Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 163
ตอนที่ 163 ในที่สุดก็สําเร็จ
ต้นไผ่แห่งชีวิตเกาะติดอยู่บนร่างของวิญญาณชั่วร้ายและทันใดนั้นเสียงร้องที่ดูน่าสะพรึงกลัวก็ดังออกมาทันที ราวกับว่าวิญญาณชั่วร้ายกําลังเผชิญหน้ากับความสยองขวัญที่ไม่อาจจินตนาการได้
“กลับมา!”
มือของมู่อี้ขยับไปมาอีกครั้งและพลังแห่งจิตใจของเขาก็ปลดปล่อยออกมาทันที
ทันใดนั้นแสงสีเขียวที่ต้นไผ่แห่งชีวิตปลดปล่อยออกมาก็สว่างมากยิ่งขึ้นและห่อหุ้มวิญญาณชั่วร้ายเอาไว้ ภายในนั้นเสียงร้องของวิญญาณชั่วร้ายเบาลงเรื่อยๆจนเงียบไปในที่สุดและท้ายที่สุดเมื่อแสงสีเขียวหายไปนั้น ต้นไผ่แห่งชีวิตก็ปรากฏออกมา
“กลับมา” มู่อี้พูดออกมาอีกครั้งและต้นไผ่แห่งชีวิตก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือของเขาทันที
ม่อี้ถือต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้ในมือพร้อมกับส่งพลังแห่งจิตใจของเขาเข้าไปตรวจสอบและเห็นว่าวิญญาณชั่วร้ายถูกขังเอาไว้ภายในต้นไผ่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ตื่นขึ้นมาแล้วด้วยเช่นกัน และมือเล็กๆของนางก็คว้าไปที่ศีรษะของวิญญาณชั่วร้ายทันที
ม่อี้ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเขายังยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน
“พวกท่านออกไปจากที่นี่ก่อน ห้ามให้ใครเข้ามาที่นี่จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากข้า” ม่อี้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และจ้องมองชายชราทุกๆคนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ สภาพของชื่ออู่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าชายชราเหล่านี้สักเท่าไหร่
ทันทีที่ม่อี้พูดออกมาทุกๆคนก็รีบออกไปจากที่นี่ทันทีและก่อนจะออกไปพวกเขายังบอกลามู่อี้เล็กน้อย
หลังจากทุกคนออกไปแล้วม่อี้ก็นั่งลงบนแท่นพิธีอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ต้องกังวลว่าใครจะเข้ามารบกวนอีกต่อไป แม้ว่าในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้จะมีคนที่กล้าบ้าบินจนเข้ามารบกวนเขา แต่ต้าหนิวที่ซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลาก่อนหน้านี้ก็ปรากฏตัวออกมาและยืนอยู่ข้างๆแท่นพิธีราวกับว่าเป็นองครักษ์ของมู่ลี้
มู่อี้กําลังเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นภายในต้นไผ่แห่งชีวิตพร้อมกับใช้มีดกรีดนิ้วของเขาและหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่แห่งชีวิต เขาเห็นว่าสีเขียวที่เป็นสีดั้งเดิมของดั้งเดิมต้นไผ่แห่งชีวิตเริ่มเปลี่ยนไปช้าๆกลายเป็นสีดําและสีแดงจนในที่สุดสีเขียว สีดํา และสีแดงที่ปรากฏอยู่บนต้นไผ่แห่งชีวิตก็ค่อยๆหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
กลิ่นอายของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่อยู่ภายในต้นไผ่แห่งชีวิตก็ได้เพิ่มขึ้นมาทีละนิด
