Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 178
ตอนที่ 178 ความโง่เขลา
“เอาหละ เช่นนั้นเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็รอดูเถอะว่าพี่ชายคนนี้จะล้างแค้นให้เจ้าอย่างไร”
เมื่อเห็นว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่ยอมกลับเข้าไปในต้นไผ่แห่งชีวิต มู่อี้ก็ไม่ได้บังคับนางเพียงแค่พูดต่อไปเบาๆ เท่านั้น
“นักพรตเต๋น้อย เจ้าอย่าทําอะไรโง่ๆจะดีกว่า” เสียงของนักพรตเต๋วัยกลางคนดังขึ้นมาอีกครั้งแต่ในครั้งนี้น้ำเสียงของเขาปราศจากความเมตตาใดๆ
“ท่านอาจารย์ขอรับ ในเมื่อเขาไม่ยอมถอยเช่นนั้นพวกเรา …” นักพรตเต๋อีกคนที่อยู่ข้างๆนั้นก็เข้ามากระซิบใกล้ๆหูของนักพรตเต๋วัยกลางคน แต่แม้ว่าอีกฝ่ายจะกระซิบเสียงที่ดังขึ้นมานั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากการตะโกนใส่ม่อี้เลย..
น่าเสียดายที่ครั้งนี้ม่อี้จูงมือเนี่ยนหนิวเอ้อร์และเดินเข้าไปหาพวกเขาทันที
มันอาจฟังดูแปลกประหลาดแต่ชาวบ้านที่ขวางทางอยู่ก่อนหน้านี้ต่างก็ล้มลงไปที่พื้นทันทีจนพื้นที่ที่มีคนยืนอยู่มากมายได้แหวกกลายเป็นทางเดินให้กับมู่ลี้
“ตึก ตึก ตึก!”
ม่อี้เดินจูงมือของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไปเรื่อยๆ มืออีกข้างหนึ่งของเขาถือร่มเอาไว้และเดินเข้าไปหานักพรตเต๋วัยกลางคนช้าๆ
“นักพรตเต๋น้อย เจ้าคิดจะทําอะไรกัน?” เมื่อเห็นลู่อี้กําลังเดินเข้ามาใกล้นักพรตเต๋วัยกลางคนก็หรี่ตาลงทันทีจากนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า “เจ้าไม่หวาดกลัวต่อท่านเทพเจ้าแห่งท้องน้ำหรือยังไง?”
“เทพเจ้าแห่งท้องน้ำหรือ?” มู่อี้แสยะยิ้มขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดูเหยียดหยาม บางทีที่นี่อาจจะมีเทพเจ้าแห่งท้องน้ำอยู่จริงๆแต่คงไม่ใช่เพราะจากคําพูดของนักพรตเต๋วัยกลางคนแน่นอน ในมุมมองของม่อี้นั้นสิ่งที่เขาต้องทําก็คือส่งนักพรตเต๋วัยกลางคนไปสู่ความตายเท่านั้น
ส่วนเรื่องการเซ่นสังเวยเนี่ยนหนิวเอ้อร์ให้แก่เทพเจ้าแห่งท้องน้ำเป็นเพียงการสนองความเห็นแก่ตัวของอีกฝ่ายเท่านั้น เพราะตราบใดที่ตาไม่บอดทุกๆคนก็จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์นั้นมีความพิเศษกว่าเด็กสาวคนอื่นๆ
และในสายตาของคนที่ชั่วร้ายบางคนนั้นเด็กสาวผู้นี้กลับกระตุ้นกิเลสตัณหาของเขาได้มากที่สุด
ในตอนนี้นักพรตเต๋วัยกลางคนถือว่าโชคดีมากแต่เขาก็โชคร้ายมากด้วยเช่นกัน
เขาโชคดีที่ตนเองได้มาพบเจอกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์และมู่ลี้ แต่โชคร้ายที่เขาคิดจะทําร้ายเนี่ยนหนิวเอ้อร์ต่อหน้ามู่อดังนั้นสิ่งที่รอเขาอยู่มีเพียงแค่ความตายเท่านั้น
“ถ้าหากว่าเจ้าสามารถอัญเชิญเทพเจ้าแห่งท้องน้ำขึ้นมาได้จริงๆ เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าได้ตายอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น” มู่อี้จ้องมองไปที่นักพรตเต๋วัยกลางคนและพูดขึ้นมา น้ำเสียงของเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะสามารถอัญเชิญเทพเจ้าแห่งท้องน้ำขึ้นมาได้หรือไม่ วันนี้นักพรตเต๋วัยกลางคนย่อมไม่อาจหลีกหนีความตายได้แน่นอน
