Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 1.3 พี่สาว ข้าเกรงว่านี่จะเป็นเรื่องเข้าใจผิด! (3)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 1.3 พี่สาว ข้าเกรงว่านี่จะเป็นเรื่องเข้าใจผิด! (3)
ท่าทางนั้นทำให้องครักษ์หญิงหลงเชื่อและเจือจางความโกรธลง หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ชีวิตของเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า มันขึ้นอยู่กับองค์หญิงว่าจะตัดสินโทษของเจ้าอย่างไร”
“องค์หญิง? สวรรค์! ท่านกำลังพูดหญิงองค์หญิงตี้ฝูหยางั้นหรือ!?” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างตกใจ
“เจ้ารู้จักข้า?” น้ำเสียงเย็นชาแฝงด้วยความยโสดังขึ้นมาจากด้านหลังขององครักษ์หญิง
ชั่วพริบตาพื้นที่ข้างองครักษ์หญิงก็มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ผมเปียกๆ สีชมพูลู่ไปกับไหล่บอบบาง รูปร่างที่ยั่วยวนสายตานั้นปกคลุมด้วยชุดสีชมพู ใบหน้างดงามของหญิงสาวเผยออกมาให้เห็นพร้อมกับนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลลึก หน้าอกสะท้อนขึ้นลงด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว
ทันทีที่สบตากับฝ่ายตรงข้าม ทั้งคู่ก็โพล่งออกมาพร้อมกัน “เป็นเจ้า?”
โจวเหว่ยชิงหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย คิดกับตัวเองว่า ซวยแล้วไง! ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงติดประหม่า “คารวะองค์หญิงตี้ฝูหยา คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอท่านในสถานที่เช่นนี้” เพื่อที่จะได้หลบหนีออกจากสถานการณ์ตรงหน้า โจวเหว่ยชิงจึงพยายามทำสีหน้าอ่อนน้อมจริงใจ
โชคร้ายที่องค์หญิงนั้นไม่ใช่บุคคลที่จะล้อเล่นด้วยง่ายๆ หลังจากเก็บสีหน้าประหลาดใจไว้ได้แล้ว ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งก่อนจะกำหมัดแน่น “แกนั่นเอง ไอ้เศษสวะ! กล้าดียังไงถึงตามมาแอบดูข้าอาบน้ำ! หนี่ย่า กำจัดมันซะ!”
องครักษ์หญิงก้าวออกมารับคำสั่งจากผู้เป็นนายอย่างไม่ลังเล แม้จะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาอย่างเจ้าหนุ่มคนนี้จะแอบตามมาโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัว แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กนี่ก็ได้เห็นเรือนร่างขององค์หญิงไปเสียแล้ว ดังนั้นโทษของมันจึงมีแค่ความตายเท่านั้น
“ช้าก่อน!” โจวเหว่ยชิงไม่ได้พบเจ้าหญิงบ่อยนัก และยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่เคยคุยกับอีกฝ่ายแม้แต่ประโยคเดียว ถึงแม้ว่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับความหยิ่งยโสขององค์หญิงมาบ้าง แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าออกคำสั่งให้ฆ่าเขาเช่นนี้ หากเขาไม่กล่าวอะไรออกไปสักหน่อยคงต้องตายของจริงแน่
ขณะที่ดาบของหนี่ย่ากำลังจะขยับนั้นเอง โจวเหว่ยชิงพลันรีบร้อนกล่าวออกมา “ช้าก่อน! ข้าเป็นคู่หมั้นของ นาง!”
หนี่ย่าหยุดดาบของตนเองไว้ด้วยความฉงนและมองไปยังองค์หญิงตี้ฝูหยา ใบหน้าขององค์หญิงครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด
“ใครบอกว่าข้ามีคู่หมั้นเศษสวะเช่นเจ้า! ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังน่าสมเพชและน่ารังเกียจสิ้นดี กล้าดียังไงถึงมาแอบดูข้าอาบน้ำ… หนี่ย่า รีบกำจัดมันเดี๋ยวนี้ ข้าจะรับผิดชอบเอง!” ตี้ฝูหยาคำรามอย่างเดือดดาลราวกับราชสีห์ตัวเมีย
ตี้ฝูหยามีเหตุผลที่ทำให้โมโหเกี่ยวกับเรื่องบ้าๆ นี่โดยเฉพาะ เนื่องจากเมื่อวานหญิงสาวเพิ่งรบเร้าขอเสด็จพ่อให้ยกเลิกการหมั้นหมายนี่ไปซะ แต่วันนี้ดันมาเจอโจวเหว่ยชิงแอบดอดตามมาถึงที่นี่ หากให้ลองสัญนิษฐาน โจวเหว่ยชิงคงได้ยินเรื่องที่ตนขอถอนหมั้นและหาเรื่องตามมาถึงที่นี่เพื่อก่อเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ตี้ฝูหยาก็มักจะดูถูกคนที่ไม่มีพลังปราณสวรรค์อยู่แล้ว นั่นทำให้หญิงสาวรังเกียจโจวเหว่ยชิงยิ่งกว่าเดิม
หนี่ย่ามองไปที่เจ้าหญิงอีกครั้ง จากนั้นก็มองกลับไปที่โจวเหว่ยชิงและกล่าวอย่างลังเล “ท่านเป็นบุตรของท่านแม่ทัพใหญ่โจวอย่างนั้นรึ?”
โจวเหว่ยชิงเผยใบหน้าอับจนหนทาง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยตนเอง “ใช่! ข้าคือโจวเหว่ยชิง! เป็นบุตรสุนัขในสำนวน “บิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัข[4] ” แล้วก็ยังเป็นคู่หมั้นขององค์หญิงอีกด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบดูนางเสียหน่อย ปกติข้ามาอาบน้ำที่นี่เป็นประจำอยู่แล้ว นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นจริงๆ นะขอรับ!”
องครักษ์หญิงละสายตาไปมองยังองค์หญิง “ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่านี่อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด…ท่านโจวน้อยไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบดูท่าน นอกจากนั้นเขายังเป็น…”
“หุบปาก!” คิ้วของตี้ฝูหยาขมวดขึ้นด้วยความโกรธ หญิงสาวก้าวไปหนึ่งก้าวก่อนจะผลักหนี่ย่าออกไปให้พ้นทางและเดินตรงไปยังโจวเหว่ยชิง “ข้าไม่มีคู่หมั้นเช่นเจ้า ข้า ตี้ฝูหยา ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจ้าวมณีธาตุระดับเทวะเพื่อที่จะก้าวไปอยู่ท่ามกลางเหล่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก! สามีของข้าจะต้องเป็นวีรบุรุษเหนือผู้คนทั้งปวง เจ้าเศษสวะไร้ยางอายเช่นเจ้าจะคู่ควรอะไรกับข้าได้?”
ใบหน้าอันแสนนอบน้อมของโจวเหว่ยชิงที่แสร้งทำเพื่อความอยู่รอดนั้นกระตุกขึ้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าโมโห แม้แต่คนมีเมตตาอารีโดยกำเนิดยังมีเส้นแบ่งที่ห้ามล้ำ ดังนั้นดวงตาที่เกรี้ยวกราดของเขาจึงมองไปยังตี้ฝูหยา “ถ้าข้าแอบดูเจ้าแล้วจะทำไม? ตามกฎหมายอาณาจักรแล้ว เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า แม้ข้าจะจับตัวเจ้าไปปู้ยี่ปู้ยำ องค์จักรพรรดิก็ยังไม่อาจลงโทษข้าได้! หึ! และหากข้าทำเรื่องน่ารังเกียจและไร้ยางอายกับคู่หมั้นของข้า กฎหมายข้อไหนจะคุ้มครองเจ้ากันล่ะ? และเจ้า เจ้าก็ยังต้องแต่งงานกับคนเศษสวะไร้ยางอายเช่นข้าอยู่ดี! ตัวเจ้ามีอะไรน่าภูมิใจกันหนักหนา? ก็แค่เกิดมาเป็นราชนิกูลและโชคดีที่ฝึกพลังปราณได้ หากข้าไม่เกิดมาพร้อมกับเส้นลมปราณอุดตัน ตอนนี้เจ้าก็อาจจะต้องคุกเข่าอ้อนวอนข้าให้มาดูเจ้าอาบน้ำ หรือไม่ก็วิ่งแจ้นมาหาข้าถึงที่เองด้วยซ้ำ ผู้หญิงไร้สมองที่มีตาที่สามงอกบนหน้าผาก[5] คอยเหยียดหยามผู้อื่นเช่นเจ้านั้นคิดจริงๆ หรือว่าข้าอยากจะแต่งด้วย?” หลังจากตะโกนออกไปด้วยความโกรธ โจวเหว่ยชิงก็หันหลังเดินจากไปทันที แม้ว่าปกติเขาจะมีนิสัยค่อนข้างรักสงบและเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่เมื่อถึงเวลาที่อารมณ์ปะทุถึงขีดสุด เขาก็ย่อมสู้ไม่ถอยเช่นกัน
หากเทียบบรรดาศักดิ์ระหว่างเขากับเจ้าหญิงตี้ฝูหยาแล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงองค์หญิง ทว่าเขาก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด ถึงปกติเขาจะเป็นตัวตลกในสายตาของคนทั่วอาณาจักร ทว่าบิดาของเขาก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น บิดาของเขายังเป็นคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร เรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของบ้านเมืองเลยก็เป็นได้ จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงและบิดาของโจวเหว่ยชิงนับถือกันเป็นพี่น้องร่วมสาบาน และนี่คือสาเหตุว่าทำไมโจวเหว่ยชิงและองค์หญิงถึงได้หมั้นหมายกัน
คำพูดของโจวเหว่ยชิงเสียดแทงใจขององค์หญิงตี้ฝูหยาเป็นอย่างมาก อย่างที่เขากล่าว แม้ว่านางจะไม่อยากแต่งงานกับตัวตลกของอาณาจักรเช่นเขา แต่ก็ไม่สามารถขัดคำสั่งองค์จักรพรรดิได้ ความคับข้องใจเดิมผนวกกับความโมโหทำให้สีหน้าขององค์หญิงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ
ตี้ฝูหยายกมือซ้ายขึ้นมา แสงสีแดงเรืองรองปรากฏขึ้นรอบๆ ข้อมือของหญิงสาว ก่อนมณี 2 ดวงจะปรากฏขึ้น หากเปรียบเทียบกับองครักษ์หญิงหนี่ย่า มณีพลังบนข้อมือซ้ายขององค์หญิงตี้ฝูหยาเป็นทับทิมสีแดงโชติช่วง 2 ดวงและพวกมันล้วนเป็นมณีธาตุ ตี้ฝูหยาอายุ 16 ในปีนี้และนับเป็นคนในราชวงศ์ที่เกิดมาพร้อมความเป็นอัจฉริยะ เนื่องจากพลังปราณสวรรค์ของเธอไปถึงขั้นพื้นฐานระดับ 7 อีกทั้งยังได้ครอบครองมณีธาตุดวงที่ 2 แล้วเช่นกัน
พลังจากมณีธาตุนั้นแตกต่างจากมณียุทธ์ เนื่องจากแทนที่มันจะเสริมกำลังกายให้แข็งแกร่ง มันกลับทำให้จ้าวมณีสามารถใช้พลังธาตุต่างๆ ได้ ในขณะที่มณียุทธ์อยู่ในรูปแบบหยก มณีธาตุนั้นจะอยู่ในรูปของพลอยสีต่างๆ แต่ละชนิดก็ให้พลังธาตุที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ทับทิมสีแดงขององค์หญิงตี้ฝูหยานั้นคือพลังธาตุไฟ นอกจากนั้นก็ยังมีไพลินสำหรับพลังธาตุน้ำ เพชรสำหรับพลังธาตุดิน ทุรมาลินสำหรับพลังธาตุลม หยกมรกตสำหรับพลังธาตุแสง ไข่มุกรัตติกาลสำหรับพลังธาตุมืด ไพฑูรย์สำหรับพลังธาตุมิติ และหยกเขียวสำหรับพลังธาตุชีวิต ดังนั้นการแยะแยะพลังของจ้าวมณีธาตุจึงง่ายกว่าจ้าวมณียุทธ์ เนื่องจากสามารถดูได้โดยตรงจากมณีที่พวกเขาครอบครอง
………………………………………………….
[4] บิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัข หมายถึง หากพ่อเก่งกาจ ลูกก็มักจะเก่งกาจด้วยตามสายเลือด
[5] ตาที่สามงอกบนหน้าผาก หมายถึง ผู้ที่ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น (ตาที่สามบนหน้าผากหมายถึงตาที่ชอบมองต่ำไว้เหยียดคนอื่น)