วิญญาณชั่วร้ายยังคงดิ้นรนและพลังของมันก็ค่อยๆลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้พลังของมันนั้นถูกเนี่ยนหนิวเอ้อร์และต้นไผ่แห่งชีวิตดูดกลืนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ถ้าหากเป็นเนี่ยนหนิวเอ้อร์เพียงผู้เดียวคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดูดกลืนพลังของวิญญาณชั่วร้ายเข้าไป แต่อย่าลืมว่าต้นไผ่แห่งชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่มีจิตวิญญาณธรรมชาติของตัวมันเองและสามารถซึมซับพลังแห่งสวรรค์ และโลกเข้าไปในร่างของมันได้ นับประสาอะไรกับพลังของวิญญาณชั่วร้ายในตอนนี้
ม่อี้เคยคํานวณเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าการที่จะทําให้ต้นไผ่แห่งชีวิตกลายเป็นอาวุธวิญญาณได้นั้นจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 49 วันถึงจะสําเร็จ ถ้านับดูแล้วตอนนี้เวลาน่าจะผ่านมาเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ถ้าหากทําตามแผนการเดิมเขาจะต้องใช้เวลาอีกประมาณครึ่งเดือนกว่า แต่หลังจากต้นไผ่แห่งชีวิตได้ดูดกลืนพลังของเห็ดซากศพเข้าไป ความเร็วในการกลายเป็นอาวุธวิญญาณนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และในตอนนี้มันดูดกลืนพลังของวิญญาณชั่วร้ายเข้าไปอีก
ดังนั้นฟูอี้จึงอยากให้การที่เขาต้องคอยหยดเลือดทุกๆวันนั้นจบไปเสียที เขาอยากทําให้มันกลายเป็นอาวุธวิญญาณโดยเร็วที่สุด
เมื่อแก่นแทโลหิตของเขาถูกต้นไผ่แห่งชีวิตดูดซึมเข้าไปนั้น ม่อี้ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาสามารถเชื่อมต่อจิตใจของตนเองกับต้นไผ่แห่งชีวิตได้ใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อยๆและความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเขากําลังหลอมรวมเข้ากับมันเป็นหนึ่งเดียวกันก็ปรากฏขึ้นมาในใจของเขา เขารู้สึกราวกับว่าต้นไผ่แห่งชีวิตได้กลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาไปแล้ว เขาสามารถออกคําสั่งต่อต้นไผ่แห่งชีวิตได้เหมือนกับแขนของตัวเองและมันสามารถขยับไปมาได้ตามที่ใจของเขาต้องการ
ทันใดนั้นมู่ลี้ก็กัดลิ้นของตนเองและกระอักเลือดออกมาทันที
แสงของต้นไผ่แห่งชีวิตส่องสว่างมากยิ่งขึ้นแต่ในครั้งนี้แสงที่ส่องออกมานั้นมีเพียงแค่สีแดงเท่านั้น และแสงสีแดงนี้ย่อมเป็นตัวแทนของแก่นแท้โลหิตที่ม่อีหยดลงไปบนต้นไผ่แห่งชีวิตมาโดยตลอด
“ติ้ง!”
มู่ลี้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงแหลมที่ดังขึ้นมา ในตอนนี้พลังแห่งจิตใจของเขารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ราวกับค่อนขนาดใหญ่และฟาดลงไปที่ต้นไผ่แห่งชีวิตอย่างรุนแรงทันที
หลังจากนั้นก็มีตัวอักษรตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนลําต้นของต้นไผ่แห่งชีวิตช้าๆ
