Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 103 ปีศาจมังกรสาว! (2)
ในเวลาเดียวกัน ขี้เมาเป่าก็มีทักษะธาตุแสง แม้ว่าคุณสมบัติการรักษาของธาตุแสงจะไม่ทรงพลังเท่าทักษะธาตุเทวาของเทียนเอ๋อร์ แต่ก็ไม่ควรมีใครมองข้ามทักษะนี้ เพราะอย่างน้อยในกรณีนี้ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย! ทั้งคู่เคลื่อนตัวไปฟากด้านหลังอย่างรวดเร็วและปลดปล่อยพลังปราณสวรรค์ของพวกเขาไปยังร่างของมังกรทันที
ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา สีหน้าของเทียนเอ๋อร์จึงค่อยๆ ดีขึ้น ภายใต้ความพยายามของทุกคน อัตราการถดถอยของพลังชีวิตแม่มังกรจึงช้าลงอย่างมาก
ทันใดนั้น แสงสีน้ำเงินก็พุ่งผ่านพวกเขาไปตกลงที่ร่างของแม่มังกรด้วย แสงสีน้ำเงินเข้มข้นนี้ไม่ได้มีเจตนามุ่งร้าย มันทั้งอ่อนโยนและเต็มไปด้วยทักษะธาตุชีวิตซึ่งมีพลังชีวิตอัดแน่นอยู่ภายใน ด้วยการเติมเต็มพลังชีวิตจำนวนมากเข้าไป ในที่สุดอาการบาดเจ็บของแม่มังกรก็กลับไปคงที่ บาดแผลที่ดูน่ากลัวของเธอก็ไม่มีเลือดไหลออกมาอีกแล้ว ในที่สุดพลังชีวิตที่กำลังลดลงของเธอก็ค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ
เทียนเอ๋อร์หันหน้ากลับไปด้วยความประหลาดใจเพียงเพื่อจะพบว่าอีกฝ่ายเป็นแม่มดน้อยนั่นเอง เธอไม่รู้ว่าแม่มดน้อยมาอยู่ข้างๆ ตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่หรือได้อย่างไร แต่ดอกฝูหรงสีน้ำเงินที่คุ้นเคยก็กำลังเติมพลังชีวิตจำนวนมากเข้าไปในร่างของแม่มังกร ในเวลาเดียวกัน แสงหลายสายยังพุ่งออกมาจากดอกฝูหรงตรงเข้าโอบล้อมรอบต้นไม้ใหญ่ใกล้เคียงจำนวนสองสามต้นเพื่อดึงพลังชีวิตของพวกมันออกมาเติมเต็มให้กับแม่มังกร
ในช่วงเวลานั้น ในบรรดาทักษะธาตุทั้ง 4 ที่มีคุณสมบัติในการรักษาทุกรูปแบบก็พลันปรากฏตัวพร้อมๆ กัน ธาตุน้ำ ธาตุแสง ธาตุชีวิต และธาตุเทวา ทันใดนั้นเอง ผลการรักษาก็ดูเหมือนจะให้ผลเป็นทวีคูณกับแม่มังกร ดวงตาของเธอค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากความเศร้าโศกเป็นความสุขอย่างน่าประหลาด และด้วยการยกกรงเล็บข้างหนึ่งขึ้นช้าๆ เธอดึงไข่ใบใหญ่ตรงหน้าเข้ามาในอ้อมกอดก่อนจะหลับตาลง แม่มังกรกำลังให้ร่วมมือกับผู้เยียวยาทั้ง 4 ในการหมุนเวียนพลังปราณฟื้นฟูตนเอง
ณ ฝั่งนั้น ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆ จะกำลังเป็นไปด้วยดี ทว่าฝั่งหัวหน้ากลุ่มนักรบจ้งเทียน จ้านหลิงเทียนกำลังโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนแรกทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผนและเหตุการณ์ก็กำลังตกอยู่สภาวะที่สมบูรณ์แบบสำหรับพวกเขา ทั้งมังกรและไข่มังกร ทั้งคู่ล้วนอยู่ในอุ้งมือของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว อย่างมากพวกเขาก็จะต้องแบ่งผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มนักรบเป่าโปบ้างเพื่อตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือของอีกฝ่าย ใครจะไปคาดคิดว่าโจวเหว่ยชิงคนนี้จะโผล่ออกมากลางคันและทำลายแผนการทุกอย่าง จากนั้นก็ตามมาด้วยการปรากฏตัวของพยัคฆ์วิญญาณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ พวกเขาดันโผล่เข้ามาพลิกสถานการณ์การต่อสู้ที่รู้ผลแน่นอนเช่นนี้ไปทั้งอย่างนั้น!
ทันทีที่เห็นโจวเหว่ยชิง เขาก็จำสิ่งที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์บอกกับเขาได้ทันที มันคือไอ้สารเลวที่ขโมยจูบแรกของเทพธิดาของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้โจวเหว่ยชิงกลับมาโผล่ที่นี่อีกครั้งเพื่อทำลายช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบของเขา
ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ จ้านหลิงเทียนก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดแตกหัก
ทันใดนั้น หอกยาวศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าที่หลอมรวมอยู่ในมือของจ้านหลิงเทียนก็ถูกวาดออกไป บังคับให้คู่ต่อสู้ของเขาต้องถอยร่นกลับไปอย่างกะทันหัน ในชั่วพริบตานั้นเขาก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าโจวเหว่ยชิงทันที หอกยาวพลันพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย!
มณีธาตุรอบข้อมือซ้ายของจ้านหลิงเทียนก็คือไพฑูรย์สองสี! เขามีทักษะธาตุ 2 ชนิด แต่ถึงแม้จะเป็นเพียง 2 ธาตุ มันก็มีลักษณะเฉพาะที่น่าเหลือเชื่อในตัวมันเอง ทักษะธาตุทั้งสองของเขาเป็นธาตุแสงและธาตุมืดซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสุดขั้ว!
ตามปกติแล้ว หากมีทักษะธาตุที่ตรงข้ามกัน 2 ชนิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นในตัวบุคคลคนเดียว ความเป็นไปได้ในการฝึกฝนของเขาก็ดูจะติดลบไป เพราะในความเป็นจริงมีโอกาสที่เขาจะระเบิดตัวเองหากพยายามฝืนฝึกปราณเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม จ้านหลิงเทียนคนนี้กลับไม่เหมือนผู้ใดอย่างแท้จริง เขาเริ่มฝึกปราณตั้งแต่ยังเด็กและได้ฝึกฝนทักษะธาตุที่เป็นขั้วตรงข้ามกันนี้ผ่านความสามารถและความมุ่งมั่นที่แข็งกล้าอย่างแท้จริงของตนเอง ร่างกายซีกซ้ายของเขามีทักษะธาตุมืด ในขณะที่ซีกขวามีทักษะธาตุแสง จุดตัดตรงกลางร่างกายของเขาคือเส้นแบ่งที่ได้รับการปกป้องโดยพลังปราณสวรรค์
อันที่จริงแล้ว ทักษะธาตุแสงและธาตุมืดนั้นเป็นปฏิปักษ์กัน แต่หากประสานกันได้ผ่านการควบคุมที่เหมาะสม พลังขั้วฝ่ายตรงข้ามนั้นอาจถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง ทำให้มันมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งหมดจากวังสวรรค์ไพศาล หากจะพูดถึงคนที่ละทิ้งศาสตรามณียุทธ์และมุ่งเน้นไปที่การฝึกปราณเพียงอย่างเดียว จ้านหลิงเทียนอาจจัดอยู่ในอันดับต้นๆ หากไม่ใช่เพราะซ่างกวนเสว่เอ๋อร์มีชุดสวรรค์ไพศาลไร้สิ้นสุด พลังโดยรวมของเธอคงไม่อยู่เหนือกว่าเขาไปได้
ย่อมมีเหตุผลรองรับว่าเหตุใดจ้านหลิงเทียนจึงถูกเรียกว่าอัจฉริยะอันดับต้นๆ ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาของวังสวรรค์ไพศาล อย่างน้อยเขาก็แสดงให้เห็นว่าตนเองสามารถต่อสู้กับหัวหน้าของกลุ่มนักรบจากภูเขาหิมะสวรรค์ได้โดยเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็กำลังเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์อีกตัวหนึ่งในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือเหยี่ยวหิมะ
ตอนนี้หัวใจของจ้านหลิงเทียนเต็มไปด้วยรังสีสังหารที่รุนแรงขณะที่เขาตั้งเป้าโจมตีไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยกำลังทั้งหมดที่มี จิตสังหารนั้นแทบจะปลอมรวมกันเป็นความรู้สึกที่จับต้องได้ กดดันทำให้โจวเหว่ยชิงแทบจะหายใจไม่ออก
แสงสีเหลืองพลันสว่างวาบ หลินเทียนอ้าวก้าวพรวดเข้ามาอย่างรวดเร็วและปรากฏตัวต่อหน้าโจวเหว่ยชิง ชุดโล่ประสาน 5 ชิ้นของเขาสกัดกั้นการโจมตีที่พุ่งเข้ามาไว้ได้อย่างทันท่วงที
ศาสตรามณียุทธ์ของจ้านหลิงเทียนเป็นชุดในตำนานที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ แต่มีจำนวนสูงสุด 9 ชิ้นเท่านั้น และในปัจจุบันเขาก็มี 4 ชิ้นเช่นเดียวกับซ่างกวนเฟยเอ๋อร์
หอกยาวในมือของเขาคือหนึ่งในชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานที่ยาว 1.2 จั้ง และหนาเท่าแขนเด็กทารก ครึ่งหนึ่งเป็นสีทองและอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ ลากยาวมาจนถึงกระทั่งปลายแหลม ระหว่างสีทองและสีดำมีเส้นสีขาวจางๆ คั่นระหว่างทั้งสองด้าน แทบจะกลายเป็นภาพสะท้อนของกลไกร่างกายภายในของเขาเอง
เมื่อหอกนั้นถูกเสือกเข้ามาใกล้ มันก็เต็มไปด้วยพลังธาตุแสงและธาตุมืด ทันทีที่พลังปราณทั้ง 2 ชนิดไหลออกจากหอก พวกมันก็ก่อให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นในทันที
เมื่อธาตุแสงเจอกับธาตุมืด ผลลัพธ์นั้นย่อมชัดเจนยิ่งกว่าการที่น้ำเจอกับไฟ ทว่ามันกลับเหนือไปกว่านั้นอีกขั้นเมื่อพิจารณาระดับพลังมณี 7 ชุดของจ้านหลิงเทียน
ในการระเบิดครั้งใหญ่นั้น แม้จะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งของหลินเทียนอ้าว เขาก็ยังถูกกระแทกกลับด้วยการโจมตีที่ทรงพลังนั้นอยู่ดี ทันใดนั้น ด้วยการเอียงหอกของจ้านหลิงเทียน เขาก็ส่งหลินเทียนอ้าวกระเด็นกลับไปได้ในพริบตาเดียว
ในแง่ของระดับพลังปราณ จ้านหลิงเทียนนั้นอยู่เหนือซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ และพลังที่แท้จริงของเขาก็เทียบได้กับเธอหรืออาจจะสูงกว่าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์การต่อสู้ จิตสังหาร และความแน่วแน่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์สามารถมีได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในปัจจุบัน
ในเวลานี้เมื่อไม่มีหลินเทียนอ้าวคอยขวางทางเขาไว้ จ้านหลิงเทียนจึงได้เผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิงโดยตรง หลังจากกระแทกหลินเทียนอ้าวกลับออกไปด้วยปลายหอก เขาก็ฟาดก้นหอกลงไปที่หน้าอกของโจวเหว่ยชิงอย่างโหดเหี้ยมและรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การป้องกันของหลินเทียนอ้าวก็ได้เปิดโอกาสให้โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยสถานะปีศาจกลายร่างของเขาออกมาเช่นกัน มีเพียงสถานะปีศาจกลายร่างเท่านั้นที่ทำให้เขามีโอกาสการปกป้องตัวเองจากจ้านหลิงเทียนได้มากที่สุด
ค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานของเขาพลันปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่รอท่า เนื่องจากเขาเคยใช้เกราะป้องกันเทพเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่งในวันนี้ มันจึงจะไม่ปรากฏขึ้นอีก โจวเหว่ยชิงขว้างค้อนหน้าร้องไห้ขึ้นไป บังคับให้มันขัดขวางการโจมตีของจ้านหลิงเทียน ในเวลาเดียวกัน หัวหน้ากลุ่มนักรบวั่นโซ่วก็ฟื้นสติขึ้นมาแล้ว และเขาก็กำลังพุ่งตามมาที่ด้านหลังของจ้านหลิงเทียน
เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าตัวเองถูกกลืนหายเข้าไปกับการระเบิดที่รุนแรงก่อนหน้านี้ ราว กับว่าเขาติดอยู่ท่ามกลางวังวนมรณะ ในช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรจากภายนอกอีกต่อไป ราวกับว่าเขาถูกส่งไปยังโลกอื่นด้วยตัวคนเดียว
แม้โจวเหว่ยชิงจะมีพละกำลังมหาศาลเพราะได้รับการสนับสนุนจากสถานะปีศาจกลายร่างและค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานของเขา เด็กหนุ่มก็ยังไม่สามารถขัดขวางหอกของจ้านหลิงเทียนได้ ค้อนหน้าร้องไห้ถูกฟาดจนกระเด็นกลับไปด้านหลังและทุบลงบนหน้าอกของเขาเอง ก่อนจะส่งร่างของเขากระเด็นกลับไปหลายจั้ง
เกราะเทพอมตะระเบิดพลังออกมาในทันที หลุมดำพลังปราณทั้ง 14 แห่งที่จุดตายของเขาหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุด รวบรวมกำลังรับแรงระเบิดและพยายามสลายมัน
โชคดีที่จ้านหลิงเทียนถูกหลินเทียนอ้าวขัดขวางไว้ก่อนหน้านี้ แม้ว่าเขาจะผลักหลินเทียนอ้าวจนกระเด็นออกไปได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งการโจมตีครั้งนี้ก็เกิดจากแรงโทสะที่รุนแรงของเขา แต่จ้านหลิงเทียนก็ยังต้องให้ความสนใจกับภัยคุกคามจากหัวหน้ากลุ่มนักรบวั่นโซ่วที่อยู่เบื้องหลังตนเองด้วย ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าใช้พลังเต็มที่ในการโจมตี
ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงสามารถรอดชีวิตมาได้ แต่ถึงกระนั้น ขณะถูกส่งให้กระเด็นกลับออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมาเป็นเลือดสดๆ
เวลานี้เขาจะไม่ยอมปล่อยให้จ้านหลิงเทียนถอนตัวไปง่ายๆ ค้อนหน้าร้องไห้ได้รับการกระตุ้นด้วยทักษะคำสาปลงทัณฑ์และปะทะเข้ากับร่างของอีกฝ่ายไปแล้วเช่นกัน
หลังจากที่ฟาดฟันใส่ทั้งหลินเทียนอ้าวและโจวเหว่ยชิงจนกระเด็นกลับไปแล้ว จ้านหลิงเทียนก็กวาดเท้าขวาออกไปเตะอู่หยาซึ่งกำลังใช้ขวานทั้งสองของเธอฟาดลงมา ก่อนจะส่งหญิงสาวร่างยักษ์กระเด็นออกไปเช่นกัน ในเวลาต่อมา เขาก็บิดร่างกายกะทันหัน หลีกเลี่ยงลูกไฟของเซียวเอี๋ยนได้อย่างหวุดหวิด จ้านหลิงเทียนใช้หอกของเขาเป็นจุดหมุนเพื่อกระโดดกลับขึ้นมาบนอากาศอีกครั้งและปะทะกับหัวหน้ากลุ่มนักรบวั่นโซ่วโดยไม่เสียจังหวะแม้แต่น้อย
ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น จ้านหลิงเทียนได้ใช้พลังเต็มที่จนก่อให้เกิดผลสูงสุดแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการฆ่าโจวเหว่ยชิงตามแผนที่วางไว้ แต่เขาก็สามารถหยุดนักธนูหนุ่มไม่ให้ยิงลูกศรก่อกวนได้อีกต่อไป ทั้งยังสามารถทำให้เขาบาดเจ็บอีกด้วย พลังของหอกแห่งธาตุแสงและธาตุมืดของเขาส่งผลให้โจวเหว่ยชิงได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก หากไม่ใช่เพราะหลินเทียนอ้าวและพลังของค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนาน ตอนนี้เขาก็อาจถูกระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว
แข็งแกร่งเกินไป! โจวเหว่ยชิงอุทานคำนั้นออกมาในใจ แม้ว่าเขาจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด แต่อาการบาดเจ็บของเขาก็ไม่ได้ร้ายแรงมากนัก ทว่าการโจมตีของจ้านหลิงเทียนก็จุดประกายความดุร้ายในใจของเขาขึ้นมาเช่นกัน
ด้วยเสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว โจวเหว่ยชิงควงค้อนในตำนานของเขา ขาขวาพลันกระแทกพื้นอย่างโหดเหี้ยมในขณะที่กระโดดขึ้นสูง
ลายเสือดำหนาทึบที่หมุนวนบนร่างกายของเขาเริ่มผันผวนอย่างรุนแรงราวกับว่าพวกมันมีชีวิตขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า “ราชา” บนหน้าผากของเขาซึ่งตอนนี้กำลังเปล่งประกายด้วยแสงเรืองรอง
ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปเป็นเย็นเยียบกลางอากาศ ร่างกายของเขามีกลิ่นอายแปลกประหลาดแผ่ออกมา ในช่วงเวลานั้น สายตาของเขาก็ทำให้คนมองสัมผัสได้ถึงความเย่อหยิ่ง ความสูงส่งและความสง่างาม ราวกับว่าคนที่อยู่เบื้องล่างเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตต่ำต้อย ดวงตาที่กลายเป็นสีแดงก่ำก่อนหน้านี้เพราะสถานะปีศาจกลายร่างพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม
ด้วยค้อนคู่ในมือ ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นอีกเพราะสถานะปีศาจกลายร่าง เมื่อร่างกายของเขาลอยสูงขึ้นไปในอากาศจนถึงจุดสูงสุดตามแรงถีบของเขา เด็กหนุ่มก็หยุดนิ่งอยู่บนท้องฟ้าโดยอาศัยการลอยตัวแทนที่จะร่วงลงไปตามปกติ ราวกับว่าเขาสามารถต่อต้านแรงโน้มถ่วงได้
ทันใดนั้นเอง บรรยากาศอันสูงส่งและหยิ่งผยองก็ลอยฟุ้งเต็มอากาศ และค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานของเขาก็เปล่งแสงสีแดงอมม่วงขึ้นมาทันที
ขณะที่โจวเหว่ยชิงลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ภาพลวงตาที่มีความสูงราว 5เมตรก็ปรากฏขึ้นข้างหลังเขาอย่างช้าๆ
เมื่อภาพลวงตานั้นปรากฏขึ้น ทุกคนในสนามรบก็ต้องชะลอตัวหรือหยุดการปะทะลง แม้แต่แม่มังกรที่กำลังปิดตาขณะรักษาก็เบิกตาขึ้นเพื่อจ้องมองโจวเหว่ยชิงกลางอากาศ
จ้านหลิงเทียนอุทานด้วยความตกใจ “ภาพทักษะสวรรค์!”
ชื่อนั้นสามารถบ่งบอกความหมายของมันได้ ภาพทักษะสวรรค์หมายถึงการมีภาพของอสูรสวรรค์ฉายขึ้นด้านหลังเมื่อใช้ทักษะกักเก็บธาตุมณี อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น อสูรสวรรค์ตัวนั้นจะต้องอยู่ในระดับเทพเจ้า!
แม้แต่อสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าก็ยังได้รับการจัดอันดับระหว่าง 1-12 ดาวซึ่งเป็นคำจำกัดความของคำว่าน่ากลัว
เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร?! เรื่องนี้มันเป็นไปได้อย่างไร?!
ในขณะนั้นไม่ใช่แค่จ้านหลิงเทียน แต่ทุกคนล้วนคิดสิ่งเดียวกันอยู่ในใจ โจวเหว่ยชิงผู้นี้เป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุด เขาจะมีทักษะระดับเทพเจ้าได้อย่างไร!? แม้แต่ในวังกักเก็บทักษะของเกาะมณีสวรรค์ก็มีอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น แต่ละตัวล้วนจับมาได้อย่างลำบากโดยยอดฝีมือรุ่นก่อนของวังสวรรค์ ใช้ทั้งพลังอำนาจ กำลังคน และความพยายามอย่างหนักกว่าจะทำเช่นนั้นได้
……………………………………………………….