Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 184 สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
“ไปกันเถอะ!”
ม่อี้พูดขึ้นมาเป็นคนแรกและมุ่งหน้าเข้าไปหากองทัพของราชวงศ์ชิงที่อยู่ตรงหน้าเขาทันที
ตําหนิวย่อมตามมาอยู่แล้วแม้ว่าที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นคมดาบหรือกองเพลิงมันย่อมไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดทั้งสิ้น บางทีในใจของมันนั้นมันอาจจะยังไม่รู้เลยว่าความหวาดกลัวคือสิ่งใด
หวังเทาสูดหายใจเข้าลึกๆ น่หอกของเขาออกมาจากห่อผ้า กาแน่นเอาไว้ในมือ และวิ่งตามออกมาทันที
ส่วนองครักษ์ทั้งสองคนนั้นก็วิ่งตามออกมาด้วยเช่นกัน พวกเขาตามขนาบข้างหวังเทาเอาไว้ ทั้ง 3 คนยืนกันเป็นค่ายกลสามเหลี่ยมขนาดเล็กเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้น
“ช่างกลนักนะ!”
หยางหยินจ้องมองไปที่ม่อี้และคนอื่นๆที่กําลังพุ่งเข้ามาหากองทัพของเขา แม้ว่าพวกเขาจะมีกองพันทหารจํานวนมากกว่า 500 คนแต่อีกฝ่ายก็กล้าที่จะพุ่งเข้ามาเผชิญหน้าโดยตรง ความกล้าหาญเช่นนี้แม้แต่เขาก็ต้องรู้สึกชื่นชม
อย่างน้อยในความคิดของหยางหยิน ไม่ว่าจะเป็นใคร วันนี้ก็ยากจะหนีรอดไปได้แน่นอน
ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆจนไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของหยางหยินและทหารคนอื่นๆที่อยู่แถวหน้าได้
“ทุกคนจงฟังข้า โจมตีเข้าไป!”
ในตอนที่ม่อี้เข้ามาอยู่ในระยะประมาณ 20 เมตร หยางหยินก็ยกดาบในมือของตนเองขึ้นมาทันที
“ฆ่าพวกมันทุกคน!”
ทหารทั้ง 500 คนตะโกนขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน เสียงของพวกเขานึกก้องไปจนถึงท้องฟ้า
ถ้าหากเป็นจอมยุทธคนอื่นๆน่ากลัวว่าคงจะหวาดกลัวและสูญเสียความกล้าหาญไปแล้วแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้ศัตรูของพวกเขาคือม่อี้และจิตใจของมู่อี้ก็แข็งแกร่งดุจหินผาไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
แม้จะรับรู้ได้ถึงจิตสังหารของศัตรูแต่ม่อี้ก็ยังคงพุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ช่วงเวลานี้มู่อี้เป็นเหมือนดาบที่แหลมคมในสายตาของทุกๆคน
ด้วยค่าสั่งของหยางหยินทหารจํานวนมากก็พุ่งตัวออกไปทันที พวกเขาทั้งหมด ต่างก็สวมชุดเกราะถือหอกอยู่ในมือ และที่บริเวณปลายหอกก็มีธงประดับเอาไว้ ทหาร 5 คนรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่ง จากนั้นก็เข้ามาล้อมโจมตีมอี้และคนอื่นๆทันที
ต่อจากนั้นทหารทั้ง 500 คนก็เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพียงกัน การเคลื่อนไหวของพวกเขาเหมือนมวลน้ําอันมหาศาลของแม่น้ําเหลืองที่พร้อมจะโหมกระหน่ําทําลายทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าใครที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต้องรู้สึกตกตะลึงแน่นอน
ที่นี่คือสนามรบและนี่ก็ถือเป็นกลยุทธ์ทางการรบอย่างหนึ่ง กองพันที่มีจํานวนคนมากกว่า 500 คนนี้ ยากที่จะจินตนาการถึงความบ้าคลั่งเมื่อทั้ง 500 คนโจมตีเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ไม่ว่าจะอธิบายด้วยค่าพูดมากเพียงใดก็คงไม่อาจอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้แน่นอน หลังจากได้รับรู้ถึงแรงกดดันที่เกิดขึ้นแม้แต่มอี้ก็ดูวิตกกังวลขึ้นมา ส่วนพวกหวังเทานั้นพวกเขาหน้าซีดขึ้นมาทันที แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ได้หนีไปไหนและกําหอกที่อยู่ในมือให้แน่นมากยิ่งขึ้น
ม่รู้ดีว่าถ้าหากเขาพุ่งเข้าไปปะทะตรงๆพวกเขาจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอน และยากที่จะถอนตัวกลับมาได้ ดังนั้นเขาต้องทําทุกอย่างเพื่อไม่ให้ทหารเหล่านี้เข้ามาประชิดตัวเขาได้เด็ดขาด
เมื่อระยะห่างทั้งสองฝ่ายเหลืออยู่ประมาณ 10 เมตร ในที่สุดเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆและยันต์สายฟ้า 2 แผ่นก็ลอยออกไปจากมือของเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ตู้ม!”
เมื่อเสียงระเบิดดังลั่นขึ้นมานั้นสายฟ้า 2 เส้นก็ผ่าลงมาเหนือศีรษะของกองทหารเหล่านั้นทันที นี่คือการเปิดฉากโจมตีของสงครามครั้งนี้
เมื่อแสงสว่างจ้าของสายฟ้าหายไปทหารจํานวนหลายสิบคนที่บุกเข้ามาก่อนหน้านี้ก็เหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ยังยืนได้อยู่ส่วนที่เหลือต่างก็นอนอยู่บนพื้น สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันนี้ทําให้ทหารเหล่านั้นต่างก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา แม้ว่าพวกเขาจะไม่หวาดกลัวต่อความตายแต่พวกเขาก็ยังมีความกลัวอยู่ในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังแห่งสวรรค์เช่นนี้
ความกล้าหาญของทหารทุกๆคนถูกสายฟ้าทั้ง 2 เส้นที่ผ่าลงมาทําลายไปทันที และความเป็นระเบียบวินัยของพวกเขาก็เริ่มถูกทําลายไปด้วยเช่นกัน
ม่อี้จ้องมองผลของยันต์สายฟ้าทั้ง 2 แผ่นแต่เขาก็ยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ถ้าหากอีกฝ่ายเข้ามาใกล์ยิ่งกว่านี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะต้องมากกว่านี้แน่นอน คนมากกว่าครึ่งจะต้องตายไปทันที่ส่วนที่เหลือก็ไม่สามารถต่อสู้ได้อีก
แม้ว่ายันต์สายฟ้าจะทรงพลังมากเพียงใดแต่ก็เรียกสายฟ้าได้แค่เพียงเส้นเดียวเท่านั้น เมื่อต้องใช้สายฟ้าโจมตีคนจํานวนมากพลังของสายฟ้าก็จะถูกลดทอนลงไปอีก
ดังนั้นฟูอี้รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะกําจัดศัตรูทั้งหมดด้วยยันต์สายฟ้าที่เขามี แม้ยันต์สายฟ้าทั้ง 2 แผ่นของมู่จะสังหารศัตรูไปได้แค่ไม่กี่คนแต่อย่างน้อยมันก็ทําให้สถานการณ์ของสนามรบแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปทันที
ในขณะที่มู่อี้เรียกสายฟ้าออกมานั้น สายตาของหยางหยินก็หรี่ลงทันที เขาคิดมาตลอดว่าการที่อีกฝ่ายสามารถเรียกสายฟ้าออกมาได้เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้เห็นด้วยตาของตนเอง โชคดีที่เขาไม่ได้เป็นแนวหน้าที่บุกเข้าไปไม่ อย่างนั้นแล้วอาจจะเป็นเขาที่ต้องตายเพราะสายฟ้าที่ผ่าลงมานี้
แม้ว่าหยางหยินจะมั่นใจในตนเองแต่ก็ไม่ได้มั่นใจในตนเองจนตาบอดหูหนวกไม่สนสิ่งใด ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจนํากองพันทหารราบออกมาทั้งหมด ไม่อย่างนั้นแล้ววันนี้เขาต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่ๆ
“สังหารศัตรูได้ 1 คน ข้าจะมอบรางวัลให้พวกเจ้าเป็นพันเท่า สังหารนักพรตปีศาจผู้นั้นได้ ข้าจะมอบรางวัลใหญ่ให้กับพวกเจ้า”
หยางหยินตะโกนออกไปทันที เขารู้ดีว่าการปลุกใจทหารเหล่านี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าเงินและเกียรติยศ และสิ่งที่เขาพูดไปนั้นย่อมกระตุ้นความปรารถนาของทหารทุกๆคนได้แน่นอน
หลังจากหยางหยินตะโกนออกไปนั้น สายตาของทหารทุกๆคนที่ดูหวาดกลัวก็เป็นประกายขึ้นมาทันที สีหน้าของพวกเขากลับมามั่นใจอีกครั้ง
“ฆ่ามัน!”
เสียงตะโกนของทหารจํานวนมากดังขึ้นมาและพวกเขาก็พุ่งเข้ามาหาลู่อี้ด้วยความเร็วที่มากยิ่งขึ้น ในตอนนี้ม่อี้เป็นเหมือนกับกองเงินกองทองในสายตาของพวกเขา 12,000 เหรียญทอง มากพอที่จะทําให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่ต้องเอาชีวิตตนเองไปเสี่ยงกับอันตรายใดๆอีก
“ไป” มู่อี้พูดขึ้นมาทันที แม้ว่าเสียงของเขาจะโดนเสียงตะโกนของทหารจํานวนมากกลบไป แต่ก็ยังชัดพอที่ตาหนิวจะได้ยิน
หลังจากได้รับค่าสั่งจากอี้แล้ว ต้าหนิวก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มันตรงเข้าไปหาเหล่าทหารที่อยู่ตรงหน้าของมันทันที
“ตู้ม!”
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจตาหนิวก็จับทหารคนหนึ่งฟาดลงกับพื้นอย่างบ้าคลั่งหอกดาบที่แหลมคมจํานวนมากนั้นไม่อาจทะลุผ่านผิวหนังของตาหนิวไปได้เลย และเมื่อร่างกายที่ใหญ่โตของต้าหนิวพุ่งเข้าไปกระแทกอย่างรุนแรงนั้นทหารจํานวนมากก็กระเด็นปลิวไปทันทีและกระอักเลือดออกมา มีบางคนที่เสียชีวิตไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
เรียกได้เลยว่าความกล้าหาญของทหารเหล่านี้เริ่มถูกทําลายอีกครั้ง
แต่ในตอนนี้ทหารอีกหลายคนที่กระจายตัวโอบล้อมพวกเขาเอาไว้นั้นเริ่มโจมตีโหมกระหน่ําเข้ามาจากทางซ้ายขวาทั้งสองข้าง
ด้วยการปกป้องคุ้มกันจากองครักษ์ทั้งสองคนนั้น หวังเทาสามารถตีฝ่าศัตรูออกไปได้อย่างรวดเร็ว
ม่อี้ก็รอให้ทหารเหล่านั้นเข้ามาใกล้จากนั้นก็สะบัดมือของตนเองออกไปทันที แสงสีขาวที่พุ่งออกไปจากมือของเขานั้นพรากชีวิตของเหล่าทหารไปที่ละคน แต่ไม่ว่ามู่จะเร็วมากเพียงใดเขาก็ไม่มีทางสะบัดมือได้ทันทหารจํานวนมากเหล่านี้ได้เลย และทหารเหล่านี้ยังไม่หวาดกลัวต่อความตาย แม้ว่าเพื่อนพ้องของตนเองล้มลงไปต่อหน้า แต่พวกเขาก็บุกเข้ามาอย่างไม่หยุดนิ่ง
ความบ้าคลั่งเช่นนี้แม้แต่ลู่อี้ก็ต้องรู้สึกตกตะลึงแต่แม้ว่าเขาจะรู้สึกตกตะลึงสีหน้าของเขาก็ยังคงสงบนิ่งอยู่เสมอ ด้วยพลังแห่งจิตใจเขาสามารถสังหารทหารที่ล้อมรอบเข้ามาใกล้เขาได้อย่างง่ายดาย
ไม่ไกลจากเขาเท่าไหร่นั้นตาหนวเป็นเหมือนกับเทพแห่งสงคราม มันพุ่งผ่านวงล้อมของทหารจํานวนมากไปอย่างรวดเร็ว ดาบหรือหอกไม่อาจทะลุผ่านผิวหนังของมันไปได้เลย ส่วนทหารที่ถูกมันกระแทกนั้นถ้าไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บหนัก
แม้ว่าหวังเทาและองครักษ์ทั้งสองคนของเขาจะมีสถานการณ์ที่ย่าแย่กว่า แต่ก็ยังไม่มีปัญหาอะไรในตอนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นฟูอี้ก็ยังหันไปสนใจพวกเขาอยู่บ่อยครั้งและจุดที่เขายืนอยู่นั้นก็ช่วยลดแรงกดดันให้กับหวังเทาและองครักษ์ทั้งสองคนได้มาก
ไม่ไกลจากพวกเขานั้นหยางหยินยังคงจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดนั้นเขาก็ตัดสินใจออกค่าสั่งทันที
“นําธนขึ้นมา!”
ทหารที่อยู่รอบๆตัวเขารีบนําธนูขนาดใหญ่ขึ้นมาทันทีและหยางหยินก็นําธนูขึ้นมาด้วยเช่นกัน เขาโก่งคันธนูจนโค้งดุจพระจันทร์และเล็งไปที่กลุ่มของมู่อี้ทันที
ในมุมมองของเขานั้นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดย่อมเป็นม่อี้ ไม่อย่างนั้นแล้วด้วยความเร็วเช่นนี้ทหารทั้ง 500 คนของเขาคงต้องถูกชายหนุ่มผู้นี้สังหารไปจนหมดแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นแล้วแม้เขาจะมี 10 ชีวิตก็ไม่อาจเอาชนะม่ได้
ม่อี้สะบัดมือออกไปอย่างรวดเร็วพรากชีวิตทหารกล้าที่อยู่ตรงหน้าไปที่ละคนทีละคน แม้ว่าทหารทุกคนจะสวมชุดเกราะเอาไว้แต่ก็ไม่อาจทนรับการโจมตีของมู่อี้ได้เลย
แต่ความจริงแล้วม่อี้ก็ไม่ได้สังหารศัตรูอย่างง่ายดายเหมือนกับที่หยางหยินคิด แม้เขาจะมียันต์ปราบปีศาจจานวนมากแต่ก็พกติดตัวเอาไว้ประมาณ 100 แผ่นเท่านั้น และการทําเช่นนี้ยังกินพลังแห่งจิตใจของเขาไปเป็นจํานวนมากด้วยเช่นกัน การใช้ยันต์ปราบปีศาจนับร้อยแผ่นออกไปอย่างรวดเร็วก็ถือเป็นภาระที่ไม่อาจมองข้ามได้ของ
“ยิง!”
ลูกธนูที่แหลมคมก็พุ่งออกมาจากคันธนูทันทีและตรงเข้ามาที่หน้าอกของมู่ลี้ แต่ดูเหมือนว่าม่อี้จะคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว เขาไม่ได้หันไปมองลูกธนูด้วยซ้ําเพียงแค่สะบัดยันต์ปราบปีศาจแผ่นนึงออกไปและจากนั้นแสงสีขาวก็พุ่งเข้าปะทะกับลูกธนูทันที
หลังจากที่ทําลายลูกธนูไปได้แล้วม่อี้ก็ไม่ได้ปล่อยให้ศัตรูโจมตีซ้ําอีกครั้ง เขานําตะเกียงทองแดงของตนเองออกมาและใส่พลังแห่งจิตใจเข้าไปทันที
“อะไรกัน!”
ทหารที่อยู่ในรัศมี 3 เมตรรอบๆตัวเขาต่างก็กรีดร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน และจากนั้นทุกๆคนก็ล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับมือที่กุมศีรษะตนเองเอาไว้ ร่างกายภายนอกของพวกเขานั้นไม่มีบาดแผลใดๆเลยด้วยซ้ํา
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ก็ทําให้ทหารที่ยืนถัดออกไปรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาด้วย เช่นกันและความบ้าคลั่งในสายตาของพวกเขาก็หายไปทันที แม้ว่าเงิน 12,000 เหรียญทองจะมีค่ามากพอที่จะทําให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ถ้าไม่เห็นโอกาสที่จะชนะศัตรูได้เลยความหวังของพวกเขาก็ย่อมหายไปด้วยเช่นกัน
ไม่นานหลังจากสงครามเริ่มต้นขึ้นอย่างน้อย 1 ใน 3 ของทหาร 500 คนต่างก็ล้มลงไปนอนที่พื้น แม้ว่าตาหนิวจะยังคงพุ่งเข้าไปปะทะกับศัตรูอย่างต่อเนื่อง แต่ความเร็วของมันก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด และกลุ่มของหวังเทาทั้งสามคนก็เริ่มได้รับบาดเจ็บแล้ว
ดังนั้นม่อี้จึงไม่ลังเลอีกต่อไป หลังจากที่เขาใช้ยันต์ปราบปีศาจออกไปเป็นจํานวนมากเพื่อช่วยเหลือหวังเทา เขาก็สั่งให้ตาหนิวคอยปกป้องคุ้มครองหวังเทาทันที ในตอนนี้เขาจึงไม่ต้องเป็นห่วงใครอีกแล้วและสนใจเพียงแค่ตนเองเท่านั้น เขาพุ่งตัวเข้าไปหาหยางหยินที่ยืนอยู่ท่ามกลางทหารอารักขามากมาย
เรียกได้เลยว่าจะเอาชนะศัตรูกลุ่มใหญ่ได้ก็ต้องสังหารผู้ที่เป็นหัวหน้าก่อน
ตราบใดที่เขาสามารถสังหารหยางหยินได้ มู่อี้เชื่อว่าทหารทุกๆคนที่อยู่ที่นี่จะต้องยอมแพ้และหนีไปแน่นอนและเมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็ไม่จําเป็นต้องฆ่าใครอีก
ในตอนที่ม่อี้พุ่งเข้าไปนั้น หยางหยินก็รู้ตัวดีแต่เขาไม่ได้พยายามป้องกันหรือหลบหนีเลย สีหน้าของเขาก็ยังคงสงบนิ่ง เขาเก็บธนูของตนเองกลับไปทันที ตอนนี้จิตใจของเขารู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนมีดเฉือน เขาเข้าใจสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี และเขาไม่สามารถเลือกที่จะหนีไปจากที่นี่ได้ เพราะถ้าหากทําอย่างนั้นแล้วเขาจะพ่ายแพ้โดยไม่ได้อะไรตอบแทนเลย และชื่อเสียงของเขาก็จะถูกทําลายไปด้วยเช่นกัน
ตอนนี้สิ่งที่เขาทําได้คือการเสี่ยงเข้าไปปะทะกับม่อี้และเอาชนะให้ได้เท่านั้น ถ้าหากว่าเขาสามารถสังหารชายหนุ่มผู้นี้ได้เช่นนั้นแล้วเขาก็จะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอีกครั้งในสงครามครั้งนี้
เมื่อเห็นม่อี้กําลังพุ่งเข้ามา ทหารอารักขาที่อยู่รอบๆหยางหยินต่างก็เข้ามารวมตัวกันทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไร ในฐานะที่พวกเขาเป็นทหารอารักขาหน้าที่ของพวกเขาก็คือการปกป้องหยางหยิน เพราะถ้าหากหยางหยินตายไปพวกเขาก็ไม่มีทางรอดชีวิตได้แน่นอน
ยังมีคนพิเศษอีกคนหนึ่งที่ตามมาจากเมืองลั่วหยาง เขายืนอยู่ด้านหลังหยางหยิน และลังเลอยู่หลายครั้งว่าจะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ดีหรือไม่ แต่เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมเสียที เพราะเป้าหมายของเขานั้นไม่ใช่ม่อี้และพลังของม่อี้ต่างก็ทําให้ทุกๆคนรู้สึกหวาดกลัว อย่างน้อยสิ่งที่เขาได้เห็นด้วยตาของตนเองในวันนี้ก็น่าตกตะลึงยิ่งกว่าข่าวลือที่ได้ยินมาเสียอีก
เขาจ้องมองม่อี้ที่บุกเข้าไปในวงล้อมศัตรูและเห็นทหารอารักขาของหยางหยินล้มลงไปทีละคน ลูกธนูที่ทหารทุกๆคนยิงเข้ามานั้นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ท้ายที่สุดแล้วความหวาดกลัวในใจของเขาก็เพิ่มขึ้นจนไม่มีที่สิ้นสุด