เมื่อตัวอักษรปรากฏขึ้นมานั้นมันก็เปล่งแสงออกมาทันทีและแสงที่ต้นไผ่แห่งชีวิตส่องสว่างออกมานั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่ามันจะไปรวมตัวกันที่ตัวอักษรตัวนั้น และลําตันของของต้นไผ่แห่งชีวิตก็ไม่ได้ดูโปร่งใสเหมือนกับผลึกแก้วอีกต่อไป แต่มันมีรอยดําเล็กๆที่เหมือนกับคราบน้ําหมึกปรากฏขึ้นมาให้เห็น
แต่มู่อี้รู้เพียงว่าต้นไผ่แห่งชีวิตได้ยอมรับเขาเป็นเจ้าของมันแล้ว และนับแต่นี้ต่อไปต้นไผ่แห่งชีวิตต้นนี้จะกลายเป็นอาวุธวิญญาณของเขาคนเดียวเท่านั้น ตราบใดที่ชื่อของเขายังสลักอยู่บนลําต้นของมันไม่ว่าใครจะขโมยต้นไผ่แห่งชีวิตไปก็ไม่มีทางใช้งานมันได้แน่นอน
ด้วยตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นมานั้นมู่อี้สามารถใช้พลังของต้นไผ่แห่งชีวิตได้ตามที่เขาต้องการ
แต่ในตอนนี้ต้นไผ่แห่งชีวิตเป็นทั้งสิ่งที่มีจิตวิญญาณและอาวุธวิญญาณ บางทีถ้าหากมู่อี้ศึกษาต่อไปเรื่อยๆ วันหนึ่งต้นไผ่แห่งชีวิตอาจจะทรงพลังยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้
“ในตอนนี้เจ้าพร้อมแล้ว ยกระดับพลังของเจ้าขึ้นเถอะ” มู่อี้ก็พูดออกมาทันที
ทันทีที่เขาพูดจบก็มีร่างหนึ่งที่ลอยออกมาจากต้นไผ่แห่งชีวิตนั่นก็คือ เนี่ยนหนิวเอ้อร์
ในตอนนี้ร่างกายของเด็กสาวไม่ได้เป็นเพียงแค่เด็กคนนึงอีกต่อไป ร่างกายของนางเริ่มมีส่วนเว้าส่วนโค้งปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนดังนั้นนางจึงลังเลที่จะออกมา จนกระทั่งมู่อี้พูดขึ้นมานางถึงจะยอมออกมา
เนี่ยนหนิวเอ้อร์เข้าสู่ร่างจริงของนางและเขี้ยวสีฟ้ากงอกออกมาจากปากของนางทําให้ดูน่ากลัวเล็กน้อย แต่ไม่ว่ายังไงแล้วสําหรับมู่อื่นางก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่งของเขาเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายที่เด็กสาวปลดปล่อยออกมานั้นดูเหมือนจะเริ่มควบคุมไม่ได้แล้ว นางไม่อาจควบคุมพลังในร่างกายของตัวเองได้อีกต่อไป กลับกันนางปล่อยให้พลังในร่างกายของตนเองนั้นเพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตู้ม!”
มันเหมือนกับภูเขาไฟที่ระเบิดออกมา ในตอนนี้ร่างของเด็กสาวลอยอยู่กลางอากาศ แสงจันทร์ที่ส่องลงมาเหนือศีรษะ ทําให้นางดูเหมือนกับเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์ เท้าของนางค่อยๆเหยียบลงมาบนพื้นดินช้าๆ มู่อี้และเนี่ยนหนิวเอ้อร์มองหน้ากันโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ถ้าหากไม่มีอุบัติเหตุอะไรอีกการยกระดับครั้งนี้ของเนี่ยนหนิวเอ้อร์น่าจะสําเร็จไปได้ด้วยดี เพราะพลังของนางนั้นก็ไม่มีจุดที่ติดขัดใดๆ สิ่งที่นางต้องการมีเพียงแค่เวลาเท่านั้น หลังจากได้รับคําแนะนําจากมู่ จนพลังพื้นฐานของนางสะสมไว้จนมากพอก็ถึงเวลาที่นางต้องยกระดับขึ้นไปแล้ว
หลังจากยกระดับขึ้นมาแล้วนั้นกลิ่นอายของเนี่ยนหนิวเอ้อร์เพียงอย่างเดียวก็ทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาณชั่วร้ายที่เขาต่อสู้ด้วยเมื่อครู่นี้เสียอีก ในตอนนี้ถ้าหากสู้กันจริงๆเขาก็ยังไม่อาจเอาชนะเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้เลย
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนเนี่ยนหนิวเอ้อร์คงทําได้เพียงเกาะอยู่ตามร่างกายของมู่อี้หลังจากที่นางปรากฏตัวออกมา แต่ในตอนนี้หลังจากออกมาแล้วนางก็รีบเข้าไปทักทายมู่อี้และรีบไปตรวจสอบต้นไผ่แห่งชีวิตทันที เพราะในตอนนี้รูปร่างของนางก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
หลังจากเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก ดังนั้นเด็กน้อยจึงไม่อยากปรากฏตัวออกมาให้เห็น และนางก็ไม่อยากให้ม่อี้เห็นตัวเองในสภาพนี้
มู่อี้ส่ายศีรษะเบาๆ ความคิดของเด็กหญิงน้อยนั้นเขาย่อมสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี
“วิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ที่นี่ถูกข้าสังหารไปแล้ว พวกเจ้าสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่หรือออกไปจากที่นี่ตามที่พวกเจ้าต้องการ ตราบใดที่พวกเจ้าไม่กระทําความชั่วร้ายอีก จากนี้อีกไม่นานกรรมดีและกรรมชั่วที่พวกเจ้าได้กระทําไปจะย้อนกลับมาหาพวกเจ้าเอง” มู่อี้เหลือบมองไปที่ทางเข้าของวัดเจี๊ยเซียวที่ยังคงเงียบสนิทและพูดออกมา เมื่อเขาพูดจบก็ออกไปจากที่นี่พร้อมกับต้นไผ่แห่งชีวิตทันที
ต้าหนิวก็เดินตามเขามาติดๆ หลังจากมู่อี้และต้าหนิวออกไปจากที่นี่แล้ว ทันใดนั้นสายลมที่รุนแรงก็พัดออก มาจากโถงบรรพบุรุษของวัดเจี๊ยเซียว ประตูและหน้าต่างทุกบานเปิดออกมาอย่างรุนแรงพร้อมกับมีเงาดําจํานวนมากที่ลอยออกมา
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับม่อี้ เป้าหมายของเขาถือว่าประสบความสําเร็จแล้ว ไม่เพียงแต่ทําให้ต้นไผ่แห่งชีวิตกลายเป็นอาวุธวิญญาณได้สําเร็จแต่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็สามารถยกระดับพลังของนางได้สําเร็จด้วยเช่นกัน แม้ว่าเขาจะต้องเสียเลือดไปจํานวนหนึ่งแต่ถ้าเทียบกันแล้วมันก็คุ้มค่า
“ท่านนักพรตเต๋!”
ก่อนที่จะกลับเข้าไปในบ้านตระกูลดัง ชื่ออู่ก็ก้าวเดินออกมาจากมุมมืดทันที ความจริงแล้วม่อี้ก็รู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้นมาตั้งนานแล้ว
“เจ้าหน้าที่ชื่อนี่ก็ดึกมากแล้วท่านยังไม่กลับไปอีกหรือ หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นี่อีก?” มู่ยิ้มองมาที่ชื่ออู่และถามออกมา
เขาไม่อาจสัมผัสถึงความชั่วร้ายจากชื่ออู่แต่ก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความดีด้วยเช่นกัน อีกฝ่ายเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
“ขอโทษที่ข้าต้องมารบกวนท่านและหวังว่าท่านนักพรตเต๋จะไม่ถือโทษโกรธเคือง” ชื่ออู่พูดกับมู่ลี้
“ท่านมีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ” มู่อี้ส่ายศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับถามออกมา อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังอารมณ์ดี ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่เสียเวลาพูดจาไร้สาระกับชื่ออ๋อยู่ที่นี่หรอก..
