Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 182 เมืองจี้หนาน
หลังจากหวังเทาพูดจบมือของเขาก็ลูบไล้ด้ามหอกที่อยู่ในมือของตนเองเบาๆและสีหน้าของเขาก็เหมือนจะคิดอะไรอยู่
“ข้าจําได้ว่าในตอนที่ข้ายังเป็นเด็กนั้น ท่านพ่อหวงแหนหอกเล่มนี้มากและไม่ยอมให้ข้าได้สัมผัสมันเลย ข้าได้เห็นเขาเช็ดถูหอกเล่มนี้เป็นประจําทุกค่ําคืน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ท้ายที่สุดวันหนึ่งข้าก็ตัดสินใจขโมยหอกเล่มนี้ออกมาในตอนที่ท่านพ่อไม่ทันได้ระวังตัว”
เมื่อหวังเทาพูดถึงเรื่องนี้รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาทันที เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกมีความสุขกับช่วงเวลานั้น
“ตอนที่ข้าถูกจับได้ข้าคิดว่าท่านพ่อจะต้องโกรธและลงโทษข้าแน่นอน แต่กลับกลายเป็นว่าท่านพ่อแค่ถอนหายใจออกมาครั้งเดียวเท่านั้น และลูบศีรษะของข้าพร้อมกับถามว่าเมื่อโตขึ้นแล้วข้าอยากจะเป็นอะไร”
“ในตอนนั้นข้ายังเด็กและไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลย แต่ถึงอย่างไรความทะเยอทะยาน ในใจของข้าก็สูงมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงบอกกับท่านพ่อไปว่า เมื่อข้าโตขึ้นข้าจะเป็นขุนนางผู้ยิ่งใหญ่เหมือนกับท่านพ่อให้ได้”
“ในตอนที่ท่านพ่อได้ยินค่าตอบของข้านั้น สีหน้าของเขาไม่ได้ดูมีความสุขเลย และเขาก็ถอนหายใจออกมา ในตอนนั้นขาไม่รู้เลยว่าทําไมท่านพ่อถึงถอนหายใจออกมา จนกระทั่งวันนั้นวันที่ท่านพ่อมอบหอกเล่มนี้ให้กับข้าและสั่งให้ข้าหนีไป ข้าก็ตระหนักได้ทันทีว่าสิ่งใดกันที่เรียกว่าขุนนางผู้ยิ่งใหญ่”
“ในปัจจุบันนี้ฮ่องเต้อ่อนแอไร้ความสามารถ เหล่าปีศาจและคนชั่วกลับมายึดครองแผ่นดินอีกครั้ง กองกําลังของชาติบ้านเมืองอ่อนแออย่างยิ่งและปืนใหญ่ของพวกต่างชาติทั้งหลายก่าลังรอที่จะระเบิดประตูบ้านของพวกเรา พวกมันพร้อมที่จะเข่นฆ่า และปล้นชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพวกเรา คนส่วนใหญ่ในประเทศเลือกที่จะปิดหูปิดตาไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่หารู้ไม่ว่าภัยพิบัติกําลังเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ”
“ท่านพ่ออุทิศตนเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์มาโดยตลอดแต่กลับถูกใส่ร้ายโดยคนชั่วคนหนึ่ง แม้ว่าเขาสามารถหนีได้แต่เขาก็ยังเลือกที่จะตาย มันคุ้มค่าที่ไหนกัน?”
หวังเทายังคงพูดต่อไปองครักษ์ทั้งสองคนของเขานั้นก็เงียบอยู่ตลอดและดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าควรพูดกับนายน้อยของตัวเองเช่นไรดี
“โลกใบนี้ โลกใบนี้ เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?” ทันใดนั้นดวงตาของหวังเทาก็แสดงความโกรธแค้นออกมาและน้ําเสียงของเขาก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ
“นายน้อย ระวังด้วยขอรับ!”
องครักษ์ทั้งสองคนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันทีและรีบมองไปด้านหลังของตนเองอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ที่นี่ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วพวกเขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่
“ไม่ต้องกังวลหรอกท่านลงทั้ง 2 ท่าน ข้าเพียงแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
หวังเทายิ้มขึ้นมาอีกครั้งสีหน้าของเขาไม่มีความผิดปกติหลงเหลืออยู่อีกต่อไปราวกับว่าที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่การพูดเรื่อยเปื่อยจริงๆ
“นายน้อย นายท่านเสียชีวิตไปด้วยความคับแค้นใจต่อความอยุติธรรมที่ได้รับ ข้ารอคอยวันที่จะได้เปิดเผยเรื่องนี้ออกไปเมื่อพวกเราไปถึงเมืองหลวงปักกิ่ง เมื่อถึงตอนนั้นแล้วข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้กับนายท่านเองขอรับ” องครักษ์คนหนึ่งของเขาพูดขึ้นมาทันที
“เช่นนั้นแล้ว?” หวังเทาถามต่อ
“แล้ว?” องครักษ์คนนั้นก็ถามกลับมาทันที การทวงคืนความยุติธรรมกลับมาให้นายท่านของเขามันไม่สําคัญหรืออย่างไร?
“เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านลุงทั้งสองไปพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ” หลังจากพูดจบหวังเทาก็ยืนขึ้นและเดินออกไปพร้อมกับหอกในมือของเขา
ในตอนนี้สีหน้าขององครักษ์ทั้งสองคนแสดงความกังวลออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในห้องที่อยู่บนชั้น 2 ม่อี้ก็แสดงสีหน้าที่ดูแปลกประหลาดออกมา สายตาของเขาเบิกกว้างขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง จ้องมองออกไปในความมืดที่อยู่ภายนอกไม่มีใครรู้ว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่
ใน 2 วันต่อมาเรือก็แล่นไปตามแม่น้ําเหลืองได้อย่างราบรื่น หลังจากเรื่องราวการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนเนินดินใกล้ๆเมืองไคเฟิงกระจายออกไปก็ไม่มีใครเข้ามารบกวนพวกเขาอีก ราวกับว่าโลกใบนี้ได้สงบนิ่งไปทันที แต่การสงบนิ่งเช่นนี้เขาคิดว่าจะต้องมีคลื่นลูกใหญ่ที่ตามมาหลังจากนี้แน่นอน
หลังจากเข้ามาสู่มณฑลซานตงเรือของพวกเขาก็ถูกโจมตีหลายครั้งแต่ทุกๆครั้งมู่ไม่จําเป็นต้องลงมือเองเลย เพียงแค่หวังเทาและองครักษ์ทั้งสองคนของเขาก็มากพอที่จะเอาชนะศัตรได้ แม้ว่าจะมีศัตรูคนหนึ่งที่ลอบขึ้นมาบนเรือเงียบๆ แต่ก็โดนเนี่ยนหนิวเอ้อร์สังหารไปทันที
ดังนั้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ม่อี้ก็เก็บตัวบ่มเพาะพลังแห่งจิตใจของเขามาโดยตลอด ในตอนนี้ถ้าหากว่าเขาต้องการเขาก็สามารถเปิดประตูไปสู่ก้าวที่ 3 ได้แต่มู่อี้ก็ไม่ได้รีบร้อนและพยายามบ่มเพาะรากฐานของตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ รอจนกว่าพลังชีในร่างกายของเขาจะสะสมได้มากกว่านี้
ในที่สุดเรือของพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองจี้หนาน ตอนนี้ม่อี้มีตัวเลือก 2 ข้อ ข้อแรกคือเดินทางจากเมืองจี้หนานไปยังเมืองฉางโจว ส่วนอีกข้อคือเดินทางผ่านเมืองจีหนานและมุ่งลงไปที่เมืองปินโจวที่เดียว
ตัวเลือกทั้ง 2 ข้อนี้ดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างอะไรมากนัก แต่เพราะเมืองหนานเป็นเมืองใหญ่และมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง และพวกเขายังต้องผ่านเมืองเต่อโจวไปอีกครั้งก่อนจะไปถึงเมืองฉางโจว
ส่วนการเดินทางไปที่เมืองปืนโจวนั้นสามารถตรงไปที่เมืองฉางโจวได้เลย แต่ก็ต้องเสียเวลาอยู่บนเรือล่านี้นานขึ้นไปอีก
ดังนั้นเมื่อมาถึงเมืองจี้หนาน พ่อบ้านจึงให้ม่อี้เป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้
“เราจะลงจากเรือที่เมืองจี้หนาน” ม่อี้เหลือบมองมาที่ตาหนิวที่เริ่มมีอาการอ่อนเพลียและพูดขึ้นมาทันที
ตั้งแต่เขาขึ้นมาบนเรือล่านี้ต้าหนิวก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องมาโดยตลอด เห็นได้ชัดว่าพื้นที่บนเรือนั้นไม่เหมาะสมสําหรับการเคลื่อนไหวของมันอย่างยิ่ง แม้แต่ในตอนที่สัตว์ประหลาดปรากฏตัวขึ้นมาในคืนนั้นมันก็ทําได้เพียงเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อเขาสามารถลงจากเรือล่านี้ได้ ม่อี้ก็ย่อมไม่ปล่อยให้ต้าหนิวต้องทรมานต่อไปแน่นอน
หลังจากได้ยินคําพูดของมู่อี้ สายตาของตาหนิวก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
เมื่อได้ยินคําตอบของมู่ลี้ พ่อบ้านก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี หลังจากรับค่าสั่งจากฉือเล่อมาเขาก็คิดมาโดยตลอดว่าภารกิจของตนเองนั้นจะต้องอันตรายและไม่มีทางจบลงง่ายๆ แต่ไม่คิดเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่นจนเขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อ
แม้ว่าจะมีศัตรูที่ปรากฏตัวขึ้นมาระหว่างทางบ้างพวกเขาก็สามารถกําจัดศัตรูเหล่านั้นออกไปได้อย่างรวดเร็ว นอกจากเจ้าสัตว์ประหลาดของเทพเจ้าแห่งท้องน้ําที่ ปรากฏตัวขึ้นในคืนนั้นแล้วการเดินทางครั้งนี้ถือว่าราบรื่นมาก
ในวันนี้เมื่อลู่อี้ตัดสินใจลงจากเรื่อภารกิจของเขาก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว เขาต้องกลับไปที่เมืองลั่วหยางเพื่อรายงานเรื่องนี้และรับรางวัลของตนเอง แต่สิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินตลอดการเดินทางที่ผ่านมานั้นย่อมทําให้เขารู้สึกประทับใจไม่รู้ลืมแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสาวที่งดงามและน่ารักคนนั้น น่าเสียดาย…
พ่อบ้านส่ายศีรษะและทําได้เพียงถอนหายใจออกมาเท่านั้น
“เชิญท่านนักพรตเต๋ไปพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ ข้าจะไปเรียกรถม้าเพื่อพาท่านนักพรตเต๋าเดินทางต่อไปยังเมืองฉางโจวเอง” พ่อบ้านรีบพูดขึ้นมาทันที
ตามที่ฉอเล่อสั่งเอาไว้เขาต้องคอยดูแลม่อี้และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตามไปถึงเมืองฉางโจวแต่เขาก็ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้าจะเดินเท้าไปที่เมืองฉางโจว” มู่อี้ส่ายศีรษะและตอบกลับมาทันที
“เดินเท้าหรือขอรับ?” พ่อบ้านจ้องมองมาที่ม่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูประหลาดใจ เมืองหนานนั้นอยู่ห่างจากเมืองฉางโจวหลายร้อยลี้ การเดินทางด้วยเท้าเปล่าคงใช้เวลานานมากแน่นอน
แต่มอี้ก็ไม่ได้ให้โอกาสเขาพูดอะไรกลับมาและหันไปพูดกับตาหนิวก่อนจะเดินลงจากเรือไปทันที
เมื่อม่อี้ตัดสินใจลงจากเรือตรงนี้ หวังเทาและองครักษ์ทั้งสองคนของเขาก็ย่อมต้องตามไปด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าม่อี้และคนอื่นเดินลงไปจากเรือแล้ว พ่อบ้านคนนั้นก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที “แล้วเด็กสาวคนนั้นหายไปไหนกัน?”
ในตอนนี้พ่อบ้านเห็นว่ามีเพียงเจ้ายักษ์ที่ชื่อว่าตาหนิวเท่านั้นที่อยู่ข้างๆม่และเด็กสาวที่ขึ้นเรือมาก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นนางเลย
พ่อบ้านรีบวิ่งกลับเข้าไปบนเรืออย่างรวดเร็วและแม้ว่าเขาจะตามหาทั้งชั้น 1 และ ชั้น 2 ของเรือหรือแม้แต่บริเวณห้องเก็บของใต้เรือเขาก็ไม่เห็นร่องรอยของเด็กสาวเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาซีดในทันที
“ช่างเป็นคนที่ชั่วร้ายจริงๆ”
พ่อบ้านส่ายศีรษะและความประทับใจสุดท้ายที่เขามีต่อม่ได้หายไปแล้ว
เมื่อเทียบกับพ่อบ้านแล้วหวังเทาและองครักษ์ทั้งสองคนของเขาสามารถเก็บอารมณ์ได้ดีกว่า หลังจากเนี่ยนหนิวเอ้อร์หายตัวไปพวกเขาก็รู้สึกสงสัยเช่นกันแต่ก็ไม่ได้แสดงความผิดปกติใดๆออกมา
ในตอนนี้พวกเขาต้องรวมกลุ่มเดินทางกันและถือเป็นกลุ่มที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
นักพรตเต๋า ยักษ์ ชายหนุ่ม และองครักษ์
ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะผ่านไปที่ใดผู้คนต่างก็ให้ความสนใจพวกเขาอยู่เสมอ แต่หวังเทาก็ไม่เข้าใจว่าทําไมม่อี้ถึงเลือกที่จะเดินทางต่อด้วยการเดินเท้า ทําไมไม่จ้างรถมาสักคัน? ไม่เพียงแค่สะดวกสบายกว่าเท่านั้นแต่ยังลดปัญหาไปได้มากด้วยเช่นกัน
ต้องรู้ก่อนว่าในตอนนี้ม่อี้ถือเป็นคนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง การต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าชื่อเสียงของมู่อี้กระจายออกไปมากเพียงใด ทุกๆคนต่างก็รู้ว่าในตอนนั้นเขาเดินทางจากเมืองลั่วหยางเพื่อไปยังเมืองไคเฟิงและกว่าจะมาถึงเมืองจี้หนานนั้นพวกเขาต่างก็ได้เผชิญหน้ากับศัตรมากมาย การที่พวกเขาเลือกที่จะเดินเท้าไปตามท้องถนนคงต้องเผชิญหน้ากับศัตรูอีกมากมายแน่นอน
ดังนั้นในสายตาของหวังเทาการกระทําของมู่ในตอนนี้ถือเป็นการมั่นใจในตนเอง และหยิ่งผยองจนเกินไป เมื่อผู้คนรู้ว่าพวกเขากําลังเดินทางไปยังเมืองจี้หนานทุกๆคนต่างก็ต้องรีบเดินทางไล่ตามมาอย่างแน่นอน
แต่หวังเทาก็ไม่โง่พอที่จะพูดสิ่งที่เขาคิดออกไป เขาท่าได้เพียงทําตามที่ม่อี้ต้องการเท่านั้นแม้ว่ามันจะทําให้เขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากมายก็ตาม
ในเมื่อเขากล้าไปยังเมืองหลวงปักกิ่งเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับท่านพ่อแล้ว เขาย่อมต้องมีหลักฐานอยู่ในมือของตนเอง ก่อนหน้านี้เขาถูกศัตรูไล่ล่าจนต้องมาขอ
พักพิงกับฉือเล่อ ในตอนนี้เขาได้เดินทางมาถึงเมืองจี้หนานแล้ว แม้ว่าจะอยู่ไกลจากเมืองลั่วหยางมากแต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าศัตรูของเขาจะยอมวางมือ
เมื่อเหลือบมองไปที่ม่อี้และเจ้ายักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆเขา หวังเทาก็เก็บความกังวลใจของตัวเองกลับไปทันที เขาเชื่อว่าแม้ศัตรูจะหาตัวพวกเขาเจอแต่ก็คงทําอะไรเขาไม่ได้แน่นอน
ความจริงแล้วมันก็เป็นไปอย่างที่หวังเทาคิดเอาไว้ เมื่อมีอี้และต้าหนิวปรากฏตัวออกมานั้นพวกเขาก็ถูกทุกๆคนที่อยู่ในบริเวณนี้จับตามองทันที ข่าวการมาถึงของพวกเขากระจายออกไปอย่างรวดเร็วและเหล่าคนใหญ่คนโตที่อาศัยอยู่ในเมืองหนานต่างก็ทราบเรื่องนี้
อย่าคิดว่าจะสามารถปิดบังข่าวใหญ่แบบนี้ได้ มันอาจจะเป็นไปได้ที่ปิดบังข่าวสารต่างๆจากคนธรรมดาเพราะคนเหล่านั้นต่างก็ไม่เคยออกจากเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่เลย แต่สาหรับคนใหญ่คนโตเหล่านั้นไม่ว่าโลกใบนี้จะมีการเคลื่อนไหวเช่นไรพวกเขาย่อมรู้ก่อนคนอื่นเสมอ
ก่อนหน้านี้ข่าวเรื่องกุญแจของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองใหญ่โตปานนั้น พวกเขาจะไม่ทราบได้อย่างไร?
และข่าวเรื่องลูกชายของขุนนางใหญ่ถูกสังหารไปก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ตามข่าวเรื่องกุญแจของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองมาติดๆ หลังจากนั้นมู่อี้ก็เดินทางออกมาจากมณฑลเหอหนาน แต่ดูเหมือนว่าอิทธิพลของขุนนางใหญ่คนนั้นจะยังไม่มาถึงมณฑลซานตงแห่งนี้
“ดูเหมือนว่าบุตรชายของขุนนางผู้นั้นจะปรากฏตัวขึ้นมาแล้วนะ ตอนนี้เขาอยู่ใกล้กับเมืองจี้หนานชายแดนของประเทศจีน ย่อมไม่มีทางให้เขาหนีไปไหนได้อีก”
ในคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในเมืองจี้หนาน หยางหยินจ้องมองไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าเขาและพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงที่ดูมั่นใจ
“ระวังตัวด้วย ดูเหมือนว่าในตอนนี้ผู้ที่อยู่เคียงข้างเขาจะเป็นนักพรตปีศาจผู้นั้น พวกเราคงไม่อาจเอาชนะได้ง่ายๆแน่นอน” ชายอีกคนย้ําเตือนเขา
“นักพรตปีศาจงั้นหรือ? ดูเหมือนข่าวลือที่ว่าเขาคือผู้ครอบครองกุญแจของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองจะเป็นความจริงสินะ?” หยางหยินถามกลับมา
“ใช่แล้วเป็นความจริงแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด 2 คนนี้ถึงเดินทางด้วยกันก่อนหน้านี้ข้าได้ส่งคนไปโจมตีพวกเขา 2 ครั้งแต่ก็ล้มเหลวทั้ง 2 ครั้ง” ชายคนนั้นตอบกลับมา
“หนี้ ไม่ว่านักพรตเต๋คนนั้นจะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่ถ้าหากชื่อเสียงของเขาโด่งดังถึงขนาดนี้? ก็คงถึงเวลาที่ต้องบดขยี้เขาไปด้วยแล้ว” หยางหยินพูดอย่างตรงไปตรงมา สําหรับเรื่องของกุญแจของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่ทราบเรื่องนี้
เพราะมีข่าวลือมากมายที่บอกว่าเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองมีทรัพย์สมบัติมากมายอยู่ภายในนั้นและยังมีร่างของมังกรในตํานานด้วยเช่นกัน ใครก็ตามที่ได้รับการสืบทอดจิตวิญญาณมังกรก็จะได้เป็นจักรพรรดิมังกรที่แท้จริง
โลกใบนี้จะไม่เกิดความวุ่นวายขึ้นมาได้อย่างไรกัน? เพียงแค่มันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
ถ้าหากเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองคือสิ่งที่ล้ําค่าจริงๆ เช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดมือไปแน่นอน
ชายที่อยู่ตรงหน้าหยางหยินอยากจะเตือนเขาแต่ก็ไม่รู้จะอธิบายพลังของมู่ออย่างไรดี แม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างอี้กับศาลาแปดทิศด้วยตัวเอง แต่เขาก็ไปตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้นและความเสียหายที่เกิดขึ้นก็มากเกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก
ถ้าหากไม่ใช่เพราะคําสั่งที่ได้รับมาเขาคงถอนตัวออกจากเรื่องนี้ไปแล้ว