Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 165
ตอนที่ 165 สังหารหมู่
“เจ้านักพรตชั่ว จงออกมารับความตายของเจ้าซะ”
เมื่อได้ยินเสียงที่ดังเข้ามาสายตาของมู่ลี้ก็เงยขึ้นจากหนังสือที่อยู่ในมือของเขาทันที นับจากวันนั้นก็ผ่านมา 2 วันแล้วแต่เด็กสาวก็ไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลยม่อรู้สึกกังวลว่านางจะเป็นอะไรหรือไม่ดังนั้นเวลาว่างส่วนใหญ่ของเขาในตอนนี้จะใช้ไปกับการศึกษาหนังสือลัทธิเต๋ที่ได้รับมาจากฉือกยด้วยความระมัดระวัง
แม้ว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะเก่ามากแล้วและไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับระดับพลังของเขาเลยแต่ในความคิดของมู่ลี้ภายในหนังสือเล่มนี้ก็มีข้อมูลต่างๆมากมาย
แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะไม่อาจช่วยเพิ่มพลังให้กับเขาได้แต่อย่างน้อยมันก็เป็นความรู้สําหรับเขาและสักวันหนึ่งมันอาจจะมีประโยชน์ขึ้นมาก็เป็นได้
ส่วนสถานการณ์ของเนี่ยนหนิวเอ้อร์เขาย่อมตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี อย่างน้อยในตอนนี้เด็กสาวก็ยังสบายดีและยิ่งเก็บตัวอยู่ในต้นไผ่แห่งชีวิตมากเพียงใดพลังของนางก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
“เจ้านักพรตชั่ว ถ้าหากเจ้ายังไม่ยอมออกมาอีก ข้าจะเผาโรงเตี้ยมแห่งนี้ซะ” เมื่อคนที่อยู่ข้างนอกยังไม่เห็นมู่อื้ออกมาจากโรงเตี้ยมก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที
เมื่อได้ยินเช่นนี้ม่อี้ก็แสยะยิ้มขึ้นมาด้วยเช่นกัน เขาปิดหนังสือในมือลงช้าๆและจากนั้นก็ออกจากห้องไปพร้อมกับตาหนิว
ส่วนต้นไผ่แห่งชีวิตนั้น ไม่รู้ว่ามู่ลี้ลืมหรือไม่ เขาตั้งมันเอาไว้บนโต๊ะภายในห้องและไม่ได้น่าออกมาด้วย
ในตอนนี้ภายนอกโรงเตี้ยมเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว เพราะหลายๆคนที่พักอยู่ในโรงเตี้ยมแห่งนี้ก็เริ่มกลัวว่า กลุ่มคนที่อยู่ภายนอกจะเผาโรงเตี้ยมขึ้นมาจริงๆจึงรีบหนีออกมา
แต่เมื่อได้เห็นว่าคนที่อยู่ข้างนอกโรงเตี้ยมเป็นใครแม้ว่าพวกเขาจะโกรธมากแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาและยังมีหลายๆคนที่รีบย้ายออกไปอาศัยอยู่ในโรงเตี้ยมแห่งอื่นเพราะพวกเขารู้ดีว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ตัวเองไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แน่นอน
มู่อี้ก้าวออกมาจากโรงเตี้ยมช้าๆและเขาก็รู้ดีว่าใครกันที่ประกาศว่าจะเผาโรงเตี้ยมแห่งนี้ อีกฝ่ายมีนามว่าชุ่ยเหิงเขาเป็นทรราชที่ตั้งตนปกครองพื้นที่บริเวณนี้
แน่นอนว่าคนชั่วก็ย่อมเป็นคนชั่ว แต่เขาก็ถือเป็นผู้มีอํานาจคนหนึ่งและใครที่ไม่เห็นด้วยกับเขาก็ถูกสังหารทันทีด้วยอํานาจปกครองของตนเองในตอนนี้ความหยิ่งผยองของเขาถึงเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในวันนี้การที่ม่อี้เดินทางเข้ามาในเมืองนี้ย่อมเป็นเหมือนกับการสร้างเสียงที่ทําให้พื้นที่รอบๆบริเวณนี้วุ่นวายขึ้นมาทันทีและเขาย่อมไม่สามารถปกปิดตัวตนได้อีกต่อไป เมื่อขี่ยเหิงได้ทราบเรื่องนี้เขาก็รู้ทันทีว่าสวรรค์ได้มอบโอกาสให้กับเขาแล้วแล้วเขาจะรออะไรอีกล่ะ?
ตามตํานานกล่าวไว้ว่าภายในเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองนั้นไม่ได้มีเพียงแค่สมบัติที่ล้ําค่าอย่างยาอายุวัฒนะหรืออาวุธวิเศษที่สามารถเอาชนะศัตรูทุกๆคนได้ ภายในนั้นยังมีสมบัติที่ล้ําค่าอีกมากมายรอให้ผู้ที่สามารถรวบรวมกุญแจได้ครบทั้ง 6 ดอกเข้าไปครอบครองเพียงแค่ข่าวลือเช่นนี้ก็ทําให้ทุกคนรู้สึกบ้าคลั่งขึ้นมาแล้วแต่ยังมีข่าวลืออีกว่าเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองนั้นมีอีกชื่อหนึ่งว่าเนินเขามังกรเหลืองว่ากันว่าภายในนั้นมีร่างของมังกรในตํานานฝังเอาไว้และยังมีมรดกแห่งมังกรที่กําลังรอผู้สืบทอดอยู่ผู้ที่ได้รับมรดกนั้นจะได้เป็นจักรพรรดิมังกรและอยู่เหนือทุกๆคนในโลกใบนี้
ข่าวลือเช่นนี้เป็นเหมือนกับการเติมเชื้อไฟให้กับโลกที่กําลังบ้าคลั่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ตั้งแต่ราชวงศ์ฉินล่มสลายไปนั้นชาวฮั่นทุกๆคนต่างก็รู้สึกโหยหาและในตอนนี้เมื่อโลกทั้งใบตกอยู่ในมือของชาวแมนจูจนตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นมาหลายๆคนก็พร้อมที่จะยืนหยัดต่อสู้และโค่นล้มราชวงศ์นี้ให้ได้
ถ้าหากว่ามีใครสามารถสืบทอดมรดกของจักรพรรดิมังกรได้จริงๆ เช่นนั้นแล้วคนคนนั้นก็จะมีโอกาสได้เป็นจักรพรรดิมังกรที่แท้จริง แม้ว่าข่าวลือนั้นจะเป็นเพียงแค่เรื่องโกหกแต่ความมั่งคั่งและกองกําลังที่แข็งแกร่งก็เป็นสิ่งที่จําเป็นสําหรับการโค่นล้มราชวงศ์ในปัจจุบันนี้
สําหรับจอมยุทธส่วนใหญ่ที่อยู่ภายในยุทธภพนั้นอาจจะไม่ได้มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นแต่การที่พวกเขาได้ครอบครองอาวุธวิเศษที่ทรงพลังหรือกองกําลังที่แข็งแกร่งจนสามารถโค่นล้มราชวงศ์ชิงและยึดครองโลกใบนี้ได้ก็ล้วนเป็นความฝันที่พวกเขาจินตนาการถึงเสมอ
พวกเขาย่อมไม่กล้าไปช่วงชิงกุญแจจากเมืองไปตี้ แต่อยู่ๆก็มีนักพรตเต๋ที่ยังอายุน้อยคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาพร้อมกับถือครองกุญแจเอาไว้ในมือ เพียงเท่านี้ก็ทําให้ทุกๆคนไม่อาจเก็บงําความโลภของตัวเองได้อีกต่อไป
ชุ่ยเพิ่งคิดว่าตนเองต้องโชคดีมากแน่ๆ เพราะก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่เขาได้ยินมาว่ากลุ่มโจรที่ดักปล้นกุญแจตามเส้นทางก่อนหน้านี้ต่างก็ตายไปหมดแล้วนั่นหมายความว่ากุญแจยังอยู่ในมือของนักพรตเต๋อายุน้อยคนนั้นในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทําก็มีเพียงสังหารนักพรตเตผู้นี้และก้าวเข้าสู่เส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลือง
ส่วนเรื่องที่จะมีผู้ที่ทรงพลังมากกว่ามาช่วงชิงกุญแจไปจากเขาอีกทีหรือไม่นั้น ชุ่ยเหิงไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยบางทีเขาอาจจะคิดว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาช่วงชิงเขาย่อมรักษากุญแจดอกนี้เอาไว้ได้แน่นอนความจริงแล้วคนส่วนใหญ่ก็มีความคิดเหมือนกับชัยเหิงพวกเขาคิดแค่ว่าจะต้องช่วงชิงกุญแจมาก่อนและหลังจากนั้นจะทําอย่างไรต่อก็ค่อยว่ากัน
มู่อี้ก้าวออกมาจากโรงเตี้ยมและเห็นชุ่ยเหิงที่อยู่ตรงหน้าเขา ด้านหลังของอีกฝ่ายนั้นสะพายหอกสั้นสีดําเอาไว้ 2 เล่ม คมหอกนั้นก็ยาว 1 ใน 3 ของความยาวหอกทั้งหมดแล้ว
ชุ่ยเหิงเป็นชายร่างสูงใหญ่ ดูมีพละกําลังมหาศาล แต่ความสูงใหญ่ของเขานั้นเทียบไม่ได้เลยกับตาหนิว
ม่อี้เดินออกมาจากโรงเตี้ยมพร้อมกับตาหนิวแล้วตอนที่เดินออกมานั้นผู้คนต่างก็หลีกทางให้กับเขาเพราะคนเหล่านั้นรับรู้ได้ว่าตาหนิวทรงพลังมากเกินไป แม้ว่ามู่จะเดินอยู่ตรงหน้าของตนเองก็ไม่มีใครกล้าลงมือ
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมู่ลี้ แต่ชุ่ยเหิงก็เคยเห็นภาพเหมือนของมู่อี้และต้าหนิวมาก่อนหน้านี้แล้วดังนั้นตอนนี้เขาจึงสามารถจําได้ในทันทีและดวงตาของเขาก็แสดงความปิติยินดีออกมาอย่างชัดเจน
“เจ้านักพรตชั่ว เจ้าได้สังหารพี่น้องของข้าไปถึง 16 คน ช่างเป็นคนที่ชั่วร้ายและน่ารังเกียจมากจริงๆ ในวันนี้ที่ข้าบุกมาที่นี่ก็เพื่อจะสังหารคนที่ชั่วร้ายผู้นี้และทําให้ความสงบสุขกลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้ง”ชุยเชิงจ้องมองมาที่ม่อี้และตะโกนออกมาทันที
“ล้างแค้นให้พี่น้องเรา!”
“ใช่สังหารเจ้านักพรตชั่วผู้นี้”
จากนั้นผู้คนที่อยู่รอบๆตัวเขาก็ร้องตะโกนออกมาทันที คนเหล่านี้เจตนาปลุกปั่นหรือตั้งใจสนับสนุนชุ่ยเหิงนั้นม่ไม่อาจรู้ได้เลย
เขาเพียงแค่จ้องมองชุ่ยเหิงที่อยู่ตรงหน้าตนเองเงียบๆและพูดว่า “การที่เจ้าต้องการแก้แค้นให้กับคนอื่นๆนั้นไม่ผิดแต่เจ้าต้องดูด้วยว่าพลังของตนเองนั้นมีอยู่เท่าไหร่ เมื่อแก้แค้นแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องเป็นฝ่ายที่ตายไปเสียเอง”
“ช่างหยิ่งยโสอวดดีเหลือเกินนะ เจ้าไม่รู้หรือไงว่าโลกใบนี้ย่อมไม่ขาดผู้ที่มีคุณธรรมในใจอยู่แล้วในวันนี้ข้าชุ่ยเหิงไม่ได้มาตัวคนเดียวแต่ยังมีพี่น้องของข้าอีกมากมายที่พร้อมจะทวงความยุติธรรมและล้างแค้นให้พี่น้องคนอื่นๆ” ชุ่ยเพิ่งพูดออกมาเสียงดัง
ก่อนหน้านี้ม่อี้ได้ยินมาว่าชายที่ชื่อว่า ชุ่ยเหิง ผู้นี้คือผู้ที่แข็งแกร่งและตั้งตนปกครองพื้นที่บริเวณนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่ฉลาดเจ้าเล่ห์พอสมควร เพราะไม่อย่างนั้นถ้าหากเขาเป็นคนโง่คงไม่อยู่รอดจนกลายเป็นคนใหญ่คนโตได้หรอก
บางครั้งชื่อเสียงก็ไม่ได้นําพาสิ่งที่ดีมาให้เสมอไป
ชุ่ยเหิงไม่อาจรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามจากมู่อี้เลยแต่เจ้ายักษ์ตัวใหญ่ที่อยู่ด้านหลังนั้นเขาก็รู้ดีว่าคงเอาชนะมันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน ชุ่ยเหิงชั่งน้ําหนักในใจ แม้ว่าเขาจะมั่นใจในตนเองแต่ถ้าหากเขาได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ครั้งนี้คงมีคนอื่นๆที่พร้อมจะแทงข้างหลังช่วงชิงอํานาจของเขาไปแน่นอน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดของเขาก็คือปลุกปั่นพี่น้องทุกๆคนให้ร่วมมือกันต่อสู้
ด้วยวิธีนี้เมื่อพี่น้องทุกๆคนร่วมมือกันจนกระจายความเสียหายไปถึงทุกคน หลังจากที่เขาสังหารมู่อี้และยักษ์ตนนั้นจนได้กุญแจมาแล้วก็ไม่มีใครสามารถฉวยโอกาสแทงข้างหลังเขาได้แน่นอน
“ข้าร่วมด้วย!”
หลังจากได้ยินคําพูดของชุ่ยเหิงทุกๆคนที่อยู่รอบๆก็ตอบกลับมาทันที เมื่อมีผู้นําแล้วพวกเขาก็พร้อมที่จะเป็นผู้ตามให้ ในความคิดของทุกๆคนนั้นไม่หลงเหลือเรื่องการหักหลังหรือแทงข้างหลังอีกต่อไป
“ข้าก็ด้วย!”
“ข้าจะสั่งสอนมันเอง”
“ทําไมฉางชีถึงมาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ?”
“ดูเหมือนว่าเจ้านักพรตชั่วนั่นจะเป็นรางวัลใหญ่พอสมควร”
การพูดคุยกันดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องแต่มู่อี้ก็เลือกฟังเฉพาะสิ่งที่เขาสนใจเท่านั้น จนกระทั่งเขาได้ยินชื่อของคนๆหนึ่ง ฉางชี ที่มีคนพูดถึงก่อนหน้านี้และรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
ฉางชีผู้นี้เป็นชายวัยกลางคน ร่างกายของเขาไม่ต่างอะไรไปจากคนธรรมดา ฝ่ามือของเขาว่างเปล่าห้อยแนบลําตัวไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติเลย มีเพียงแค่ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าปกติเล็กน้อยและท่าทีที่ดูสงบนิ่งเท่านั้นที่ทําให้เขาพิเศษกว่าคนอื่นๆ
“ขอบคุณสําหรับความช่วยเหลือของพี่ฉาง ในวันนี้พวกเราต้องร่วมมือกันเพื่อสังหารเจ้านักพรตชั่วผู้นี้!” ปุยเพิ่งเห็นฉางชีปรากฏตัวที่นี่สายตาของเขาก็หรี่ลงทันทีแม้ว่าเขาจะพูดออกมาด้วยท่าทีสึกเหิมแต่การปรากฏตัวของฉางชีก็ทําให้เขารู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาด้วยเช่นกัน
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเชิญทุกคนมาที่นี่เพื่อร่วมเป็นพลังให้กับตนเองแต่เขาก็ตั้งใจส่งคนเหล่านั้นออกไปเป็นแนวหน้าเพื่อตายเป็นคนแรกๆ เดิมทีเขาไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีใครมาร่วมมือกับเขาบ้างจนได้เห็นฉางชีปรากฏตัวขึ้นที่นี่ด้วย ชายคนนี้แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าเขาเลย
ฉางซีก็เหลือบมองมาที่ชุ่ยเหิงและพยักหน้าเบาๆ ความจริงแล้วตั้งแต่เขามาถึงที่นี่เขาก็เฝ้าจับตามองมู่มาโดยตลอด
แม้ว่าม่อี้จะไม่อาจรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามใดๆจากชายผู้นี้ และท่าที่ทุกอย่างของเขาไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาคนหนึ่งเลยแต่มู่อี้ก็เชื่อว่าฉางชีผู้นี้คงไม่ธรรมดาเหมือนที่เห็นแน่นอน ส่วนตาหนิวที่อยู่ด้านหลังม่อนั้นฉางชี ให้ความสนใจกับมันมาก เขารู้ดีว่าเจ้ายักษ์ตนนี้ต้องมีพละกําลังมหาศาลแต่ความเร็วคงไม่ได้มากเท่าไหร่
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้ายักษ์ตนนี้จะมีพลังมากเพียงใดก็คงไม่สามารถเอาชนะเขาได้แน่นอน
“น่าเสียดาย!” ในตอนนี้ระหว่างที่ทุกคนกําลังพูดคุยกันอยู่นั้น มู่อี้ก็ส่ายศีรษะเล็กน้อยและเปิดปากพูดออกมาทันที
คําพูดของเขาทําให้ทุกคนต้องตกตะลึงและไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร ยังหยิ่งยโสอวดดีได้อีกลั้นหรือ?
“เจ้านักพรตชั่ว เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” ชุ่ยเหิงตะโกนถามกลับมาทันที
“มีอะไรก็พูดออกมาซะ ก่อนที่พี่น้องทุกคนของข้าจะส่งเจ้าไปสู่ความตาย!”
ม่อี้หรี่ตาลงทันทีและคําพูดของเขาที่ตามมาก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ต้าหนิว ฆ่าพวกมันให้หมด!”
ม่อี้พูดออกไปทันที
เมื่อได้รับคําสั่งจากม่อี้แล้ว ต้าหนิวก็ก้าวออกไปข้างหน้าทันที พละกําลังอันมหาศาลของมันพุ่งเข้าไปกวาดทุกๆคนราวกับพายุที่ทรงพลัง!
“อ้าก!”
เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังของตาหนิวทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ตกตะลึงทันที ไม่ว่าพวกเขาพยายามป้องกันมากแค่ไหน แต่ก็ถูกการโจมตีเพียงครั้งเดียวทําให้กระเด็นออกไปอย่างรุนแรงแม้ว่ากุญแจดอกนี้จะสําคัญมากเพียงใดแต่ก็ คงไม่มีอะไรสําคัญเท่ากับชีวิตของตนเองหรอกใช่ไหม
เหล่าผู้คนที่ถูกความโลภทําให้ตาบอดต่างก็รู้สึกตาสว่างขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทั้งชุ่ยเหิงและฉางชีก็จ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แม้ว่าพวกเขาคิดเอาไว้แล้วว่าต้าหนิวต้องมีพละกําลังมหาศาลแต่ก็ไม่คิดว่าจะมหาศาลขนาดนี้ อย่างน้อยที่สุดหากพวกเขาสู้กับมันเพียงตัวคนเดียวคงไม่มีทางเอาชนะต้าหนิวได้เลยและถ้าหากถูกโจมตีกลับมาคงยากจะบอกได้ว่าจะเป็นเช่นไร
แต่ทั้งสองคนก็หันมามองหน้ากันทันที ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ได้อย่างชัดเจนและตัดสินใจร่วมมือกัน!
“ร่วมมือกันเถอะ เจ้ายักษ์ตัวนี้ยังถือว่าเชื่องช้าอยู่บ้าง พวกเราต้องร่วมมือกันและสังหารเจ้านักพรตชั่วก่อน”ชุ่ยเหิงยังคงเรียกม่อี้ว่าเจ้านักพรตชั่ว ดูเหมือนว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะทําให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง
คําพูดของเขาก็ทําให้สายตาของทุกๆคนเป็นประกายขึ้นมาทันที ในตอนที่ต้าหนิวเริ่มโจมตีก่อนหน้านี้ทุกๆคนก็กําลังคิดจะหนีออกไปจากที่นี่แล้ว แต่ในตอนนี้เมื่อชุ่ยเหิงและฉางชีร่วมมือกันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะพ่ายแพ้
“ฆ่ามัน!” ฉางชีตะโกนออกมา มือทั้งสองข้างของเขาร่ายรําด้วยท่าทางที่แปลกประหลาดและจากนั้นฝ่ามือ
ให้เห็น ทั้งสองข้างของเขาก็ย้อมไปด้วยสีแดงเลือดและบนผิวหนังของเขานั้นก็เหมือนจะมีเปลวไฟสีแดง
ในขณะเดียวกันขี่ยเหิงก็ยกมือขึ้นมาจากนั้นหอกทั้ง 2 เล่มที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ลอยมาที่มือทั้ง 2 ข้าง ของเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน