Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 119 ปลอมตัว (1)
“เจ้าอยากไปคนเดียวงั้นหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง หลินเทียนอ้าวก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วด้วยความกังวล
โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างเต็มที่และพูดว่า “พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านน่าจะรู้แล้วว่าข้าดูแลตัวเองได้ คนที่กลัวความตายเช่นข้า หากมีอันตรายเกิดขึ้นจริงๆ ข้าก็คงจะต้องหลีกเลี่ยงให้ดีที่สุดอยู่แล้ว นอกจากนี้ หากอยู่ตัวคนเดียว ข้าก็จะไม่ตกเป็นเป้าสายตามากนัก ด้วยพลังที่ข้ามี ข้าจึงไม่น่าจะต้องใช้เวลาสร้างชื่อในกองทัพนานนัก ถึงตอนนั้นพวกท่านก็จะสามารถสมัครเข้าร่วมกองทัพเพื่อมาอยู่ข้างกายข้าได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ท่านก็รู้ กลุ่มนักรบเฟยหลี่ของเราเคยแสดงฝีมือในงานประลองมณีสวรรค์มาก่อนหน้านี้แล้ว หากพวกเราเข้าร่วมกองทัพด้วยกัน สำหรับทุกคนที่ได้ดูการแข่งขัน มันจะไม่เป็นเรื่องโจ่งแจ้งเกินไปหรอกหรือ?”
หลินเทียนอ้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ที่เจ้าพูดมาก็ถูกต้อง เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเราก็จะทำตามที่เจ้าพูด เชื่อใจได้เลย เจ้าสามารถฝากฝังธุระทุกอย่างไว้กับข้าได้ แล้วเจ้าวางแผนจะเข้าร่วมกองทัพเมื่อใดล่ะ?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ยิ่งเร็วยิ่งดี เวลาที่ผ่านไปทุกๆ วันมีค่ากับข้ามาก และยิ่งเข้าร่วมกองทัพเร็วเท่าไหร่ ข้าก็จะสามารถทำให้แผนการดำเนินต่อไปได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกล่าวว่า “ดี ในอนาคต ทุกๆ วันตอนพระอาทิตย์ขึ้น ข้าจะส่งคนไปรอที่ประตูทางทิศเหนือเพื่อพบเจ้า เมื่อเจ้าจัดการทุกอย่างในกองทัพเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จงหาโอกาสออกมาพบเขาและแจกแจงแผนการต่างๆ กับเรา”
โจวเหว่ยชิงหรี่ตาเล็กน้อยและพูดว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ พี่ใหญ่ พี่น้องทุกคน โปรดดูแลตัวเองด้วย แล้วพบกันเร็วๆ นี้” หลังจากนั้น เขาก็หันหลังเตรียมตัวจากไป ทว่าก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ทันทำสิ่งใด เขารู้สึกได้ว่าเสื้อของตนถูกดึงรั้ง และแน่นอนว่าเป็นฝีมือของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์นั่นเอง
“เจ้าอาจจะคิดถูกที่ไม่นำคนที่เหลือไปด้วย แต่เจ้าจะต้องพาข้าไปด้วย ข้าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนักรบเฟยหลี่อยู่แล้ว การเพิ่มข้าเข้าไปอีกหนึ่งคนย่อมจะไม่เกิดปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น!”
เมื่อมองไปที่ดวงตาระยิบระยับของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกหมดหนทาง “ทำไมเจ้าถึงต้องตามข้าไปทุกๆ ที่ด้วย? เจ้าคิดว่าข้ากำลังเที่ยวเล่นอยู่หรือไง?”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์แค่นเสียงและพูดว่า “อย่าคิดว่าเจ้าจะทิ้งข้าไว้ที่นี่ได้ ประการแรก ข้าต้องช่วยปิงเอ๋อร์คอยจับตาดูเจ้า กองทัพอาณาจักรจ้งเทียนของเรารับสมัครสตรีเช่นกัน และพวกเราก็ไม่มีอคติกับการส่งเสริมทหารหญิงที่มีความสามารถ คนอย่างเจ้าน่ะไว้ใจไม่ได้ ถ้าเกิดไปพบผู้หญิงคนอื่นขึ้นมาล่ะ? นอกจากนี้ เจ้ากำลังจะแอบเข้าไปในกองทัพจ้งเทียนของเรา ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของวังสวรรค์ไพศาล ข้าจะต้องคอยจับตาดูเจ้าเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเจ้าก็อาจจะทำสิ่งที่ขัดต่อผลประโยชน์ของอาณาจักรจ้งเทียนก็เป็นได้ แล้วข้าก็จะต้องมาสำนึกเสียใจได้ทีหลังเมื่อสายเกินไป ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยังไง ข้าก็ไม่สนใจ ข้าจะติดตามเจ้า!”
โจวเหว่ยชิงเอ่ยอย่างขุ่นเคืองขณะที่จ้องมองอีกฝ่าย “อย่ามาอ้างเหตุผลสูงส่งอะไรเหล่านั้นเลย คิดว่าข้าไม่รู้หรือ เจ้าจะต้องสงสัยว่าการเข้าร่วมกองทัพนั้นน่าสนใจและน่าสนุกขนาดไหน นั่นคือเหตุผลที่เจ้าต้องการติดตามข้าต่างหาก กำลังมองหาอะไรใหม่ๆ เพื่อเล่นฆ่าเวลาอยู่ใช่ไหมล่ะ? หึ”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าโจวเหว่ยชิงกำลังจี้ใจดำเข้าอย่างแรง ทว่าหญิงสาวก็ยังคงพูดต่ออย่างอาจหาญ “แล้วยังไงล่ะ? ไม่ว่าจะยังไงข้าก็จะติดตามเจ้า!”
อันที่จริงโจวเหว่ยชิงไม่รู้จะทำอย่างไรกับซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ดี นับประสาอะไรกับความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถเอาชนะเธอได้ แต่แม้ว่าเขาจะทำได้จริงๆ โจวเหว่ยชิงก็ไม่สามารถทุบตีเธอได้อยู่ดี เพียงแค่มองไปยังหญิงสาวดูเหมือนปิงเอ๋อร์ทุกประการผู้นี้ หัวใจของเด็กหนุ่มก็อ่อนยวบเกินกว่าจะทำร้ายเธอได้
“คุณหนูรองที่รักของข้า…โปรดอย่าล้อเล่นอีกเลย แม้ว่ากองทัพจ้งเทียนของเจ้าจะมีความเท่าเทียมมากพอจะให้ผู้หญิงเข้าร่วมกองทัพ แต่นั่นก็ยังถือว่ายากลำบากกว่าผู้ชายมากนัก นอกจากนี้แม้ว่าเจ้าจะเข้าร่วมกองทัพได้จริงๆ เจ้าก็ไม่สามารถอยู่กับข้าได้เช่นกัน ไม่ว่ากองทัพจ้งเทียนของเจ้าจะให้อิสระเสรีแค่ไหน พวกเขาก็คงจะไม่จัดให้ชายและหญิงอยู่ด้วยกันหรอก”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ยิ้มและพูดว่า “ฮิๆ เอาเช่นนี้ไม่ง่ายกว่าหรือ? เดี๋ยวข้าจะปลอมตัวเป็นผู้ชายให้เจ้าดู เจ้ารอ เดี๋ยว!” หลังจากพูดเช่นนั้น หญิงสาวก็หมุนตัวและวิ่งหายไปในชั่วพริบตา
เมื่อเห็นร่างของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์หายลับไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็พูดกับหลินเทียนอ้าวด้วยน้ำเสียงต่ำๆ ทันที “พี่ใหญ่ ข้าจะออกไปก่อน ทุกท่านโปรดดูแลตัวเองด้วย ช่วยข้าฝึกฝนหม่าฉุนให้ดี สหายคนนั้นมีพรสวรรค์มากพอตัว หากขยันขันแข็ง เขาก็น่าจะประสบความสำเร็จได้ในอนาคต ข้าจะทิ้งเงินไว้ที่นี่เพื่อให้ทุกคนได้หลอมรวมม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บที่จำเป็น ส่วนท่านก็จะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้” ในขณะที่พูดอย่างนั้น เขาก็โยนบัตรเก็บเหรียญทองของตนให้หลินเทียนอ้าว ก่อนจะเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะรอให้ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์แต่งตัวเสร็จและออกมาเกาะติดตนเอง ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้หนีไป เขาก็คงไม่ใช่โจวเหว่ยชิงแล้ว
หลินเทียนอ้าวเฝ้าดูร่างของโจวเหว่ยชิงที่หายลับตาไปในระยะไกลๆ และอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ไปกันเถอะ อันดับแรกเราต้องหาที่พักกันก่อน”
โตวโตวสาวน้อยจอมมึนมองเขาอย่างลังเลและพูดว่า “ถ้าเหว่ยชิงไป…แล้วใครจะหาอะไรให้ข้ากิน?”
หยุนลี่ตบหน้าอกตัวเองพลางพูดว่า “ถึงเขาจะจากไปแต่ก็ยังมีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกังวล ถ้าอยากจะกินอะไรก็แค่บอกให้ข้ารู้”
เมื่อได้ยินว่าจะมีอาหาร โตวโตวก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขทันที “ท่านเป็นคนดีมาก”
จู่ๆ หลินเทียนอ้าวก็สะดุดจนเกือบล้ม ชายหนุ่มหันไปมองหยุนลี่และเอ่ยออกมาในที่สุดว่า “ผู้หญิงคนนั้นไร้เดียงสาเกินไป เจ้าไม่ควรฉวยโอกาสรังแกนาง ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะไม่มีหน้าไปพบเหว่ยชิงได้”
หยุนลี่กล่าวตอบด้วยความอับอายปนฉุนเฉียว “อะไรกัน? ข้าดูเหมือนคนที่จะทำแบบนั้นหรือไง?”
“ใช่!” สี่น้อย ขี้เมาเป่า หม่าฉุนและคนอื่นๆ ส่งเสียงขึ้นมาพร้อมๆ กัน สองสามวันที่ผ่านมานี้พวกเขาคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ดังนั้นการหยอกล้อกันจึงกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
“ได้! พวกเจ้าทุกคนรอก่อนเถอะ อย่ามาขอข้าสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ให้ก็แล้วกัน!”
หม่าฉุนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากและกล่าวเหน็บแนมว่า “อาจารย์หยุน คำขู่ของท่านไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว แค่มีอาหารให้โตวโตว พวกเรายังจำเป็นจะต้องห่วงเรื่องม้วนคัมภีร์อีกหรือ!”
หลินเทียนอ้าวส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “เอาล่ะ เลิกเล่นกันได้แล้ว ไปหาที่พักกันเถอะ หลังจากเดินทางกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเราก็จะได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่เสียที”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คนอื่นๆ ในกลุ่มจึงหยุดเล่นกัน และพวกเขาทั้งหมดก็มุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองเทียนเป่ยทันที
ดูเหมือนว่าโจวเหว่ยชิงจะรีบร้อนจากไปโดยไม่ได้ให้คำแนะนำอะไรกับคนที่เหลือมากนัก แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อมีหลินเทียนอ้าวอยู่ โจวเหว่ยชิงก็ไม่กังวลอีกต่อไป หลินเทียนอ้าวเป็นเสาหลักที่มั่นคงของกลุ่ม และตราบใดที่มีเขาอยู่ที่นั่น โจวเหว่ยชิงก็มั่นใจเต็มที่ว่าทุกคนจะสบายดี
หลังจากเข้าสู่เมืองเทียนเป่ยแล้ว โจวเหว่ยชิงก็เดินไปตามถนนอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ แต่เด็กหนุ่มก็รู้ว่าตนต้องมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ถึงอย่างไรจุดประสงค์ที่สร้างเมืองเทียนเป่ยก็เพื่อใช้เป็นแนวป้องกันอาณาจักรวั่นโซ่วที่อยู่ทางเหนืออยู่แล้ว ดังนั้นกำแพงทิศเหนือของพวกเขาจึงน่าจะเป็นสถานที่ที่กองทัพจะประจำการอยู่ หากโจวเหว่ยชิงต้องการเข้าร่วมกองทัพ ที่นั่นย่อมเป็นสถานที่ที่เขาจะต้องเดินทางไป และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมหลินเทียนอ้าวจึงนัดพบเขาที่ประตูทางทิศเหนือ
โจวเหว่ยชิงเดินข้ามถนนเส้นแล้วเส้นเล่าอย่างรวดเร็ว ไม่นานเขาก็สามารถมองเห็นประตูทางทิศเหนือได้ในระยะไกลๆ เมื่อมองย้อนกลับไป เขาก็ไม่เห็นเงาของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อีก เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางคิดกับตัวเอง โชคดีจริงๆ ที่ข้าวิ่งเร็ว!
ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งโผล่ออกมาจากไหนไม่ก็ไม่ทราบ จับเข้าที่ไหล่ของเขาโดยไม่มีสัญญาณบ่งบอกล่วงหน้า
ประสาทสัมผัสของโจวเหว่ยชิงนั้นเหนือกว่าคนธรรมดา และแม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ส่วนใหญ่ในระดับเดียวกับเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มกลับไม่สามารถหลบมือที่พุ่งเข้ามาจี้จุดตายบริเวณไหปลาร้าของตนได้ แม้ว่าหลุมดำพลังปราณที่กระดูกไหปลาร้าของเขาจะสามารถกระจายแรงปะทะได้เป็นจำนวนมาก แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังรู้สึกว่าร่างกายของเขาชาไปเกือบครึ่งหนึ่ง
แม้ไม่ต้องหันหลังกลับไปมอง ใบหน้าของเขาก็ฉายแววหดหู่ขึ้นมาก่อนล่วงหน้า ดูเหมือนว่ายังไงโจวเหว่ยชิงก็ไม่อาจขว้างงูให้พ้นคอได้ นั่นคือมือของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ที่ทรมานเขาขณะช่วยสอนวิชาในไม่กี่วันที่ผ่านมา…และเขาก็คุ้นเคยกับพวกมันมากเกินไป