Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 162
ตอนที่ 162 วิญญาณชั่วร้าย
ม่อี้ใช้ยันต์สะกดวิญญาณให้กับทุกๆคน ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนดีแต่เขาแค่ไม่อยากให้เมื่อจบเรื่องนี้แล้ว เขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่รอดออกไปจากที่นี่ได้
เพราะไม่ว่าอย่างไรการที่ทุกๆคนมารวมตัวกันที่นี่ก็เพราะเขาและม่อี้ก็ย่อมต้องดูแลความปลอดภัยให้กับคนเหล่านั้น
ยันต์สะกดวิญญาณไม่เพียงแต่สามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในร่างกายของพวกเขาออกไปได้มันยังทําให้ทุกๆคนรู้สึกดีขึ้นอีกด้วย แม้แต่สิ่งชั่วร้ายที่ออกมาจากวัดเจี๊ยเซียวก็ไม่อาจทําอะไรพวกเขาได้
“ตูม!”
เมื่อเสียงดังกึกก้องระเบิดขึ้นมานั้น สายฟ้าก็ผ่าลงมาต่อหน้าทุกๆคนและมันตรงไปที่หลังคาของวัดเจียเซียวทันที
“กรีก!”
รูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหลังคาของวัดเจียเซียวและเศษอิฐเศษกระเบื้องจํานวนมากก็หล่นลงมาบนพื้น
ชายชราทุกๆคนและรวมถึงชื่ออู่ต่างก็จ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง
ความพึงพอใจต่อยันต์สะกดวิญญาณหายไปทันทีเพราะสายฟ้าที่ผ่าลงมาในตอนนี้ทําให้พวกเขาจ้องมองไปที่มู่อี้ด้วยสายตาที่ดูความหวาดกลัวอีกครั้ง มู่อี้ทําลายวัดเจียเซียวทันทีและไม่สนใจพวกเขาเลยด้วยซ้ํา
“อ้า!”
เสียงร้องที่ดูน่ากลัวดังออกมาจากภายในวัดเจี๊ยเซียวและจากนั้นก็มีสายลมที่รุนแรงพัดประตูหน้าต่าง เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าของมู่ทันที
เงาร่างนี้ลอยตัวอยู่กลางอากาศร่างกายของมันราวกับว่าสร้างขึ้นมาจากควันสีดําที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างของมันในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ได้กลายเป็นวิญญาณไปแล้วและระดับของวิญญาณตนนี้นั้นก็อยู่ในระดับ วิญญาณชั่วร้าย อย่างแน่นอน
กลิ่นอายที่วิญญาณตนนี้ปล่อยออกมานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดาเลย เมื่อพิจารณาจากรูปร่างของมันก่อนที่มันจะเสียชีวิตไปย่อมเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง
“ไม่หวาดกลัวต่อพลังหยาง ไม่หวาดกลัวต่อเปลวเพลิง มีสติปัญญาเป็นของตัวเอง เห็นได้ชัดว่านี่คือระดับวิญญาณชั่วร้าย”
ม่อี้นึกถึงประโยคนี้ขึ้นมาทันที เงาดําที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ตรงกับสิ่งที่อยู่ในประโยคทุกๆอย่าง แม้แต่ยันต์สายฟ้าก่อนหน้านี้ก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับมันได้ตามที่เขาต้องการ
แน่นอนว่ามันเป็นเพราะสายฟ้าไม่ได้โจมตีไปที่ร่างของอีกฝ่ายโดยตรง แต่ไม่ว่าอย่างไรดวงวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าเขาต้องมีระดับที่เหนือกว่าวิญญาณอาฆาตอย่างแน่นอน เพราะระดับวิญญาณอาฆาตนั้นแทบไม่อาจทนรับพลังหยางที่อยู่ภายในสายฟ้าได้เลยและพวกมันยังไม่มีสติปัญญาใดๆ
“ทําไมกันนักพรตเต๋า ทําไมเจ้าต้องมารบกวนข้า?” หลังจากวิญญาณชั่วร้ายปรากฏตัวออกมา มันก็จ้องมองตรงมาที่มู่อี้ด้วยสายตาไม่พอใจและพูดออกมาทันที
หลังจากม่ได้เข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะเขาก็ได้พบเจอกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์แต่ดวงวิญญาณของเด็กสาวนั้นมีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ทุกประการ และยังมีสติปัญญาอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลยเมื่อได้เห็นวิญญาณชั่วร้ายที่เหมือนกับมนุษย์และสามารถพูดคุยได้เหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ
“หากข้าเดาไม่ผิด ท่านคงเป็นปรมาจารย์ผู้สร้างวัดเจี๊ยเซียวแห่งนี้ขึ้นมาสินะ?” มู่อี้พูดออกมาพร้อมกับหันไปมองรอบๆตัว
เมื่อเขาพูดออกมาเช่นนี้ ทุกๆคนที่อยู่รอบๆต่างก็รู้สึกหวาดกลัวและจ้องมองมาที่เขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อมากยิ่งขึ้น ปรมาจารย์คนนั้นตายไปตั้งนานแล้วเขาจะมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนได้อย่างไรกัน? หรือว่านี้ก็คือดวงวิญญาณ?
เมื่อคิดเช่นนี้ทุกๆคนก็รู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาทันทีและยังคิดหาทางหนีออกไปจากที่นี่
“ใช่แล้ว ไม่คิดเลยว่าผ่านมานานหลายปีขนาดนี้จะยังมีคนที่จดจําข้าได้ด้วย” วิญญาณชั่วร้ายพยักหน้า จากนั้นมันก็เหลือบมองชายชราทุกๆคนที่อยู่ที่นี่และสุดท้ายสายตาของมันก็จ้องมองมาที่ม่อี้อีกครั้งหนึ่ง
“ท่านกลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายได้ด้วยความคับแค้นใจของคนอื่นๆ แม้ว่าท่านจะสามารถไปถึงระดับวิญญาณชั่วร้ายได้แต่ก็ต้องทุกข์ทรมานจากการฝืนลิขิตสวรรค์ สายฟ้าที่ได้รับไปก่อนหน้านี้คงทําให้ท่านเจ็บปวดไม่น้อยเลยใช่ไหม?” มู่อี้ก็จ้องมองไปที่วิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ตรงหน้าเขาและพูดออกไปทันที
จากที่เขาได้ยินมาก่อนหน้านี้ เมื่อ 10 ปีก่อนอยู่ๆก็มีสายฟ้าที่ผ่าลงมาบนหลังคาวัดแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
“เจ้านักพรตเต๋น้อยเจ้าต้องการอะไรกันแน่?” วิญญาณชั่วร้ายจ้องมองมาที่มู่อี้แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือ เห็นได้ชัดว่ามันก็สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากม่อี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายฟ้าที่ผ่าลงมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงเหมือนกับเมื่อ 10 ปีก่อน แต่มันก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ถ้าหากสายฟ้าผ่าลงมาที่ร่างของมันย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน เพราะมันเองก็ศึกษาในทางด้านเต่ํามาหลายสิบปี การที่ม่อี้สามารถเรียกสายฟ้าออกมาได้ใครจะรู้กันว่าอีกฝ่ายสามารถเรียกออกมาได้มากเพียงใด
“ข้าย่อมมาทวงความยุติธรรมให้กับหญิงที่เสียชีวิตไปอย่างไม่ยุติธรรมและดวงวิญญาณของพวกนางยังไม่สามารถหลุดพ้นออกไปจากที่นี่ได้” มู่อี้พูดออกมาตามตรงว่านี่คือจุดประสงค์ของเขา แน่นอนว่ามันคงไม่ง่ายเหมือนคําพูดแต่ก็ไม่จําเป็นต้องบอกให้อีกฝ่ายทราบก็ได้
“หญิงสาวเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย ถ้าเจ้าอยากทวงความยุติธรรมให้พวกนางมากนักเช่นนั้นก็จงตามพวกนางไปเถอะ” วิญญาณชั่วร้ายพูดพร้อมกับหันไปมองทุกคนที่อยู่ที่นี่
พวกชายชราต่างก็ก้าวถอยหลังกลับไปด้วยความตกตะลึงแต่ไม่คิดว่าตนเองจะแข้งขาอ่อนและล้มลงไปที่พื้นทันที
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า แม้ว่าข้าจะสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาแต่ข้าก็ไม่เคยคิดจะทําร้ายใคร แล้วเจ้าล่ะนักพรตเต๋น้อย?” วิญญาณชั่วร้ายยังคงจ้องมองมาที่มู่ลี้
