอีก
แน่นอนว่าที่เขารู้สึกมั่นใจเช่นนี้ก็เพราะพลังของเขา ถ้าหากเป็นมู่อี้เมื่อ 6 เดือนก่อน เขาคงไม่กล้าทําตัวเช่นนี้แน่นอนในตอนนั้นเขายังไม่ได้มีพลังใดๆเลยด้วยซ้ํา
จากมุมมองของมู่ในตอนนี้ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่คนนี้จะแข็งแกร่งมากเพียงใดแต่ที่นี่ก็ถือว่าอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงปักกิ่งมาก ไม่ต้องพูดถึงว่ากฎหมายของศาลพิพากษามณฑลแต่ละที่นั้นก็แตกต่างกันออกไปอีก
ในหัวใจของมู่ลี้ยังมีความกังวลอยู่บ้างแต่ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขาสังหารลูกชายของขุนนางใหญ่แต่เป็นเพราะเรื่องกุญแจของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลือง เขากลัวว่าจะมีคนที่รู้เรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และปัญหาที่เขาต้องพบเจอจะมาแบบไม่จบไม่สิ้น
“สิ่งที่ท่านนักพรตเต๋ได้ลงมือกระทําก่อนหน้านี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถจัดการได้ ดังนั้นข้าจึงต้องเชิญท่านนักพรตเต๋าไปที่ศาลพิพากษามณฑลขอรับ” ชืออู๋ยกกําปั้นของเขาขึ้นมาคํานับมู่อี้และกล่าวด้วยน้ําเสียงเคารพ
ดูจากท่าทีของชืออู๋แล้วมู่อี้คิดว่าเขาไม่ใช่คนชั่วร้ายหรือเห็นแก่ตัวเลยในทางกลับกันชืออู๋ถือว่าเป็นคนที่มีความยุติธรรมในใจคนหนึ่ง
ถ้าหากมู่อี้มีคดีความแค่เรื่องที่เขาสังหารลูกชายของขุนนางใหญ่นั้น บางทีชืออู๋อาจจะปิดตาข้างหนึ่งและ เลือกที่จะปล่อยเรื่องนี้ไป แต่ถ้าหากคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นที่นี้เป็นไปตามที่พ่อบ้านพูดออกมาเช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่อาจปล่อยให้มู่อื้ออกไปจากที่นี่ได้
“ศาลพิพากษามณฑล? ท่านคิดว่าศาลพิพากษามณฑลคือสถานที่ที่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ?” มู่อี้ส่ายศีรษะเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมไปที่ศาลพิพากษามณฑลอย่างแน่นอน
แต่ระหว่างที่กําลังรอให้ชืออู๋ตอบกลับมานั้นเขาก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ได้ไปที่ศาลพิพากษามณฑลกับท่าน แต่ในวันนี้ข้าอยากแสดงความยุติธรรมให้ท่านเห็นสักครั้ง แล้วท่านล่ะสนใจความยุติธรรมที่ข้าจะแสดงให้ดูหรือไม่?
“นี่” ในตอนแรกชืออู๋กําลังปฏิเสธแต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่สงบนิ่งของมู่ ไม่รู้เพราะเหตุผลอะไรบางอย่างเขาจึงเลือกที่จะเชื่อคําพูดของมู่อี้ขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นมู่อี้ก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้และสายตาของทุกๆคนยังคงจ้องมองมาที่เขาด้วยความสนใจ
จากบทสนทนาระหว่างมู่อี้และชืออู๋ก่อนหน้านี้ หญิงชราและพ่อบ้านต่างก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ส่วนจาวเฉวียนและคนอื่นๆนั้นยังคงปิดปากเงียบสนิท
“พวกเจ้าพูดก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้งว่าข้าเข้ามาที่นี่และพยายามใช้กําลังข่มขืนลูกสะใภ้ของเจ้า จนนางเลือกที่จะกัดลิ้นของตนเองเพื่อฆ่าตัวตายใช่ไหม?” มู่อี้เดินเข้าไปหาพ่อบ้านคนนั้นและพูดออกมาทันที
“ใช่ ใช่แล้ว” พ่อบ้านคนนั้นก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยและไม่กล้าสบตาของมู่อี้ในตอนนี้
ทันใดนั้นมู่อี้ก็ยื่นแขนของเขาออกไปตบที่ไหล่ของพ่อบ้านเบาๆและจากนั้นก็พูดออกมาว่า “ในตอนนี้ถ้าหากเจ้าสามารถเคลื่อนไหวร่างกายหรือแม้แต่กระพริบตาได้ ถือว่าข้ายอมแพ้”
หลังจากมู่อี้พูดจบเขาก็เงียบไปทันที ชื่อจ้าวเฉวียน และหญิงชราต่างก็จ้องมองไปที่พ่อบ้านคนนั้น พวกเขาไม่เข้าใจว่ามู่อี้กําลังทําอะไรอยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติแล้ว
หลังจากมู่อี้ตบไปที่ไหล่ของพ่อบ้านเบาๆ พ่อบ้านคนนั้นก็ยืนนิ่งกลายเป็นหุ่นไม้ทันที เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่กระพริบตาก็ยังทําไม่ได้
“นี่มัน…” ดวงตาของชืออู๋เบิกกว้างขึ้นมาทันทีและเขาเกือบจะหลุดพูดสิ่งที่อยู่ในใจของตนเองออกมา แต่โชคดีที่เขายังห้ามตัวเองได้ทันและไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด
“เจ้า เจ้าทําอะไรกับเขา?” หญิงชราตะโกนออกมาทันที
“แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ข้าแค่อยากแสดงให้เจ้ารู้เอาไว้ว่า ถ้าหากข้าต้องการข่มขืนลูกสะใภ้ของเจ้าจริงๆ นางไม่มีทางขัดขืนข้าได้เลย อย่าว่าแต่กัดลิ้นฆ่าตัวตายเลย แค่กะพริบตานางก็ไม่มีทางทําได้” มู่อี้ส่ายศีรษะ
ชืออู๋และคนอื่นๆก็เหลือบมองไปที่พ่อบ้านที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ความคิดของพวกเขาต่างก็เหมือนกันในตอนนี้
แม้ว่ามู่อี้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนที่พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้ลงมือทําเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายอะไรหลายๆอย่างได้แล้ว
เรื่องบางอย่างอาจไม่มีทางเป็นไปได้ในสายตาของคนธรรมดาแต่ชืออู๋ก็เข้าใจเจตนาของมู่อี้เป็นอย่างดีไม่มีทางที่หญิงสาวคนนั้นจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
แม้แต่จ้าวเฉวียนพี่ไม่ได้มีความรู้ความสามารถเหมือนกับชืออู๋เขาเองก็อายุมากแล้ว แต่ในตอนนี้เขาก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
“พลังที่ชั่วร้าย เจ้าใช้พลังที่ชั่วร้าย” หญิงชราตะโกนใส่มู่อี้
มู่อี้ไม่สนใจหญิงชราอีกต่อไปแต่เขากลับเดินเข้าไปหาสุ่ยเซียงและก้มหน้ามองไปที่นาง “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องนี้ทั้งหมดใช่ไหม? และยังเห็นข้าวิ่งหนีออกไปจากห้องนี้ด้วยใช่ไหม?”
“ข้า ข้า …” สุ่ยเซียงรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ นางจะตอบคําถามของมู่อี้ล้ําอย่างไรดี?
มู่อี้ไม่ได้บีบบังคับนาง แต่เขาเดินไปที่โต๊ะและใช้มือของตนเองตบเบาๆลงไปที่โต๊ะตัวนั้น
ทันใดนั้นสายตาของทุกๆคนก็เหมือนได้เห็นสิ่งที่น่าตกตะลึง พวกเขาเห็นว่าโต๊ะที่ดูแข็งแรงตัวนั้นแยกออกจากกันทันที
เพียงแค่ฝ่ามือเดียวเท่านั้น ทุกๆคนในห้องนี้ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกตกตะลึง
ถ้าหากการที่มู่อี้ทําให้พ่อบ้านขยับตัวไม่ได้ก่อนหน้านี้ทําให้ทุกๆคนที่ได้เห็นรู้สึกตกตะลึง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทําให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ
โต๊ะที่อยู่ตรงหน้านั้นเห็นได้ชัดว่าทํามาจากแผ่นไม่ใหญ่ที่ดูแข็งแรงมาก แม้ว่าจะใช้ค้อนทุบอย่างมากก็คงสร้างรอยถลอกขึ้นมาเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชืออู๋ย่อมทราบดีว่าฝ่ามือของมู่อี้นั้นหมายความว่าอะไร แม้ว่าเขาจะได้ฉายาว่ามือเหล็กชื่อและมั่นใจในมือของตนเองมาก แต่เมื่อได้เห็นฝ่ามือของม่อี้ในตอนนี้เขาก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาแล้วจริงๆ
ไม่ต้องเดาเลยว่าเมื่อเทียบกับมู่อี้แล้ว ฉายามือเหล็กของเขาเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
“ถ้าหากว่าข้าเป็นผู้ลงมือในคดีฆาตกรรมครั้งนี้จริงๆ เจ้าคิดหรอว่าข้าจะปล่อยให้คนรับใช้อย่างเจ้ารอดไปได้?” มู่อี้พูดขึ้นมาอีกครั้งในตอนนี้
ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็มีเพียงความเงียบเท่านั้น
“นางผู้หญิงสารเลวเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกเข้ามาสังหารหลันเอ่อร์จากนั้นเจ้าก็วางแผนใส่ร้ายท่านนักพรตเต๋สผู้นี้ใช่ไหม” ในตอนที่ทุกคนกําลังเงียบอยู่นั้นหญิงชราก็ยืนขึ้นมาพร้อมกับถีบไปที่ร่างกายของสุ่ยเซียงทันที สุ่ยเซียงที่นั่งคุกเข่าอยู่ก่อนหน้านี้กระเด็นออกไปอย่างรุนแรง
สุ่ยเซียงกระเด็นลงไปที่พื้นพร้อมกับร้องออกมา แต่เมื่อเทียบกันแล้วความเจ็บปวดทางร่างกายที่นางได้รับนั้นไม่อาจเทียบได้กับความเจ็บปวดในจิตใจ
“นายหญิง…” สุ่ยเซียงรีบลุกขึ้นมา ดูเหมือนจะพยายามอธิบายอะไรบางอย่าง
“หุบปากไปซะ ถ้าหากเจ้ายังพูดอะไรออกมาอีกข้าจะตีเจ้าให้ตาย” หญิงชราจ้องมองมาที่สุ่ยเซียงด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม
เห็นได้ชัดว่าสุ่ยเซียงรู้สึกหวาดกลัวต่อคําพูดของหญิงชรา นางตัวสั่นและไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย
“ท่านนักพรตเต๋ดูเหมือนว่าหญิงชราผู้นี้จะเข้าใจท่านผิดไปแล้ว เพราะแผนการของนางผู้หญิงสารเลวคนนี้ เกือบทําให้หญิงชราผู้นี้ต้องเข้าใจท่านนักพรตเต๋าผิดไปเสียแล้ว โชคดีที่ความจริงปรากฏออกมาเช่นนี้ข้าไม่กล้ารบกวนท่านนักพรตเต๋อีกต่อไปแล้ว หลังจากนี้หญิงชราผู้นี้จะจัดการเรื่องทั้งหมดโดยเร็วที่สุด” หญิงชราจ้องมองมาที่มู่อี้สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความเหี้ยมเกรียมบนใบหน้าหายไปแล้วมีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของนาง
ความจริงแล้วการแสดงที่ไม่เป็นธรรมชาติของหญิงชราคงไม่อาจหลอกทุกๆคนที่อยู่ในห้องนี้ได้เลย แต่นางจําเป็นต้องทําเช่นนี้เพื่อทําให้มู่อื้ออกไปจากบ้านของนางโดยเร็วที่สุด ตราบใดที่ม่อื้ออกไปจากที่นี่แล้ว นางย่อมมีวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อีกมาก
เช่นเดียวกับที่นางพูดกับสุ่ยเซียงไปก่อนหน้านี้ นางสามารถโยนเรื่องทุกอย่างให้เป็นความผิดของหญิงรับใช้ผู้นี้ได้และรักษาชื่อเสียงของตนเองต่อไปได้
อย่างน้อยที่สุดในกฎหมายที่ทางราชสํานักกําหนดขึ้นมานั้น ผู้ที่เสียชีวิตเพราะไม่ยอมจํานนต่อกลุ่มโจร เสียชีวิตจากการข่มขึ้น และการฆ่าตัวตายจากความอับอาย คดีเหล่านี้จะต้องแจ้งต่อทางราชสํานัก และทางราชสํานักก็จะยกย่องหญิงสาวและผู้ที่พลีชีพทุกๆคนที่ต้องเสียชีวิตเพราะเหตุการณ์ที่กล่าวไปก่อนหน้านี้
แม้แต่ที่ “วัดเจียเซียว” ก็มีการสร้างซุ้มประตูขนาดใหญ่เพื่อเป็นการยกย่องหญิงสาวเหล่านั้น
ตระกูลดังนั้นมีหญิงหม้ายที่ปฏิบัติตัวในทางที่ดีถึง 2 คน ซึ่งย่อมหมายถึงชื่อเสียงโด่งดังและการยกย่องเชิดชูจากทางราชสํานัก
หญิงชราผู้นี้ทําไมถึงโงได้ขนาดนี้? ลูกชายของนางเสียชีวิตไปแล้วและในตอนนี้ลูกสะใภ้ของนางก็เสียชีวิตไปแล้วด้วยเช่นกัน นางทําไปเพื่ออะไรกันแน่?
อย่างน้อยที่สุดมู่อี้ก็ไม่คิดว่าหญิงชราคนนี้จะเป็นคนโง่
มู่อี้จ้องมองใบหน้าที่น่าเกลียดของหญิงชราจากนั้นก็ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้าล่วงเกินข้าแล้วคิดว่าจะจบง่ายๆแบบนี้หรอ”
“ท่านนักพรตเต๋หมายความว่ายังไงกัน? หรือว่าท่านต้องการจะสังหารหญิงชราผู้นี้ไปด้วย? ในตอนนี้ตระกูลดังเหลือเพียงแค่หญิงชราผู้นี้ตัวคนเดียวเท่านั้น ยังต้องเผชิญกับผู้คนที่เข้ามารังแกอีก นี่มันไร้เหตุผลเกินไปแล้ว” เมื่อเห็นว่าตอนจบของเรื่องนี้เปลี่ยนไปแล้วท่าทีของหญิงชราก็เริ่มดูวิกลจริตขึ้นมาทันที
“ท่านนักพรตเต๋ เรื่องนี้ ” จ้าวเฉวียนลังเลเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ท่านผู้อาวุโส ถ้าหากเป็นท่านบ้าง ท่านจะล่วงเกินคนเลยหรือไม่ หรือจะตรวจสอบเรื่องราวต่างๆให้แน่ใจก่อน” มู่อี้เหลือบมองมาที่จ้าวเฉวียนและพูดขึ้นมาทันที
เมื่อได้ยินคําพูดของมู่อี้ จ้าวเฉวียนก็รู้สึกลังเลใจขึ้นมา
“หญิงสาวผู้นี้ถูกบีบบังคับจนถึงแก่ความตายนั้นเป็นเรื่องจริง ลูกสะใภ้ของเจ้าถูกเจ้าบีบบังคับจนถึงแก่ความตาย ส่วนเรื่องที่เจ้าบอกว่าตนเองเป็นคนสุดท้ายของตระกูลดังนั้น บางทีอาจไม่จําเป็นต้องมีก็ได้” มู่อี้พูดขึ้นมาทันที