Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 110 เข้าสู่ระดับปรมะ (2)
อย่างไรก็ตาม การลอบดูเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การประสบด้วยตัวเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง เมื่อมือขนาดใหญ่ของโจวเหว่ยชิงโอบรอบเอวเพรียวบางและส่วนโค้งเว้าด้านล่าง ร่างกายของเธอก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา
ภายในใจที่ร้อนรนของหญิงสาวอยากจะหลบหนีไป แต่ในขณะนี้เธอก็ได้เลือกที่จะมอบรางวัลอันล้ำค่าที่สุดของตัวเองให้แก่โจวเหว่ยชิงเพื่อรักษาหัวใจที่บอบช้ำของเขา เพื่อผ่อนคลายเส้นหัวใจที่ถูกขึงจนตึงมาอย่างยาวนาน เธอกลัวว่าหากเขาอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อ หัวใจของเขาจะพังทลายไปโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเธอจะต้องการหลบหนีจากเขามากแค่ไหน เธอก็ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องแปรเปลี่ยนความอับอายที่กำลังพลุ่งพล่านภายในให้กลายเป็นการกระทำที่บ้าคลั่งแทน
ส่วนโค้งเว้าอันแสนอ่อนหวานของเทียนเอ๋อร์จุดประกายความปรารถนาอันเร่าร้อนในใจของโจวเหว่ยชิง และทันใดนั้น เขาก็พลิกตัวแล้วกดเธอลงไปด้านล่างแทน
สองสามวันที่ผ่านมาหัวใจของเขาถูกมือที่มองไม่เห็นบีบและผนึกเอาไว้อย่างแน่นหนา และในที่สุดมันก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งด้วยวิธีการที่แสนพิเศษโดยเทียนเอ๋อร์ ไฟในใจของโจวเหว่ยชิงกำลังลุกโชนราวกับเตาไฟขนาดใหญ่ที่กำลังลามเลียและกลืนกินเทียนเอ๋อร์เข้าไปอย่างช้าๆ…
โจวเหว่ยชิงสนองจูบของเธอกลับคืนอย่างบ้าคลั่งและเทียนเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะกระสับกระส่ายและบิดตัวไปมา เธอไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของตัวเองได้ว่าเป็นความหวาดกลัวหรือความสุขสมขณะที่ร่างกายของพวกเขาขยับเข้าหากัน
หมอกจางๆ ดูเหมือนจะลอยขึ้นฟุ้งเต็มห้อง และอุณหภูมิภายในก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน ราวกับว่าอากาศเบาบางในห้องนั้นก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างเสือดำและเสือขาวที่กำลังเกี่ยวรัดกัน เสือดำเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันเร่าร้อน ในขณะที่เสือขาวกำลังเอียงอายอยู่ด้านข้าง และเสียงหอบเบาๆ ของพวกเขาก็ดังไปทั่วห้อง
ในขณะที่ความเจ็บปวดเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ธรรมชาติของสัตว์ป่าก็ได้ถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้ง ลายเสือสีน้ำเงินและลายเสือดำปรากฏบนร่างของทั้งสองคนตามลำดับในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้แสงสว่างจากทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ของพวกเขาก็แผ่ออกมาห่อหุ้มทั้งสองคนเอาไว้ด้วย
เมื่อความเจ็บปวดกลายเป็นอาการชาซาบซ่านที่แปลกประหลาด เสียงร้องที่เจ็บปวดก็ค่อยๆ กลายเป็นเสียงร้องครวญครางต่ำๆ ด้วยความปราถนาและความต้องการ
นอกเหนือจากความสับสนมึนงงแล้วก็มีความสุขที่หญิงสาวไม่เคยสัมผัสมาก่อนแฝงอยู่ด้วย และเมื่อนิสัยธรรมชาติที่แสนป่าเถื่อนของเธอถูกจุดประกายขึ้น แสงสว่างในห้องก็พลันเจิดจ้าขึ้นจนถึงจุดสูงสุด แม้แต่ภายในซอกมุมของห้องก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมของพลังปราณสวรรค์เข้มข้น
ภายนอกประตู สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่กำลังจับกลุ่มรวมตัวกัน พวกเขากำลังเฝ้าประตูอยู่ด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาทุกคนกลับมีสีหน้าแปลกประหลาด
เสียงร้องอย่างสุขสมของเทียนเอ๋อร์ไม่ได้ถูกปิดกั้นไว้ด้วยบานประตู และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเดาว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้อง เช่นนี้สีหน้าของพวกเขาจะไม่แปลกประหลาดได้อย่างไร?
หลินเทียนอ้าวยืนอยู่ด้านนอกประตูอย่างกระวนกระวายเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เมื่อมองไปที่สีหน้าของขี้เมาเป่า เซียวเอี๋ยนและสี่น้อย เขาก็พูดอย่างฉุนเฉียว “พวกเจ้ากลับไปที่ห้องเสีย”
ขี้เมาเป่าขยับเข้ามาใกล้และพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ “หัวหน้า แม้ว่าเราจะกลับไปที่ห้อง แต่เราก็นอนไม่หลับอยู่ดี! เสียงร้องของแม่นางเทียนเอ๋อร์นั้น…กระตุ้นพวกเรา…เกินไป….พวกเราออกไปเดินเล่นกันดีกว่า ไม่เช่นนั้นเราก็คงจะทนไม่ไหวเช่นกัน”
ความสูงใหญ่ของอู่หยาทำให้เธอสามารถโผล่หน้าไปหาขี้เมาเป่าก่อนจะพูดว่า “เหว่ยชิงแข็งแกร่งมากจริงๆ! เฮ้อ…ทำไมเขาถึงไม่ยอมตามข้ากลับไปที่เผ่าอีกาทองนะ? น่าเสียดายจริงๆ!”
หลินเทียนอ้าวจ้องมองพวกเขาและพูดว่า “ในหัวของพวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่! แม่นางเทียนเอ๋อร์ผู้นี้เสียสละตนเองเพราะเห็นแก่เหว่ยชิง เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่จมปลักไปกับความสิ้นหวังและความทุกข์ทรมาน ข้าเตือนพวกเจ้าทุกคนว่าในอนาคตควรเคารพนางให้มากขึ้น การที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งทำสิ่งนี้เพื่อผู้ชายอีกคน ยอมเสียสละสิ่งที่มีค่าที่สุดของตนเองเพียงเพราะเห็นแก่ที่เขาอยู่ในช่วงขีดอันตราย…สิ่งที่นางทำเพื่อเหว่ยชิงนั้นมากเกินพอที่จะได้รับความเคารพจากเราแล้ว”
ในที่สุด ขี้เมาเป่าและคนอื่นๆ ก็หนีออกจากที่เกิดเหตุไป สำหรับชายหนุ่มไฟแรงเช่นพวกเขา การได้ยินเสียงแบบนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ นั่นเป็นการกระตุ้นที่น่าแตกตื่นมากเกินไป…
มีเพียงหลินเทียนอ้าวเท่านั้นที่ยังคงอยู่นอกประตู และเขาก็อดทนเป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมงก่อนจะถูกบังคับให้ต้องราดน้ำเย็นลงบนศีรษะที่ร้อนจัดของตัวเองเช่นกัน จากนั้นเสียงจากภายในห้องก็ค่อยๆ เงียบลง
โจวเหว่ยชิงหลับสนิทและเทียนเอ๋อร์ก็นอนอยู่บนหน้าอกของเขาพลางหลับตาลงเล็กน้อย ร่างกายที่มีรอยช้ำของเธอกดทับบนร่างของเขาขณะที่หญิงสาวยังคงหายใจหอบเหนื่อยจากการออกกำลังระหว่างคนทั้งคู่
หลังจากได้ปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกกักขังไว้ เมื่อรวมกับความเหนื่อยล้าที่ฝังรากลึกอยู่ภายในตัว โจวเหว่ยชิงจึงหลับเป็นตายอยู่ในห้วงนิทรา ในที่สุดคิ้วของเขาก็คลายลงเนื่องจากได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เทียนเอ๋อร์ที่กำลังสัมผัสหน้าของเขาเบาๆ จึงยิ้มออกมาน้อยๆ
“เจ้าคนโง่เง่า ไม่รู้หรือว่าเมื่อเจ้าตัดสินใจที่จะช่วยแม่ลูกมังกรตัวนั้นอย่างเด็ดเดี่ยว หัวใจของข้าก็ถูกเจ้าพิชิตไปแล้ว อันธพาลน้อย เจ้าลงมือกับข้ารุนแรงมาก ข้าไม่รู้ว่าปิงเอ๋อร์ทนเจ้าได้อย่างไร…”
เทียนเอ๋อร์มีความรู้สึกมากมายผสมปนเปกันอยู่ภายในหัวใจ ทั้งอิ่มเอมใจและอ่อนเพลียเรี่ยวแรง เธอจึงจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราในอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิงอย่างง่ายดาย
ในที่สุด โจวเหว่ยชิงก็ได้หลับสนิทอย่างเป็นสุขและตื่นขึ้นมาหลังจากพักผ่อนมาทั้งคืน เมื่อเขาตื่นขึ้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกสดชื่นและเต็มไปด้วยกำลังวังชา โจวเหว่ยชิงลุกนั่งบนเตียงก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ แต่เขากลับพบว่าตนอยู่คนเดียวและถูกห่อด้วยผ้าห่มที่ทั้งอุ่นและนุ่ม ร่างกายของเขาไม่เพียงได้รับการทำความสะอาด ทว่าเขายังสวมชุดใหม่อีกด้วย
เทียนเอ๋อร์ ต้องเป็นเทียนเอ๋อร์แน่นอน แม้โจวเหว่ยชิงจะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ แต่เขาก็รู้ดีว่าเทียนเอ๋อร์ต้องเป็นคนจัดการทั้งหมดนี้แน่นอน
ประตูถูกเปิดออกและหลินเทียนอ้าวก็เดินเข้ามาจากด้านนอก “เอ๊ะ เหว่ยชิง เจ้าตื่นแล้ว!”
แม้โจวเหว่ยชิงจะหน้าด้านหน้าทนมาโดยตลอด แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าและแววตากระอักกระอ่วนของหลินเทียนอ้าว เขาก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเล็กน้อย “พี่ใหญ่ เทียนเอ๋อร์อยู่ที่ไหนหรือ?”
หลินเทียนอ้าวยิ้มและพูดว่า “นางไปหาอาหารมาให้เจ้า เหว่ยชิง เจ้าควรปฏิบัติต่อนางให้ดี…”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้ารับ
หลังจากผ่านการปลดปล่อยที่แสนรื่นรมย์เมื่อคืนที่ผ่านมา ในที่สุดเขาก็เดินออกมาจากเงามืดของฝันร้ายครั้งนั้นได้แล้ว หรืออย่างน้อยก็สามารถก้าวออกมาได้สองสามก้าวแรก ความเกลียดชังในใจของเขาไม่ได้ลดน้อยลง แต่อย่างน้อย เขาก็จะไม่ทำอะไรโง่ๆ อีกต่อไป
ในขณะนั้นเอง เทียนเอ๋อร์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู ถือถาดอยู่ในมือขณะที่เธอเดินเข้ามาภายในห้อง เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงยืนอยู่ที่นั่น ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ และเธอก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย
หลินเทียนอ้าวยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินออกไปแล้วปิดประตูตามหลัง ทิ้งคู่รักสองคนไว้ด้วยกันตามลำพัง
เทียนเอ๋อร์เดินไปด้านข้างและวางถาดลงบนโต๊ะเงียบๆ มันเป็นโจ๊กเนื้อที่โชยกลิ่นหอมออกมา
โจวเหว่ยชิงก้าวไปข้างหน้า จับมือและดึงหญิงสาวเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอย่างแน่นหนา ฝังใบหน้าของเขาที่ระหว่างกลุ่มผมและลำคอของเธอขณะสูดดมกลิ่นหอมของอีกฝ่าย มือของเขาโอบรัดร่างของเทียนเอ๋อร์แน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“เทียนเอ๋อร์…ดีจริงๆ ที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างข้า…”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เทียนเอ๋อร์ก็สั่นสะท้านน้อยๆ หญิงสาวโอบเอวโจวเหว่ยชิงตอบทันที น่าเสียดาย โจว เหว่ยชิงไม่เห็นว่าในขณะนั้นดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“เหว่ยชิง เจ้ากินอะไรก่อนดีกว่า ข้าจะไปที่วังกักเก็บทักษะกับเจ้าหลังจากนี้”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าก่อนที่จะปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน เด็กหนุ่มประทับจูบเบาๆ ลงบนใบหน้าของเธอ ในขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาสบีบพื้นที่บางส่วนและทำให้เธอร้องออกมา รอยยิ้มซุกซนปรากฏบนใบหน้าของเขาก่อนที่เด็กหนุ่มจะนั่งลงที่โต๊ะและเริ่มรับประทานอาหาร
เทียนเอ๋อร์มองเขาด้วยแววตาที่มีทั้งความอ่อนโยนและระแวดระวัง ก่อนจะยกมือขึ้นกอดหน้าอกตนเองอย่างเร่งรีบ อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเธอกลับฉายแววโล่งใจ อย่างน้อย…อ้วนน้อยโจวของเธอก็กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว แม้เทียน เอ๋อร์จะรู้ว่าเขายังคงซ่อนหลายสิ่งไว้ในใจของเขา และบาดแผลที่ลึกขนาดนั้นคงจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ง่ายๆ แต่อย่างน้อยที่สุด เขาก็กลับมาเป็นปกติที่ภายนอกแล้ว
“เทียนเอ๋อร์ ทำไมหลังจากที่เราทำกันไปแล้วพลังปราณสวรรค์ของข้าดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมากล่ะ? ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนใกล้จะทะลุขึ้นไปอีกระดับแล้ว!” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้
ใบหน้าของเทียนเอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม และเธอก็พูดอย่างร้อนรน “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก เร็ว ทำตัวดีๆ แล้วกินเข้าไปซะ”
โจวเหว่ยชิงคว้าตัวอีกฝ่ายและดึงเข้ามาใกล้ ก่อนจะกดสะโพกของเธอให้นั่งบนต้นขาของเขาอย่างสนิทสนม “บอกมาเร็วๆ ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องทดลองใหม่อีกครั้งด้วยตัวเอง” ขณะพูดอย่างนั้น มือของเขาก็ไล้ไปรอบเอวของเธอทันที
“ดะ…เดี๋ยวก่อน…ข้าจะพูด…ข้าพูดแล้ว…” เทียนเอ๋อร์รีบคว้ามือที่กำลังลูบไล้ไปทั่วและหยุดมันไว้ “น่าจะเป็นเพราะทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราผสานกัน ข้าไม่รู้เกี่ยวกับรายละเอียดที่แน่นอน แต่ก่อนหน้านี้เมื่อข้าทะลวงจากระดับปรมะไปสู่ระดับเทวะขั้นแรก ข้าก็ได้รับความช่วยเหลือจากทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 ของเจ้าอย่างธาตุปีศาจและธาตุกาลเวลาด้วย อย่างที่ข้าพูดไป ดูเหมือนว่าเมื่อทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ของเราอยู่ด้วยกัน พวกมันจะสร้างพื้นที่กระแสพลังที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ความเร็วในการฝึกปราณของพวกเราก้าวหน้ากว่าตอนที่อยู่คนเดียวมาก เมื่อ…เมื่อครั้งที่เรา…เจ้าและข้า…ที่เจ้ารู้นั่นแหละ…บางทีนั่นอาจทำให้พลังปราณสวรรค์ของเราผสานกันและพัฒนาขึ้นด้วยเหตุนั้น”
โดยธรรมชาติแล้วโจวเหว่ยชิงไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากสิ่งนี้ เทียนเอ๋อร์เองก็ได้รับผลประโยชน์มากมายเช่นกัน แน่นอนว่าระดับพลังปราณของเธอสูงกว่าของโจวเหว่ยชิงมาก ดังนั้นมันจึงไม่ชัดเจนเท่าเขา
โจวเหว่ยชิงจ้องมองเธอพลางอ้าปากค้างก่อนจะพูดว่า “นั่นไม่ได้หมายความว่า…ถ้าเราทำบ่อยขึ้น มันจะส่งผลดีมากกว่าใช้วิชาฝึกปราณอื่นๆ หรือ?!”
“เจ้า…” เทียนเอ๋อร์หน้าแดงก่ำเมื่อเข้าใจสิ่งที่เขาพูด “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้คิดเรื่องลามกแบบนั้น นั่นเป็นเพียงรางวัลครั้งเดียวสำหรับเจ้า เพียงครั้งเดียวเท่านั้น! นอกจากนี้…แม้ว่าเราจะ…ทำกันอีกครั้งในอนาคต…แต่มันก็จะไม่มีผลเหมือนครั้งแรก”
โจวเหว่ยชิงมองไปที่เทียนเอ๋อร์อย่างหลงใหลและพูดด้วยความรู้สึกผิดในดวงตาของเขา “เทียนเอ๋อร์…ขอบคุณ ข้าขอโทษจริงๆ ข้าไม่ควรทำเรื่องนี้กับเจ้าในเวลาแบบนี้”
เทียนเอ๋อร์ส่งเสียงเบาๆ หันหลังให้เขาก่อนจะส่ายหัวอย่างเงียบงัน ในที่สุดเธอก็พูดว่า “มัน…เป็นความปรารถนาของข้าเอง…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต เจ้าก็จะเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของข้าเสมอ”
……………………………………………………….