ม่อี้ต้องการสังหารชายผู้นี้และไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่อาจหยุดยั้งเขาได้
“สามหาว” ครั้งนี้ไม่ต้องรอให้นักพรตเต๋วัยกลางคนตอบกลับมา เป็นนักพรตเต๋อีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเขาพูดขึ้นมาทันที “พวกเราไปจับตัวมันพร้อมๆกัน”
ทันทีที่นักพรตเต๋คนนั้นพูดออกมา นักพรตเต๋คนอื่นๆอีกประมาณ 7-8 คนก็เข้ามาล้อมม่อี้เอาไว้และจ้องมองเขาด้วยสายตาดุดัน
คนเหล่านี้คือลูกศิษย์และผู้ติดตามของนักพรตเต๋วัยกลางคนย่อมไม่มีทางเป็นคนดีได้แน่นอนแม้ว่าลึกๆแล้วพวกเขาเองก็อาจจะไม่รู้ว่านักพรตเต๋วัยกลางคนได้กระทําเรื่องที่เลวร้ายมากมายเพียงใดก็ตาม
และนักพรตเต๋วัยกลางคนที่เป็นผู้นําของคนกลุ่มนี้ก็ย่อมน่ารังเกียจและชั่วร้ายมากที่สุด
ถ้าหากพวกเขาไม่เข้ามาล่วงเกินมู่อี้เช่นนั้นแล้วมู่อี้ก็ย่อมไม่สนใจพวกเขาด้วยเช่นกัน ในโลกนี้มีผู้คนที่ชั่วร้ายอยู่มากมายเขาจะจัดการคนชั่วเหล่านั้นทั้งหมดได้อย่างไรกัน? แต่เมื่ออีกฝ่ายรนหาที่ตายเองเช่นนั้นเขาก็พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของอีกฝ่าย
เมื่อเห็นกลุ่มคนที่เข้ามาล้อมตนเองเอาไว้ม่อี้ก็ยิ้มมุมปากขึ้นมาทันที ต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ในมือขวาของเขาสะบัดออกไปทันทีแต่เมื่อต้นไผ่แห่งชีวิตที่กลายเป็นร่มกระดาษหลุดออกจากมือของมู่อี้นั้นมันก็ลอยอยู่กลางอากาศและไม่ได้หล่นลงมาบนพื้น
ม่อี้ไม่สนใจว่ามันจะทําให้ผู้คนที่อยู่ที่นี่รู้สึกตกตะลึงหรือไม่ เขาถือลูกกวาดที่ซื้อมาให้เด็กสาวเอาไว้ในมือและโยนออกไปทันที
“ปัง ปัง ปัง!”
นักพรตเต๋ทั้ง 7-8 คนกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว ลูกกวาดที่เขาโยนออกไปก่อนหน้านี้กระแทกเข้าไปที่ปากของคนเหล่านั้น
มู่อื้อยู่ในระดับไหนกัน แม้ว่าเขาจะลงมืออย่างเบาแรงที่สุดแต่ก็ไม่มีทางที่กลุ่มนักพรตเต๋ที่เป็นเพียงคนธรรมดาจะรับมือได้เลย แม้ว่านักพรตเต๋ทั้ง 7-8 คนนั้นจะปิดปากของตนเองเป็นอย่างดีแต่ลูกกวาดที่พุ่งเข้ามานั้นก็เข้าไปในปากพวกเขาอย่างง่ายดายนักพรตเต๋ทั้ง 7-8 คนกระเด็นลงไปที่พื้นอย่างพร้อมเพียงกัน ฟันของ พวกเขากระเด็นออกมาจากปากพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พร้อมกับใช้มือกุมเอาไว้ที่ลําคอของตนเองร่างกายของพวกเขากําลังสั่นและดูเหมือนพยายามขัดขืนต่ออะไรบางอย่างยากที่จะรอดชีวิตไปได้
นักพรตเต๋วัยกลางคนก็ไม่คิดว่าม่อี้จะทรงพลังขนาดนี้ เมื่อได้เห็นลูกน้องของตนเองล้มลงไปที่พื้นเขาก็รีบหันหลังและวิ่งหนีไปโดยไม่ลังเลทันที
แต่คิดว่าม่อี้จะปล่อยให้นักพรตเต๋วัยกลางคนผู้นี้รอดไปได้งั้นหรือ? เขาจ้องมองไปที่แผ่นหลังของนักพรตเต๋วัยกลางคนยิ้มอย่างเย็นชาและจากนั้นก็โยนต้นไผ่ที่อยู่ในมือของเขาออกไป
“ฉีก!”