“แม้ว่าหญิงสาวเหล่านั้นจะไม่ได้ตายเพราะท่าน แต่ผู้ชายทุกๆคนที่อยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ท่านกล้าพูดหรือไม่ล่ะว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับท่านจริงๆ? หญิงสาวเหล่านั้นสมควรไปผุดไปเกิดอีกครั้งหลังจากที่นางตายไป แต่ท่านกลับจองจําดวงวิญญาณของนางเอาไว้ที่นี่เพื่อความแข็งแกร่งของตนเอง ช่างเป็นคนที่ชั่วช้าอะไรเช่นนี้?” มู่อี้ถามกลับมาตามตรง
“การที่ข้าทําอะไรบางอย่างเพื่อความต้องการของตนเองมันผิดด้วยหรือไง? ส่วนคําถามข้อที่ 2 ของเจ้าข้าขอไม่ตอบ” วิญญาณตนนั้นยังคงส่ายศีรษะปฏิเสธ
“บางทีท่านอาจจะพูดถูก” เมื่อทุกๆคนคิดว่าม่อี้จะพูดจาไล่ศัตรูอีกต่อไปเรื่อยๆ ไม่คิดเลยว่ามู่อี้จะเห็นด้วยกับสิ่งที่วิญญาณชั่วร้ายพูดออกมา
“ฮ่า ฮ่า ใช่แล้ว ใช่แล้ว เจ้าเองก็ยังไม่เสียสติไปนี่นา” วิญญาณตนนั้นหัวเราะออกมาทันที
“ความจริงแล้วสิ่งที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ก็แค่เรื่องไร้สาระเท่านั้นแหละ” มู่อี้ก็ตอบกลับมาทันที
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” วิญญาณชั่วร้ายตกตะลึงไปชั่วครู่หนึ่งและจ้องมองมาที่ม่อี้ที่ยังมีสีหน้าดูเฉยเมย ในตอนที่เป็นมนุษย์นั้นเขาก็ทุ่มเทฝึกฝนนานหลายสิบปีพลังแห่งจิตใจที่เขาปลดปล่อยออกมาก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย
“ในตํานานทุกเรื่องไม่ว่ายังไงผู้กล้าทุกๆคนก็ต้องกําจัดปีศาจร้ายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” มู่ลี้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้านักพรตเต๋น้อย เจ้ากล้าล้อข้าเล่นงั้นหรือ?” สีหน้าของวิญญาณตนนั้นเปลี่ยนไปทันทีและในขณะเดียวกันสายลมที่รุนแรงก็พัดออกมารอบตัวของมัน
“ข้าก็แค่หยอกล้อท่านนิดหน่อยเท่านั้น” มู่อี้สะบัดมือของเขาออกไปทันที
“รนหาที่ตาย!” สีหน้าของวิญญาณชั่วร้ายดูเกรี้ยวกราดขึ้นมาและร่างกายของมันที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นก็พุ่งเข้ามาหาลู่อี้รวดเร็วราวกับสายฟ้า
เมื่อมันเริ่มเคลื่อนไหวคบเพลิงที่ถูกจุดเอาไว้รอบๆแท่นบูชาและเทียนที่จุดบนโต๊ะต่างก็ถูกลมแรงพัดจนดับไป แม้ว่าจะมีแสงจันทร์ที่ส่งลงมาเหนือศีรษะแต่ทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ก็ไม่อาจมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
แต่มันก็ไม่มีผลอะไรกับมู่ล้ําอยู่แล้ว เมื่อวิญญาณชั่วร้ายเริ่มลงมือเขาก็นําตะเกียงทองแดงของตนเองออกมาโดยไม่ลังเลทันที
แน่นอนว่าการที่เขา “ไม่ตื่นตระหนก” มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเชื่องช้แต่หมายความว่าจิตใจของเขายังคงสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา
ตะเกียงทองแดงส่องแสงออกมาทันทีและแสงสว่างนั้นก็สัมผัสเข้ากับร่างของวิญญาณชั่วร้าย
“อะไรกัน!”
วิญญาณชั่วร้ายกรีดร้องออกมาและรีบถอยหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว
มู่อี้ถือตะเกียงทองแดงเอาไว้ในมือซ้ายของเขาและมือขวาก็สะบัดออกไปอย่างรวดเร็วจากนั้นแสงสีขาวจํานวนมากก็เพิ่งออกไปจากมือของเขาทันที นี่คือยันต์ปราบปีศาจที่กําลังตรงเข้าไปโจมตีวิญญาณชั่วร้ายเป็นจํานวนมาก
“ปัง ปัง!”
เสียงที่เหมือนกับของแข็งกระทบกันดังขึ้นมาหลายครั้งและวิญญาณตนนั้นก็ต้องถอยหลังกลับไปหลายก้าว ท้ายที่สุดนั้นมันก็ถอยกลับไปอยู่ที่หลังคาของวัดเจี๊ยเซียวพร้อมกับจ้องมองมาที่มู่และคนอื่นๆเงียบๆ
เมื่อเห็นว่าวิญญาณชั่วร้ายกลับไปอยู่ที่หลังคาของวัด มู่อี้ก็ไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป เขาใช้ยันต์สายฟ้าของตนเองออกไปทันที
“ตุ้ม!”
สายฟ้าตรงเข้าไปหาวิญญาณชั่วร้ายอย่างรวดเร็ว
“อาก!”
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังออกมาจากภายในวัดอีกครั้ง
แม้ว่าม่อี้จะต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณชั่วร้ายในครั้งนี้ แต่ถ้าพูดกันตามหลักการแล้วพลังของวิญญาณชั่วร้ายก็เทียบได้กับผู้ที่อยู่ในระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจเท่านั้นและยังเป็นระดับเดียวกันกับม่อี้ ถึงแม้จะอยู่ในระดับเดียวกันแต่ตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้จนถึงตอนนี้วิญญาณชั่วร้ายก็ทําได้เพียงรับการโจมตีเท่านั้นและไม่อาจทําอะไรมู่ได้เลย
นอกจากนี้แล้วด้วยพลังของตะเกียงทองแดงและยันต์สายฟ้า มู่อี้ย่อมสามารถรับมือกับวิญญาณชั่วร้ายได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเขาไม่เคยเผชิญหน้ากับวิญญาณที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อนก็ตาม ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าหากวิญญาณชั่วร้ายที่ใช้ชีวิตอยู่มานานขนาดนี้สามารถลงมือได้อย่างเต็มที่ผลที่ตามมาคงไม่ใช่ความได้เปรียบของเขาแน่นอน
ยันต์สายฟ้าเพียงแผ่นเดียวคงไม่พอที่จะสังหารวิญญาณชั่วร้ายตนนี้ได้ เพราะหลังจากได้ยกระดับขึ้นมาสู่ระดับวิญญาณชั่วร้ายแล้วพลังชีวิตของมันจะเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับวิญญาณอาฆาต เว้นแต่ว่าม่อี้จะใช้ยันต์สายฟ้าทั้งหมดที่เขามีออกไปบางทีอาจจะสามารถสังหารวิญญาณชั่วร้ายตนนี้ได้
แต่มู่อี้ก็พูดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เขามาที่นี่เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับทุกๆคน ไม่ว่าวิญญาณชั่วร้ายตนนี้จะมีบาปติดตัวมากเพียงใดมันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขามาที่นี่เพื่อจบปัญหาที่ทุกๆคนในหมู่บ้านต้องเผชิญตามที่ได้รับปากเขาไว้ การแก้แค้นให้กับหญิงสาวที่ต้องตายไปอย่างไม่ยุติธรรมนั้นเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น
สิ่งที่ม่ต้องการจริงๆก็คือใช้พลังของวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ตรงหน้าเขากลายเป็นพลังให้กับเนี่ยนหนิวเอ้อร์
ตอนนี้เนี่ยนหนิวเอ้อร์เหลืออีกเพียงครึ่งก้าวก็จะยกระดับขึ้นมาได้สําเร็จแล้ว สิ่งที่นางต้องการมีเพียงเวลาเท่านั้นและนางสามารถยกระดับต่อไปได้ด้วยตนเอง แต่มไม่อยากจะรออีกต่อไปแล้ว ด้วยคําบอกเล่าของชื่ออู่ เขาจึงรู้ดีว่าสถานการณ์ของตนเองเป็นเช่นไร บางที่วันพรุ่งนี้ผู้คนมากมายอาจจะมาล้อมจับเขาเอาไว้เพื่อช่วงชิงกุญแจที่เขาครอบครอง
เมื่อถึงตอนนั้นแล้วม่อี้คงต้องการพลังมากที่สุดเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู แม้ว่าเขาจะมั่นใจในตนเอง แต่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ล่ะ? เขาอาจจะหนีรอดออกจากวงล้อมศัตรูไปได้อย่างปลอดภัยแต่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ล่ะ? ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดก็คือการทําให้นางยกระดับขึ้นมาได้โดยเร็วที่สุด
วิธีที่ดีที่สุดที่จะทําให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์สามารถยกระดับได้นั่นก็คือหาแหล่งพลังใหม่มาเพิ่มให้นาง
ในตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว ในตอนที่เขาเห็นความไม่พอใจของจ้าวเฉวียนเขาก็รู้ว่าวัดเจี๊ยเซียว มีปัญหาอะไรบางอย่างแน่นอน
ความจริงแล้วปัญหาของวัดเจียเซียวไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย แต่เมื่อเขาได้เห็นว่าที่นี่มีวิญญาณชั่วร้ายตนหนึ่งที่อยู่ที่นี่มันก็ทําให้เขารู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
มู่อี้เชื่อว่าตราบใดที่ต้นไผ่แห่งชีวิตได้กลืนกินวิญญาณชั่วร้ายตนนี้เข้าไป คงทําให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ยกระดับขึ้นมาได้ทันที และแม้แต่ลู่อี้ก็สามารถทําให้ต้นไผ่แห่งชีวิตกลายเป็นอาวุธวิญญาณได้สําเร็จ
และหลังจากเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้ยกระดับไปสู่ระดับวิญญาณชั่วร้ายแล้ว นางจะสามารถปรากฏตัวออกมาในช่วงกลางวันได้ ตราบใดที่แสงแดดไม่ร้อนจนเกินไปนางก็ย่อมไม่เป็นอะไร
และเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็เป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของเขา สําหรับการที่พลังของเขาเพิ่มมากขึ้นเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะศัตรูได้
สายฟ้าหายไปแล้วและวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ภายในวัดก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ในตอนนี้วิญญาณชั่วร้ายแตกต่างจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย ร่างกายครึ่งหนึ่งของมันกลายเป็นหมอกดําที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ และแม้แต่รูปร่างของมันก็ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในตอนนี้วิญญาณชั่วร้ายตระหนักได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ดีแล้วและมันต้องรีบหาทางหนี แต่มู่ลี้ย่อมไม่ปล่อยให้มันหนีไปได้แน่นอน
“ต้นไผ่แห่งชีวิต ลงมือ!”
ม่อี้ชี้นิ้วของเขาไปที่วิญญาณชั่วร้ายที่อยู่บนหลังคาวัดเจียเซียว พร้อมกับพูดออกมาเบาๆ
“ฟุบ!”
ทันใดนั้นต้นไผ่แห่งชีวิตที่วางอยู่บนโต๊ะก็เริ่มสั่นขึ้นมาทันทีและนี่เป็นครั้งแรกที่มอื้ออกคําสั่งกับมัน จากนั้นแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นมาและต้นไผ่แห่งชีวิตก็ตรงเข้าไปหาวิญญาณชั่วร้ายทันที
“อ้าก ไม่!”