“ท่านนักพรตเต๋โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถอะขอรับ” ชื่ออัพดพร้อมกับคุกเข่าลงที่พื้นทันที
หลังจากได้ยินเช่นนี้ม่อี้ก็พยายามกลั้นหัวเราะให้ได้มากที่สุด แม้เขาจะคิดว่าชื่ออู่มาดักรอเขาอยู่ที่นี่จะต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอนแต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขอร้องให้เขารับไปเป็นศิษย์
อายุของชื่ออู่ก็น่าจะประมาณ 30-40 ปีแล้วสามารถเป็นพ่อของเขาได้เลย แต่อีกฝ่ายกลับมาคุกเข่าร้องขอให้เขารับไปเป็นศิษย์และต้องการบูชาเขาในฐานะอาจารย์จริงๆ
แม้ว่าจะไม่มีใครแก่เกินกว่าที่จะเรียนรู้ และม่อี้เองก็มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นอาจารย์ของอีกฝ่ายได้ แต่มู่อี้ก็ไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลยและแม้แต่ตัวชื่ออู่เองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นลูกศิษย์ของเขาด้วยเช่นกัน
เพียงแค่ช่วงอายุของอีกฝ่ายก็ล่วงเลยวัยที่เหมาะสมในการบ่มเพาะพลังแห่งจิตใจไปแล้ว แม้ว่าในตํานานจะมีชายคนหนึ่งที่เริ่มเข้าสู่เส้นทางการบ่มเพาะพลังแห่งจิตใจในช่วงวัยกลางคนและในที่สุดก็สามารถกลายเป็นเทพเซียนคนหนึ่งได้ แน่นอนว่าคําว่าเทพเซียนนี้ไม่ได้หมายถึงการได้ไปใช้ชีวิตอยู่บนสวรรค์ แต่มันเป็นเพียงแค่ชื่อเรียกระดับพลังของเขาเท่านั้น
แต่ในมุมมองของมู่อี้ ชื่ออู่ไม่ได้มีความพิเศษกว่าคนอื่นเลย เขาไม่ใช่คนที่พิเศษกว่าคนอื่นในรอบ 100 ปี หรืออะไรแบบนั้น ชื่ออู่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
“ลุกขึ้นเถอะขอรับ ข้าไม่อาจรับท่านเป็นศิษย์ได้” ม่อี้ส่ายศีรษะและพูดกับชื่ออู่ทันที
“ข้าขอร้องล่ะท่านนักพรตเต๋าโปรดให้โอกาสข้าสักครั้งหนึ่ง ให้โอกาสข้าได้เป็นผู้ติดตามของท่านก็ได้ขอรับ” ชื่อรีบตอบกลับมาทันที ความจริงแล้วนี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของเขา เขาเองก็รู้ดีว่ามู่อี้คงไม่ยอมรับตนเองไปเป็นศิษย์แน่นอน
แต่เขาก็เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ยอมถอยออกมาก้าวหนึ่งและบอกว่าตนเองขอเป็นแค่ผู้ติดตามก็ได้
“ผู้ติดตามของข้างั้นหรือ? ท่านอย่าทําแบบนั้นเลย” มู่อี้ส่ายศีรษะอีกครั้งและจากไปทันที
ชื่ออ๋อยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็พบว่าตรงหน้าของเขานั้นมีเงาดําขนาดใหญ่ขวางเอาไว้ และเมื่อ เขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นตาหนิวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาและจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ละสายตา
เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมาของตาหนิว ชื่ออู่ก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาได้หยุดเต้นไปแล้วและลมหายใจ ของเขาก็หายไปด้วยเช่นกัน
แม้เขาไม่คิดว่าตาหนิวจะโจมตีมาที่ตนเอง แต่เขาก็รู้ดีว่าตราบใดที่เจ้ายักษ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาต้องการ มันสามารถบดขยี้เขาได้ด้วยฝ่ามือเดียวของมัน
โชคดีที่ตาหนิวไม่ได้ทําอะไร ดูเหมือนว่ามันแค่ต้องการทําให้เขาหวาดกลัวเท่านั้นและเมื่อเห็นว่าเขาหวาดกลัวแล้วมันก็เดินจากไปทันที
หลังจากตาหนิวจากไปแล้วนั้น ชื่ออู่ก็นั่งลงกับพื้นและเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของเขา
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่งชื่ออู่ก็ถอนหายใจออกมา เขาลุกขึ้นมาจากพื้นและเดินออกไปจากที่นี่
แม้จะได้พูดคุยกันสั้นๆแต่ชื่ออู่ก็รู้สึกเข้าใจมู่อี้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่ชายหนุ่มยืมมือชายอ้วนเพื่อสังหารพ่อบ้านและหญิงชรา เขาก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนี้มีจิตใจที่หนักแน่นและยังเป็นคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอีกด้วย คําพูดและความคิดเห็นของคนอื่นๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของชายหนุ่มคนนี้ได้เลย
เดิมที่เขาแค่อยากลองพยายามดูแต่เมื่อมู่อี้ไม่ยินยอม เขาก็แค่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เศร้าโศกเสียใจเท่าไหร่นัก