ต้นไผ่ปักลงไปที่กระดูกสันหลังของนักพรตเต๋วัยกลางคนทันทีและทะลหน้าท้องของเขาออกไปทางด้านหน้า
“ตึก ตึก!”
เข่าอยู่
นักพรตเต๋วัยกลางคนล้มลงไปที่พื้นทันที ร่างกายของเขาเกือบจะกระแทกกับชายชราคนนบริเวณนั้น
ไม่ว่าชายชราที่พูดขึ้นมาก่อนหน้านี้หรือชาวบ้านคนอื่นที่กําลังคุกเข่าอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนพวกเขาไม่เข้าใจด้วยซ้ําว่ามันเกิดอะไรขึ้น นักพรตเต๋ทั้ง 7-8 คนนั้นต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้วนักพรตเต๋วัยกลางคนก็ล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับมีไม่ไผ่ที่ปักอยู่บนหลัง แม้ว่าเขาจะยังไม่ตายแต่ดูเหมือนจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทําให้ทุกๆคนต้องตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย ปลาที่กําลังนอนรอให้พวกเขาเชื่อดอยู่บนเขียงกลับกลายเป็นมังกรที่เข้ามาสังหารพวกเขาเอง จนกระทั่งตอนนี้ทุกๆคนต่างก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ
ไม่ว่าเทพเจ้าแห่งท้องน้ำจะรู้สึกโกรธหรือไม่ก็ตาม แต่ในตอนนี้ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของพวกเขามาถึงแล้ว
นักพรตเต๋น้อยผู้นี้สามารถสังหาร นักพรตเต๋ทั้ง 7-8 คนและนักพรตเต๋วัยกลางคนได้ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียวแล้วพวกเขาจะเหลืออะไร?
“ฆ่ามันซะ เร็วเข้า มันคือปีศาจแห่งท้องน้ำที่กลับชาติมาเกิดใหม่ มันมาที่นี่เพื่อทําลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เทพเจ้าแห่งท้องน้ำสร้างขึ้นมาตราบใดที่ทุกคนสามารถสังหารมันได้เทพเจ้าแห่งท้องน้ำก็พร้อมที่จะประทานความเจริญรุ่งเรืองให้กับทุกๆคนแน่นอน”เมื่อร่างกายของตนเองไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกความหวาดกลัวต่อความตายก็ทําให้นักพรตเต๋วัยกลางคนต้องหาวิธีเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณทันทีในตอนนี้เขาทําได้เพียงใช้ความโง่ของชาวบ้านเหล่านี้ซื้อเวลาให้ตัวเองเท่านั้น
แม้ว่ามันจะทําให้เขามีความผิดติดตัวไปด้วย แต่ถ้าหากเขาสามารถรอดออกไปจากที่นี่ได้ปัญหาทุกอย่างก็ยังแก้ไขได้
ส่วนลูกศิษย์ทุกๆคนที่ตายไปนั้น ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ย่อมสามารถหาลูกศิษย์คนใหม่ๆได้ตลอดเวลาความแค้นที่มีในวันนี้เขาจะตอบแทนให้เป็นสิบเป็นร้อยเท่าตราบใดที่เขาสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ในอนาคต
ทันทีที่นักพรตเต๋วัยกลางคนพูดออกมาเช่นนี้ความโกลาหลก็เกิดขึ้นทันที่ สายตาของชาวบ้านทุกๆคนที่มองไปที่ม่อี้ต่างก็แสดงความหวาดกลัวออกมาพวกเขาไม่ได้โทษตัวเองที่หลงเชื่อคําพูดของนักพรตเต๋วัยกลางคนแต่พลังของม่อี้มันเกินกว่าที่ทุกๆคนจินตนาการเอาไว้
ถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ปีศาจจริงๆ เช่นนั้นแล้วจะสามารถสังหารคน 7 คนด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียวได้อย่างไร? แม้แต่ยอดฝีมือที่ทุกคนเคยรู้จักก็ไม่สามารถทําแบบนี้ได้เลย?
สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นก็คือแม้แต่ร่มที่อยู่ในมือของเขาก็สามารถลอยได้ด้วยตัวมันเอง ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่ปีศาจแห่งท้องน้ำกลับชาติมาเกิดใหม่จริงๆ เช่นนั้นแล้วจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?
ดังนั้นทุกๆคนจึงเชื่อในคําพูดของนักพรตเต๋วัยกลางคนทันที แต่เมื่อคิดว่าจะต้องเข้าไปสังหารปีศาจแห่งท้องน้ำผู้นี้พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง พูดตามตรงพวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้นสิ่งที่เคยต่อสู้ด้วยก็มีเพียงแค่มนุษย์ด้วยกันเอง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ความกล้าหาญในจิตใจของ ทุกๆคนก็หายไปทันที
นักพรตเต๋วัยกลางคนเห็นว่าชาวบ้านกําลังลังเลใจอยู่ เขาก็หยิบกระดาษสีเหลืองปีกหนึ่งออกมาจากใต้ แขนเสื้อของตนเองและจากนั้นก็โยนขึ้นไปบนอากาศทันที กระดาษสีเหลืองปีกนั้นเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน อย่างรวดเร็ว
“ข้าได้ร้องขอต่อท่านเทพเจ้าแห่งท้องน้ำเพื่อส่งพลังศักดิ์สิทธิ์ให้แก่พวกเจ้าทุกคนแล้ว ในตอนนี้พวกเจ้า คือทหารแห่งเทพเจ้าและปีศาจแห่งท้องน้ำผู้นี้ย่อมไม่ใช่ศัตรูของพวกเจ้าอีกต่อไป” นักพรตเต๋วัยกลางคนสุม ไฟให้หนักขึ้นไปอีก
ปกติแล้วตราบใดที่สมองยังใช้การได้คงไม่มีใครหลงเชื่อคําพูดของนักพรตเต๋วัยกลางคนแน่นอน แต่น่า เสียดายที่ชาวบ้านเหล่านี้ต่างก็ถูกล้างสมองและทุกคนต่างก็เชื่อว่าเทพเจ้าแห่งท้องน้ำดํารงอยู่ที่นี่จริงๆ ควบคู่ ไปกับพลังแห่งปีศาจของมู่อี้และคําพูดของนักพรตเต๋วัยกลางคนที่พูดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ทุกๆคนต่างก็รู้สึกได้ว่า พลังในร่างกายของตนเองกําลังเพิ่มขึ้นมาราวกับว่าในตอนนี้พวกเขาได้กลายเป็นทหารแห่งเทพเจ้าจริงๆ
หลังจากคําพูดของนักพรตเต๋วัยกลางคนจบลง ชายหนุ่มมากมายที่คุกเข่าอยู่ก่อนหน้านี้ก็รีบยืนขึ้นมาทันที
“ช่างโง่เขลาจริงๆ!”
ม่อี้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ชายหนุ่มที่ลุกขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็ล้มลงไปที่พื้นอีกครั้ง และในครั้งนี้ สีหน้าของเขาก็ดูหวาดกลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก
สีหน้าที่ดูมีความสุขของนักพรตเต๋วัยกลางคนชะงักไปทันที เขาจ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูไม่อยากจะ เชื่อและท่าทีของเขาก็ไม่มีความหยิ่งผยองอีกต่อไป
“ไม่นะ ข้ายังไม่อยากตาย”
เมื่อเห็นม่อี้จ้องมองมาที่เขา นักพรตเต๋วัยกลางคนก็ตะโกนออกมาเสียงดังจากนั้นเขาก็พยายามดึงต้นไผ่ที่ ปักอยู่บนหลังของตนเองออกไป เขารู้ดีว่าที่ขาของตนเองไม่สามารถขยับได้นั้นเป็นเพราะต้นไผ่ตันนี้ ตราบใดที่ เขาสามารถดึงมันออกมาได้เขาก็จะสามารถวิ่งหนีได้อีกครั้ง
ในตอนนี้นักพรตเต๋วัยกลางคนมีเพียงความคิดเช่นนี้ในใจเท่านั้น เขาอยากจะวิ่งออกไปให้ไกลที่สุดและไม่ หันกลับมามองมู่ลี่อีกเลย
แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงดึงมากเพียงใดต้นไผ่ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อยราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของ เขาไปแล้ว เมื่อเห็นว่าการออกแรงไม่ได้ผลเขาก็พยายามใช้มีดตัดกระดูกของตนเองซึ่งมันทําให้เขารู้สึก เจ็บปวดจนร่างกายสั่นสะท้าน
“ข้าทําผิดไปแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะ ได้โปรด”
นักพรตเต๋วัยกลางคนจ้องมองมู่อี้ที่เดินจูงมือเนี่ยนหนิวเอ้อร์เข้ามาช้าๆและร่มที่อยู่เหนือศีรษะก็ขยับตาม มาด้วยเช่นกันแม้ว่าจะไม่มีใครถืออยู่เลย หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจ แม้ว่าเขา จะสามารถทําให้มนุษย์กระดาษลอยขึ้นไปบนสวรรค์ได้แต่นั่นก็เป็นเพียงการแสดงที่ใช้ตบตาผู้คนเท่านั้น
ร่มของมู่อี้ดูเหมือนจะมีมือที่มองไม่เห็นถือเอาไว้
เขารู้ดีว่ามันหมายความว่าอย่างไรและรู้ดีว่าตนเองได้ล่วงเกินบุคคลที่ไม่สมควรล่วงเกินไปแล้ว
“ปล่อยเจ้าไปงั้นหรือ? ปล่อยให้เจ้าไปทําชั่วในอนาคตงั้นหรือ?” มู่อี้พูดขึ้นมาอย่างเฉยเมย
“ไม่ขอรับ ไม่มีอีกแล้ว ข้าขอสาบานว่าข้าจะไม่หลอกลวงต้มตุ้นใครอีก” นักพรตเต๋วัยกลางคนส่ายศีรษะอยู่หลายครั้งและกล่าวคําสาบานออกมา
“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าว่าที่นี่มีเทพเจ้าแห่งท้องน้ำอยู่หรือไม่?” ม่อี้ถามขึ้นมาทันที
“ไม่มีขอรับ ข้าโกหกพวกเขา ข้าโกหกทุกๆคน” นักพรตเต๋วัยกลางคนรีบตอบกลับมาทันทีโดยไม่มีความลังเลใดๆ
“คนที่เจ้าบอกว่าจะสังเวยแด่เทพเจ้าก่อนหน้านี้ เจ้าทําอะไรกับพวกเขาบ้าง?” มู่ถามต่อ
“ข้า … ข้า …” นักพรตเต๋วัยกลางคนลังเลใจขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่าเขารู้ดีว่าคําถามนี้ยากที่จะตอบได้
“พูดมา!” มู่ลี้ขึ้นเสียงเล็กน้อยและนักพรตเต๋วัยกลางคนก็ตกตะลึงไปทันที
“ถ้าเป็นเด็กผู้ชายข้าจะพาไปขาย ส่วนเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงต่างก็ถูกพวกเขาข่มขืน” ท้ายที่สุดนักพรตเต๋วัยกลางคนก็พูดออกมาและชี้ไปที่ลูกศิษย์ของตนเองที่ตายไป เขาพยายามโยนบาปของตนเองให้คนอื่นอีกครั้ง
เพียงแต่การโกหกเช่นนี้ไม่ต้องถึงมือของมู่หรอกแม้แต่ชาวบ้านที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้ดีว่าเขาโกหกแน่นอนสายตาของทุกๆคนที่จ้องมองมาที่นักพรตเต๋วัยกลางคนต่างก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและยังมีหลายคนที่ร้องตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“คืนชีวิตลูกสาวของข้ามาซะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา