Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 119 ปลอมตัว (2)
“วีรสตรีที่รักของข้า ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด” โจวเหว่ยชิงถอนหายใจอย่างอับจนหนทางขณะที่เขาหันหลังกลับไป
ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มหันไปเห็นคนที่จับไหล่ของตน เขาก็ชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด
นั่นไม่ใช่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อย่างที่คาดคิด แต่เป็นเด็กหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวคนหนึ่ง
คนๆ นี้ดูธรรมดาสามัญมาก ไม่สูงโดดเด่นหรือเตี้ยจนเกินไป คำว่า ‘กลางๆ’ คงจะเป็นคำที่สามารถนำมาอธิบายเขาได้ เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มเรียบง่าย ผมสีดำที่มัดขึ้นเป็นหางม้าด้านหลังทำให้เขามีภาพลักษณ์ของวีรบุรุษที่กล้าหาญ อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงก็มั่นใจมากเช่นกันว่าเขาไม่รู้จักบุคคลตรงหน้านี้
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ ความรู้สึกระวังภัยของโจวเหว่ยชิงถูกจุดขึ้นมาในทันที เด็กหนุ่มเร่งการป้องกันของเกราะเทพอมตะให้ถึงขีดสูงสุดโดยไม่ลังเล ในขณะเดียวกัน เขาก็เตะขาขวาใส่เด็กหนุ่มด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด การถูกชายแปลกหน้าสัมผัสตัวอย่างกะทันหันเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่
น่าเสียดายที่ความพยายามของโจวเหว่ยชิงกลับไร้ผล มือที่จับไหล่พลันขยับตามการเคลื่อนไหวของเขา และเด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างกายของตนไร้เรี่ยวแรงและอ่อนยวบลงในพริบตา เกราะเทพอมตะของเขาไม่สามารถผลักไสมือของคู่ต่อสู้ออกไปได้ และลูกเตะจากขาขวาของเขาก็อ่อนกำลังจนอีกฝ่ายหักหลบได้อย่างง่ายดาย
“อ้วนน้อยโจว เจ้าอยากตายรึไง?” เสียงของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ดังขึ้นและเต็มไปด้วยความอับอาย อันธพาลคนนี้กล้าเตะท้องน้อยของหญิงสาวเชียวรึ!
“เฟยเอ๋อร์ เจ้าคือเฟยเอ๋อร์?!” กรามของโจวเหว่ยชิงอ้าค้างขณะที่จ้องมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าเขา
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์แค่นเสียงขณะที่พูดว่า “ใช่ นายน้อยผู้นี้คือซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ คราวหลังก็ระวังไว้ให้ดี!”
แม้โจวเหว่ยชิงจะเคยเห็นทักษะการปลอมตัวที่น่าทึ่งของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ในเขตแดนมิติสะท้อนมาก่อน แต่ถึงอย่างไรตอนนั้นเธอก็ปลอมตัวเป็นเด็กผู้หญิง เวลานี้หญิงสาวกลับปลอมตัวเป็นผู้ชายได้อย่างแนบเนียนและมีแม้กระทั่งลูกกระเดือก โจวเหว่ยชิงจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ามองอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ
“หึ ตอนนี้เจ้ารู้แล้วสินะว่าข้าเก่งแค่ไหน ถ้าเจ้าอยากจะยกย่องนายน้อยคนนี้ก็เชิญตามสบายเลย ข้าจะไม่ห้ามเจ้าแน่นอน!” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงพออกพอใจในตนเอง
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “อันที่จริง นั่นเป็นทักษะที่ยอดเยี่ยมมาก น่าเสียดายที่รูปร่างของเจ้าแย่เกินไป”
“เจ้าพูดว่ารูปร่างของใครแย่นะ?!” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เกือบจะหน้ามืดโมโหร้ายใส่เขา และมือที่ยังจับไหล่ของโจวเหว่ยชิงก็ออกแรงกดมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“อ๊าาา ข้าผิดไปแล้ว…” ด้วยการคุกคามดังกล่าว โจวเหว่ยชิงจึงทำได้เพียงแค่ก้มหน้าลงและเอ่ยออกมาอย่างหมดหนทาง “เฮ้อ หากเจ้ายืนยันที่จะติดตามข้าเข้ากองทัพจริงๆ งั้นก็ไปกันเถอะ” เขาไม่มีทางหนีจากแม่นางน้อยคนนี้พ้น ดังนั้นจึงทำได้แค่เพียงต้องยอมรับชะตากรรมเท่านั้น
ในที่สุดซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ยอมปล่อยเขาและพูดด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ “ดีมาก เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงเดินต่อไปยังประตูทางทิศเหนือ ในขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนน โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะตรวจสอบซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะมองจากมุมไหน เด็กหนุ่มก็ตรวจไม่พบจุดบกพร่องในการปลอมตัวของเธอแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะหญิงสาวใช้น้ำเสียงเดิมพูดกับเขา เขาคงไม่มีทางเดาได้ว่านี่คือซ่างกวนเฟย เอ๋อร์
“แล้วพวกเราจะไปเข้าร่วมกองทัพที่ไหน?” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ถามเขา คราวนี้เธอเปลี่ยนน้ำเสียงไปเป็นอีกโทนหนึ่ง แม้ว่าจะยังคงกระจ่างชัดและไพเราะมีเสน่ห์ แต่นั่นก็ไม่ใช่เสียงของผู้หญิงอีกต่อไป
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “อันดับแรกเราต้องมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทางทิศเหนือเพื่อดูสถานการณ์ก่อนจึงจะสามารถตัดสินใจทำอะไรต่อได้ เนื่องจากสถานการณ์การสู้รบทางชายแดนเหนือนี้ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด ข้าจึงมั่นใจว่าอาณาจักรจ้งเทียนของเจ้าจะต้องกำลังมองหาพวกเลือดใหม่ไฟแรงอยู่ตลอดเวลาแน่นอน”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ นั่นเป็นความจริง เช่นนั้นเจ้าจะเข้าร่วมกับกองทัพในฐานะจ้าวมณีสวรรค์หรือ?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “แน่นอน มีเพียงวิธีนั้นที่จะทำให้ข้าไปถึงตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงในกองทัพได้โดยเร็วที่สุด”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กล่าวว่า “แล้วข้าล่ะ? ร่างผู้ชายที่ข้าปลอมตัวอยู่นี้มีอายุราวๆ 20 ปี ถ้าข้าเปิดเผยพลังของตัวเองออกไป มันย่อมจะต้องทำให้เกิดความสงสัยขึ้นแน่ๆ”
โจวเหว่ยชิงกลอกตาและพูดว่า “แน่นอนว่าเจ้าจะไม่สามารถใช้พลังของตัวเองได้ นี่ยังต้องถามอยู่อีกหรือ? นอกเหนือจากผู้ที่มาจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะไปถึงระดับมณี 6 ชุดขณะอายุ 20! หากเจ้าต้องการเข้าร่วมกองทัพกับข้า เจ้าก็ต้องเชื่อฟังข้า ขณะไปรายงานตัว ข้าจะบอกว่ามาจากตระกูลขุนนางที่กำลังตกต่ำและเจ้าก็เป็นผู้ติดตามของข้า หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า เว้นแต่จะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง เจ้าก็ห้ามเปิดเผยพลังของตัวเองเด็ดขาด อย่างน้อยก็จนกว่าข้าจะเลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งที่ต้องการและสามารถจัดตั้งหน่วยรบของตัวเองได้”
“ไม่มีทาง ข้าจะเป็นผู้ติดตามของเจ้าได้อย่างไร?” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์คัดค้านขึ้นมาทันที
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างดุร้าย “ถ้าเจ้าไม่ต้องการเป็นผู้ติดตามของข้าก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าต้องให้ข้าตบก้นก่อน 20 ครั้ง ชดใช้ที่เจ้าเป็นหนี้ข้า”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พึมพำกับตัวเอง “เจ้าคนใจแคบเอ๊ย!…ดี เป็นผู้ติดตามก็เป็น แต่เจ้าอย่าหวังนะว่าข้าจะบริการเจ้า!”
โจวเหว่ยชิงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดว่า “ตราบใดที่เจ้าไม่พูดมากจนเกินไปและอยู่ข้างๆ ข้าตลอดเวลา นั่นก็ดีมากพอแล้ว ข้าคงไม่กล้าให้คุณหนูรองแห่งวังสวรรค์ไพศาลมารับใช้ตนเองหรอก…”
ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงประตูทิศเหนือ น่าเสียดายที่พวกเขาต้องพบกับความผิดหวังเนื่องจากไม่มีการตั้งโต๊ะรับเกณฑ์ทหารเหมือนที่พวกเขาคาดไว้ ประตูทางทิศเหนือเปิดกว้างและถนนก็คึกคักไปด้วยผู้คน ทหารเพียงกลุ่มเดียวที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้คือทหารที่สวมชุดเกราะอย่างดีจำนวน 50 คนซึ่งเฝ้าอยู่ที่ประตู
“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร?” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์มองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น แม้ว่าเธอจะเป็นพลเมืองของอาณาจักรจ้งเทียน แต่หญิงสาวก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเกาะมณีสวรรค์และไม่เคยออกไปไหนมาก่อน ในแง่ของการรับมือกับสถานการณ์โลกภายนอก เธอไม่อาจเทียบโจวเหว่ยชิงได้อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับกองทัพจ้งเทียนด้วย
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ให้ข้าลองไปสอบถามดูก่อน”
เขาสาวเท้าเข้าไปหาทหารยามคนหนึ่งที่เฝ้าประตูอยู่อย่างรวดเร็ว รอยยิ้มใสซื่อที่โจวเหว่ยชิงไม่ได้ใช้มานานพลันปรากฏขึ้นอีกครั้ง “พี่ใหญ่ท่านนี้ ข้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม? กองทัพจ้งเทียนของเรากำลังต้องการทหารหรือไม่?”
ทหารคนนั้นมองมาที่เขาก่อนจะพยักหน้ากล่าวว่า “แน่นอน เรากำลังรับสมัครทหารใหม่อยู่ เจ้าไม่ได้มาจากแถวนี้ใช่ไหม? ไม่งั้นเจ้าก็คงจะต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้ว! ข้าไม่ได้อยู่แถวนี้แต่เดินทางมาที่นี่เพราะต้องการเข้าร่วมกับกองทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพที่ชายแดน ทั้งหมดก็เพื่อต่อสู้กับศัตรูของเรา!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทหารคนนั้นก็ยิ้มและยกมือขึ้นตบไหล่ของโจวเหว่ยชิง “ดีมาก ดีมาก พิจารณาจากรูปร่างของเจ้าแล้ว การเข้าร่วมกองทัพก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เช่นนั้นข้าจะบอกทางให้ เมื่อเจ้าออกจากประตูทางทิศเหนือแล้วให้มุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือต่อเพื่อไปให้ถึงชายแดน เจ้าจะต้องเดินทางประมาณ 200 กิโลเมตรก่อนจะถึงค่ายหลักของ กองทัพ หากไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น พวกเขาก็น่าจะรับสมัครกันที่นั่น เจ้าต้องไปรายงานตัวและบอกว่ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกองทัพ ไม่ว่าจะเจอกรมทหารไหน เดี๋ยวก็จะมีคนมารับเจ้าไปเอง หากสามารถผ่านการทดสอบไปได้ เจ้าก็จะได้เข้ากองทัพเมื่อนั้นแหละ”
“ขอบคุณมากพี่ใหญ่ 200 กิโลเมตรนั้นถือว่าค่อนข้างไกลเลยทีเดียว”
นายทหารคนนั้นหัวเราะอย่างจริงใจและพูดว่า “อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกลจริงๆ นั่นแหละ แต่นั่นก็เป็นการฝึกในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน โอ้ หากเจ้ามั่นใจในตัวเองล่ะก็ยังสามารถไปลองเสี่ยงโชคได้ที่โดมท้าประลองซึ่งตั้งอยู่ด้านนอกของค่ายหลัก”
“โอ้? โดมท้าประลอง? มันเป็นสถานที่แบบไหนกันขอรับ?” ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจะจากไป จู่ๆ ทหารคนนั้นก็โพล่งเกี่ยวกับสถานที่ที่เด็กหนุ่มไม่เคยได้ยินมาก่อน และเขาก็รู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาในทันที
ทหารกล่าวว่า “โดมท้าประลองเป็นหนึ่งในสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่แถบตอนเหนือของอาณาจักรจ้งเทียนของเรา ทำไมข้าถึงต้องพูดถึงสิ่งนี้น่ะหรือ…เพราะมันเป็นหนึ่งในสถานที่หาความบันเทิงซึ่งหาได้ยากในเขตสงครามยังไงล่ะ นอกจากนั้น สถานที่แห่งนั้นยังช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้ทุกๆ คนด้วย แท้จริงแล้วมันคือสนามประลองขนาดใหญ่ และทหารทุกคนก็สามารถเข้าร่วมได้ตลอดเวลา”
“โดมท้าประลองมีกรมทหารในกองทัพเป็นรากฐานสำคัญ จึงทำให้แต่ละกรมมีโดมท้าประลองเป็นของตัวเอง แน่นอนว่ามีกฎสำหรับการแข่งขันอยู่คือห้ามมิให้ทำร้ายร่างกายฝ่ายตรงข้ามจนบาดเจ็บสาหัส พิการ หรือตายโดยเด็ดขาด หากได้รับชัยชนะจะได้รับรางวัลเป็นเงิน แต่ที่สำคัญกว่านั้น นี่ยังเป็นช่องทางหนึ่งสำหรับการไต่เต้าขึ้นเป็นทหารตำแหน่งระดับสูง หากทหารคนหนึ่งสามารถเอาชนะติดต่อกันได้ เขาก็จะได้รับยศเทียบเท่ากับการเข้าร่วมต่อสู้ในสนามรบ ข้าได้ยินมาว่ายศสูงสุดที่ทหารสามารถไต่เต้าขึ้นไปโดยอาศัยโดมท้าประลองคือระดับผู้บัญชาการกองพัน จ้าวมณีที่ทรงพลังหลายคนจึงใช้วิธีนี้เพื่อเพิ่มยศอย่างรวดเร็ว”
“โอ้? นี่เป็นไปได้ด้วยหรือ?” โจวเหว่ยชิงชะงักไปชั่วขณะ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความชื่นชมจากภายใน
อาณาจักรจ้งเทียนดำรงตนอยู่ในฐานะอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างแท้จริง แม้ว่าเขาจะได้ฟังเพียงคำแนะนำคร่าวๆ จากทหารนายนี้ แต่โจวเหว่ยชิงก็สามารถจับใจความเรื่องราวทั้งหมดและเข้าใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว
ประโยชน์ของโดมท้าประลองนี้ชัดเจนมาก ประการแรก มันจะช่วยให้กองทัพสามารถค้นพบและเลือกสรรเหล่าผู้มีความสามารถได้อย่างง่ายดายและเลื่อนขั้นให้พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง สำหรับเจ้าหน้าที่ยศต่ำๆ ในกองทัพ ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาย่อมสำคัญกว่าความสามารถในการบัญชาการรบ และสำหรับหน่วยเล็กๆ ผู้บังคับบัญชาที่ทรงพลังก็จะมีผลต่อความอยู่รอดของหน่วยและความสามารถในการต่อสู้ในสนามรบมากกว่า
ประการถัดมา โดมท้าประลองนี้จะดึงดูดเหล่าจ้าวมณีให้เข้าร่วมกองทัพมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็รักษาความยุติธรรมเอาไว้ด้วย เพราะสำหรับการเลื่อนยศให้แต่ละคนนั้น การให้ทหารทุกคนได้ร่วมเป็นพยานรับรู้พลังที่แท้จริงในการต่อสู้ของคนที่จะมาเป็นหัวหน้าย่อมต้องดีกว่าการได้รับรู้เพียงระดับพลังปราณอย่างเดียว
ประการต่อไปคือ ในดินแดนทางตอนเหนือที่กว้างขวางแห่งนี้ มีกองกำลังทหารมากกว่าหนึ่งล้านคนประจำการอยู่ นอกเหนือจากการฝึกซ้อมและต่อสู้แล้วยังจะมีอะไรให้กองทหารที่โดดเดี่ยวเหล่านี้ทำอีก? ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การมีโดมท้าประลองจึงกลายเป็นความบันเทิงที่ทำให้พวกเขามีโอกาสระเบิดความอัดอั้นออกมา ในขณะเดียวกันก็ทำให้เหล่าทหารมีแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการหารายได้เพิ่มจากการพนันอีกด้วย แน่นอน นี่จึงเป็นตัวเลือกที่ดีเอามากๆ แต่เดิมกฎของกองทัพเป็นเหมือนกฎแห่งการอยู่รอดในป่าที่ผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับการเคารพอยู่แล้ว เช่นนั้นใครจะไม่อยากแข็งแกร่งและมีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นที่รู้จักกันล่ะ? โดมท้าประลองนี้จึงกลายเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเหล่าทหารที่ทะเยอทะยานอยากจะแสดงพลังของตนออกมา
รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนริมฝีปากของโจวเหว่ยชิงขณะที่เขากำมือขึ้น ดูเหมือนว่าเส้นทางของเขาในกองทัพจ้งเทียนจะต้องเริ่มต้นที่โดมท้าประลองเสียแล้ว
เมื่อกลับไปหาซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อีกครั้ง โจวเหว่ยชิงก็เล่าสิ่งที่ทหารคนนั้นบอกเขา ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เองก็สนใจเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งคู่ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน แต่การที่มีสถานที่สำหรับใช้ต่อสู้และเลื่อนขั้นเช่นนี้ มันย่อมส่งผลดีต่อโจวเหว่ยชิงอย่างแน่นอน
“ข้าก็อยากเข้าร่วมด้วย!” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เอ่ยอย่างตื่นเต้น
โจวเหว่ยชิงกล่าวสวนทันที “ไม่! เจ้าลืมสิ่งที่ข้าเพิ่งจะบอกไปหรือเปล่า? เมื่อระดับพลังปราณของเจ้าถูกเปิดเผย ออกมา มันจะต้องจุดประกายความสงสัยของทุกคนแน่นอน ข้ามีรูปร่างใหญ่โตและดูมีอายุมากกว่า 20 ปี แม้ว่านั่นจะสวนทางกับอายุจริงก็เถอะ ระดับมณี 4 ชุดนั้นอาจถือว่าค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว นอกจากนี้ข้ายังมีแหวนปกปิดตัวตนทำให้สามารถแสดงทักษะธาตุเดียวบนมณีธาตุได้ นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าไม่มี โดยเฉพาะมณียุทธ์ของเจ้าซึ่งเด่นชัดเกินไป หากเจ้าต้องการไปที่ค่ายทหารกับข้า เจ้าก็จะต้องทำตัวดีๆ ไม่เช่นนั้นข้าก็จะไม่ไปที่กองทัพ”
ครั้งนี้การแสดงออกของโจวเหว่ยชิงนั้นจริงจังและเด็ดเดี่ยวมาก เมื่อมองไปยังดวงตาที่แสนแน่วแน่ของเขา ซ่าง กวนเฟยเอ๋อร์ก็ได้แต่ต้องยอมแพ้
หลังออกจากเมืองเทียนเป่ย ทั้งสองก็เรียกม้าปีศาจผีของตนออกมา ขึ้นขี่ม้าที่แสนทรงพลังเหล่านี้และควบขึ้นไปทางทิศเหนือทันที
ม้าปีศาจผีเหล่านี้ไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่ยังมีความอึดทน พลังที่น่าทึ่ง และความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว ทั้งคู่ควบม้าไปพร้อมๆ กับสายลมที่พัดหวีดหวิว ม้าเหล่านี้ไม่มีความสามารถในการโจมตีมากนัก ทว่าก็ขึ้นชื่อในเรื่องความเร็วและการป้องกัน ระยะทางมากกว่า 200 กิโลเมตรหายลับไปภายในเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง หลังจากนั้น ค่ายทหารขนาดใหญ่ก็พลันปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา