Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 185 ช่างน่าเศร้า
เมื่อความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นความกล้าหาญในใจก็ถูกทําลายลงไปด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนพิเศษผู้นี้ที่ตามมาจากเมืองลั่วหยางก็ย่อมรู้สึกไม่สบายใจด้วยเช่นกัน แต่พื้นเพของเขาไม่ได้เติบโตขึ้นมาในกองทัพและไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าทหารเหล่านี้เลย ในตอนนี้เขาทําได้เพียงรอจังหวะที่จะเข้าไปสังหารหวังเทาเพียงคนเดียวเท่านั้น
เมื่อเขาเห็นม่อี้บุกสังหารเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีทหารคนไหนสามารถทําอะไร ชายหนุ่มผู้นี้ได้เลยและแม้แต่ทหารอารักขาคนสุดท้ายของหยางหยินก็ต้องล้มลงไปที่พื้น ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจหนีออกไปจากที่นี่ทันที
“ข้ายังตายไม่ได้ ข้ายังไม่อาจทําตามคําสั่งของท่านหัวหน้าได้”
“ใช่แล้ว ข้าต้องรอจนกว่านักพรตปีศาจผู้นี้จะตายไปเสียก่อน”
เมื่อความกล้าหาญในจิตใจไม่มีเหลืออยู่แล้วเขาก็หาเหตุผลและข้อแก้ตัวให้กับตนเองตามสัญชาตญาณทันที และจากนั้นเขาก็มองไปที่หยางหยินก่อนจะหนีไปจากที่นี่
ในตอนที่เขาหนีไปนั้นเขาเห็นความโกรธบนใบหน้าของหยางหยินได้อย่างชัดเจน ในฐานะที่เป็นผู้นําแม้ทุกๆคนจะสามารถหนีไปได้แต่ตนเองไม่อาจหนีไปไหนได้แน่นอน
ดังนั้นหยางหยินจึงไม่สนใจมู่อี้อีกต่อไป และดึงลูกธนูดอกสุดท้ายออกมาพร้อมกับยิงไปที่ชายที่กําลังหนีไปในตอนนี้
ชายที่มาจากเมืองลั่วหยางไม่คิดว่าหยางหยินจะหันมาโจมตีใส่ตนเองและรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที กว่าเขาจะรู้สึกตัวมันก็สายไปแล้ว ลูกธนูพุ่งมาเร็วและใกล้เกินกว่าที่เขาจะหลบได้แล้ว
“ฉีก!”
ลูกธนูที่แหลมคมทะลุผ่านเข้ามายังหัวใจของเขาจากทางด้านหลังอย่างแม่นยํา และโผล่ขึ้นมาบนหน้าอกของเขา
“อัก!”
แม้ว่าชายคนนั้นจะล้มลงไปนอนที่พื้นแต่สีหน้าของเขาก็แสดงความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา จากเมืองลั่วหยางเดินทางมาที่เมืองไคเฟิงและจากนั้นก็เดินทางต่อมาจนถึงเมืองจี้หนาน ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องมาตกตายเพราะ “พวกเดียวกันเอง ถ้าหากรู้เช่นนี้เขาคงไม่ตามมาที่นี่หรอก
“ข้าจะรอคอยเจ้า” ชายคนนั้นพูดออกมาครั้งสุดท้ายก่อนที่ลมหายใจของเขาจะหมดไป
ม่อี้ก็อยู่ห่างจากหยางหยินเพียงแค่ 10 เมตรเท่านั้น ทหารที่กําลังสู้รบอยู่กับต้าหนิวและหวังเทารีบวิ่งเข้ามาปกป้องหัวหน้าของตนเองอย่างบ้าคลั่ง แต่น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว
หยางหยินโยนธนในมือของเขาทิ้งไปและยกดาบของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเขาจ้องมองมาที่มู่ลี้
“ข้าคนนี้ยังไม่พ่ายแพ้!”
หยางหยินชี้ดาบในมือออกไปทันที เท่าของเขาเตะไปที่มาของตนเองเบาๆ และจากนั้นม้าของเขาก็วิ่งเข้าไปหามู่อื้อย่างรวดเร็ว
“ตายซะ!”
ทันทีที่หยางหยินพุ่งเข้ามาหามู่อี้นั้น เขาก็กระโดดออกมาจากหลังม้า มือทั้งสองข้างของเขาจับเอาไว้ที่ดาบยาวของตนเองและฟันลงไปที่ม่อี้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ดาบของเขาฟาดฟันผ่านอากาศจนมีเสียงที่เหมือนกับฟ้าร้องดังขึ้นมาและฟาดฟันลงมาที่มู่ลี้
ม่อี้ผลักทหารทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาออกไปทันที ต้นไผ่แห่งชีวิตลอยเข้ามาในมือของเขาอย่างรวดเร็วและเมื่อเห็นว่าไม่มีทางหลบหนีได้อีกแล้วต้นไผ่แห่งชีวิตก็ฟาดออกไปปะทะกับดาบของหยางหยิน
“ติ้ง!”
ต้นไผ่แห่งชีวิตปะทะเข้ากับดาบของหยางหยิน ด้วยกาลังแขนของมู่เขาแทบจะรับการโจมตีของหยางหยินไม่ไหวจนเท้าของตัวเองไถลไปตามพื้นดิน แต่โชคดีที่เขายังรับการโจมตีครั้งนี้ได้สําเร็จ
แม้ว่าพลังของหยางหยินจะยังไม่อาจเทียบกับชิวเยวี่ยถงได้แต่ด้วยความที่เขาเป็นทหารคนหนึ่งและผ่านสนามรบมามากมาย ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเขาย่อมมากกว่าม่อี้แน่นอนและเขายังไม่หวาดกลัวต่อความตายอีกด้วย
ดังนั้นเมื่อเขาทุ่มแรงทั้งหมดออกไปสู่อี้ย่อมไม่อาจรับการโจมตีของเขาอย่างลวกๆ ได้ ม่อี้รับมือกับหยางหยินด้วยพละกําลังของตนเองเพียงอย่างเดียวไม่ได้ใช้พลังของยันต์เข้าช่วยเหลือเลย
เมื่อต้นไผ่แห่งชีวิตรับการโจมตีของดาบที่ฟาดฟันลงมาได้ ม่อี้ก็โจมตีสวนกลับไปทันที และเล็งไปที่หัวใจของหยางหยิน
แม้ว่าถ้ามองจากภายนอกต้นไผ่แห่งชีวิตจะดูเหมือนแท่งไม้ไผ่แห่งหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่ออยู่ในมือของมู่อี้มันก็ไม่ใช่ไม้ไผ่ธรรมดาแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม้ไผ่ที่สามารถเชื่อมต่อกับจิตใจของเขาเป็นหนึ่งเดียวกันได้ทําให้เขาสามารถรับรู้ทุกๆการเคลื่อนไหวของศัตรูได้อย่างละเอียดอ่อน แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่งแต่อย่างน้อยต้นไผ่แห่งชีวิตก็สามารถทําให้เขาเอาชนะศัตรูได้
ยิ่งไปกว่านั้นมู่ลี้ยังสามารถใส่พลังแห่งจิตใจของเขาลงไปในต้นไผ่แห่งชีวิตได้ จากการปะทะกันก่อนหน้านี้หยางหยินรู้สึกได้ถึงอาการชาที่เกิดขึ้นบนร่างกายของตนเองทันที พลังในร่างกายของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็วและทําให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้วในตอนนี้
เมื่อเห็นว่าต้นไผ่แห่งชีวิตตรงเข้ามาที่หัวใจของตนเองหยางหยินก็รู้สึกได้ถึงวิกฤตการณ์ที่เข้ามาใกล้ๆ เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มานานหลายปีแล้วและครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึก แบบนี้ก็คือตอนที่เขานํากองกําลังของตนเองออกไปปราบกบฏและต้องตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู
แต่ในครั้งนั้นเขารอดออกมาได้อย่างเฉียดฉิว
เมื่อรู้สึกได้ถึงวิกฤตการณ์ของตนเองหยางหยินก็ร้องตะโกนออกมาทันที เขาพยายามทําให้ตัวเองตื่นตัวมากที่สุดเพื่อฟื้นฟูพละกําลังกลับมา แม้ว่าเขาจะรออยู่กลางอากาศแต่เขาก็สามารถบิดร่างกายหลบการโจมตีของม่อี้ได้สําเร็จ
ในตอนนี้ทหารหลายๆคนที่เห็นผู้นําของตัวเองกําลังตกอยู่ในอันตรายก็รีบเข้ามาช่วยเหลือทันทีซึ่งทําให้ หยางหยินได้มีเวลาพักหายใจเพิ่มมากขึ้น
ม่อี้หันกลับมาและต้นไผ่แห่งชีวิตก็สะบัดออกไปอย่างรวดเร็ว ทหารจํานวนมากที่พุ่งเข้ามาหาเขานั้นกระเด็นออกไปทันทีและไม่มีใครสามารถเข้ามาใกล้เขาได้เลย
หยางหยินร่วงหล่นลงมาที่พื้นและเท้าขวาของเขาก็ย่าลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง ร่างกายของเขาเริ่มรู้สึกอ่อนแรงอย่างยิ่งและลมหายใจของเขาก็เริ่มขาดช่วง แต่ดวงตาของเขาก็ยังมั่นคงหนักแน่นไม่มีความหวั่นไหวใดๆ
“ฆ่ามัน!”
ดาบยาวของเขาฟาดฟันผ่านอากาศออกไปอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าพยายามโจมตีไปที่ด้านหลังของม่อี้
แม้ว่ามู่จะหันหลังให้กับหยางหยินแต่พลังแห่งจิตใจของเขาก็ดียิ่งกว่าสายตาของเขาเสียอีก หยางหยินไม่มีทางลอบโจมตีจากทางด้านหลังเขาได้แน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่ได้หันกลับมาแต่ต้นไผ่แห่งชีวิตก็พุ่งเข้ามาป้องกันดาบของหยางหยินเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ต้าหนิวก็รีบวิ่งเข้ามาหามู่ทันที ในตอนนี้แรงกดดันที่พวกหวังเทาทั้งสามคนได้รับนั้นลดน้อยลงไปมากแล้ว ดังนั้นแม้จะไม่มีตาหนิวที่คอยช่วยเหลือแต่ทั้งสามคนนี้ก็น่าจะเอาชีวิตรอดได้
เมื่อเห็นว่าคมดาบและหอกที่แหลมคมไม่อาจทําอะไรผิวหนังของต้าหนิวได้เลย และเมื่อใดก็ตามที่ต้าหนิวโจมตีออกไปจะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายอยู่เสมอ ทหารทุกๆคนก็รู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวังขึ้นมาทันที
เพราะพวกเขาพบว่าไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม พวกเขาไม่อาจสร้างรอยแผลให้กับตาหนิวได้เลย และต้าหนิวก็ทําให้พวกเขาได้รู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าความคงกระพัน
แม้แต่พวกหวังเทาทั้งสามคนก็รู้สึกตกตะลึง สายตาที่พวกเขามองมาที่ต้าหนิวก็แสดงความเคารพมากยิ่งขึ้น
น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งสามคนรู้ดีว่าตนเองไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย สิ่งที่พวกเขาพอทําได้ก็คือหาทางเอาชีวิตรอดจากสนามรบ ความช่วยเหลือของพวกเขาไม่มีประโยชน์ต่อลู่อี้แม้แต่น้อย
ตอนนี้ดูเหมือนว่ามู่อจะลืมไปแล้วว่าเขาสามารถใช้ยันต์ได้ กลับกันหยางหยินและทหารคนอื่นๆที่ล้อมรอบเขาเอาไว้ต่างก็โดนต้นไผ่แห่งชีวิตโจมตีอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าเขามองสนามรบแห่งนี้เป็นการทดลองของตนเอง
หอกยาวแทงเข้ามาจากทุกทิศทางและหยางหยินก็กําลังรอคอยโอกาสของตนเอง อยู่เสมอ เขาพยายามกดดันม่อี้ให้มากยิ่งขึ้น แต่มู่ลี่ก็ไม่ได้ใช้ยันต์ปราบปีศาจโจมตี ออกมาเลยเขาใช้เพียงแค่ต้นไผ่แห่งชีวิตในการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้รับอันตรายใดๆแต่ในบางครั้งก็ต้องรับมือกับศัตรูอย่างยากลาบาก
แต่ไม่ว่ามันจะยากล่าบากเพียงใดม่อี้ก็ไม่ได้ใช้ยันต์ของเขาออกมาอีกครั้งเลย
เขาใช้โอกาสในตอนนี้ลองผสมผสานวิชาหมัดของเขาเข้ากับต้นไผ่แห่งชีวิตและฝึกฝนให้ชํานาญมากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนแรกนั้นหยางหยินและทหารคนอื่นๆ สามารถเข้ากดดันม่ได้ไม่มากก็น้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปดูเหมือนพวกเขาจะเริ่มเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ และทหารที่ล้มตายไปก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หยางหยินก็รู้สึกเหนื่อยอ่อนแรงและหอบหายใจอย่างรุนแรงเหมือนกับสุนัขตัวหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นหยางหยินก็ไม่ถอดใจแม้แต่น้อย สายตาของเขายังคงมีความมุ่งมั่นอยู่เสมอ นั่นทําให้ม่อี้จ้องมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจด้วยเช่นกัน
จํานวนทหารลดลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 500 คนตอนนี้เหลืออยู่เพียง 100 คน เท่านั้น และถ้าหากหยางหยินไม่ออกหน้ารับการโจมตีให้ทหารเหล่านี้คงตายไปหมดแล้วแน่นอน ความมุ่งมั่นและความกล้าหาญของทหารเหล่านี้ลดต่าลงไปจนถึงจุดต่าใกล้จะถึงความสิ้นหวังแล้ว
แต่หยางหยินก็ยังคงรอคอยโอกาสของเขาอยู่เสมอ
หลังจากสังหารทหารเป็นจํานวนมากอีกครั้ง ในที่สุดมู่ลี่ก็ไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไปและยันต์สายฟ้าก็ปรากฏขึ้นมาในมือซ้ายของเขาทันที
เมื่อได้เห็นยันต์สายฟ้าอีกครั้ง สายตาของหยางหยินก็เบิกกว้างขึ้นมาทันทีและเขาพยายามถอยหนีออกไปให้เร็วที่สุด
เขาได้เห็นพลังของยันต์สายฟ้ามาแล้วก่อนหน้านี้ พลังของมันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถต้านทานได้แน่นอน ถ้าหากยังคงดื้อด้านอยู่ที่นี่ต่อไปเขาต้องตายแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหนีออกมาให้เร็วที่สุด เพราะถ้าหากเขาอยากจะเอาชนะศัตรูเขาก็ต้องรอดชีวิตไปให้ได้ก่อน
น่าเสียดายที่มอไม่ให้โอกาสเขาทําแบบนั้น มนุษย์คนหนึ่งจะรวดเร็วไปกว่าสายฟ้าได้อย่างไรกัน และในตอนที่มู่อี้สะบัดมือออกไปนั้นสายฟ้าก็ผ่าลงมาบนร่างของหยางหยินทันที
“ตู้ม!”
สายฟ้าที่ผ่าลงมาในครั้งนี้เป็นเหมือนสิ่งที่ทําลายฟางเส้นสุดท้ายของทหารทุกๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้เห็นแม่ทัพของตนเองนอนอยู่บนพื้นไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆสายตาของทุกๆคนก็แสดงความหวาดกลัวออกมาทันที
“แก๊ง แก๊ง!”
เสียงอาวุธจานวนมากที่หล่นลงมาบนพื้น มีบางคนยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าไปไหน มีบางคนรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว พูดได้เลยว่าหลังจากหยางหยินตายไปสงครามครั้งนี้ก็จบลงทันที
เมื่อไม่มีหยางหยินแล้วอยู่ที่นี่ต่อไปพวกเขาก็ต้องตายแน่นอน
“มันจบแล้วหรอ?” หวังเทาใช้หอกในมือของตนเองเป็นไม้เท้าประคองร่างกายไม่ให้ล้มลงไปบนพื้น บนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กใหญ่จํานวนมากและคราบเลือดที่เปื้อนอยู่บนเสื้อ เขารู้สึกอ่อนล้าอย่างยิ่งแต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นสีหน้าของเขาก็แสดงความประหลาดใจออกมาทันที
ทหารจํานวนมากวิ่งหนีออกไปแล้ว มีบางคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่าโง่งม และมีบางคนที่คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ออกมา
ช่างน่าเศร้าใช่ไหม? ไม่เพียงแต่หวังเทาเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้แม้แต่องครักษ์ทั้งสองคนของเขาก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ผ่านสนามรบมามากมาย แต่เมื่อได้เห็นทหารหนึ่งกองพันต้องมาเสียชีวิตอย่างไร้ค่าเช่นนี้ พวกเขารู้สึกว่ามันน่าเศร้าจริงๆ
มีแม่ทัพหลายคนที่หวังจะมีกองทหารแบบนี้ในครอบครอง แต่นั่นก็เป็นได้แค่เพียงความฝันของพวกเขาเท่านั้น
ในตอนนี้แม้แต่ตาหนิวก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มันไม่ได้สังหารศัตรูอีกต่อไป การโจมตีของทหารพวกนี้ไม่อาจทําอะไรมันได้เลย ถ้าหากไม่ใช่ยอดฝีมือที่ใช้อาวุธหนักคงไม่มีทางทําให้มันบาดเจ็บได้แน่นอน
ม่อี้ไม่สนใจทหารรอบๆตัวเขาที่ไร้จิตวิญญาณในการต่อสู้อีกต่อไป กลับกันเขามองออกไปในระยะไกลๆและพูดขึ้นมาอย่างสงบนิ่งว่า “ออกมาเถอะ”
ค่าพูดของม่อี้ทําให้หวังเทาและคนอื่นรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่ายังคงมีศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่อีก หวังเทาที่กําลังจะนั่งลงเพื่อพักหายใจก็รีบกัดฟันและยืนขึ้นมาอีกครั้ง
“ข่าวลือที่พูดกันมาเป็นความจริงสินะ เจ้ามันคือปีศาจที่แท้จริง”
ในตอนที่ม่อี้พูดจบก็มีเสียงตอบกลับมาจากระยะไกลๆทันทีและจากนั้นก็มีคนสองคนเดินออกมาจากเนินดินลูกหนึ่งช้าๆ คนแรกเป็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวปกปิดทั่วร่างกายสีหน้าของเขาสงบนิ่งปราศจากความโกรธใดๆ ดูจากท่าทีของเขาแล้วเห็นได้ชัดว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีตําแหน่งสูงศักดิ์ในสังคมและมีอํานาจเหนือคนอื่นๆ
ชายอีกคนที่อยู่ด้านหลังนั้นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าเย็นชา เขากอดอกพร้อมประคองดาบเล่มหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขน และสายตาที่เขามองมาที่ม่อี้นั้นก็แสดงความเหยียดหยามออกมาอย่างชัดเจน