Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 121 ชุดเอี๊ยมชั้นใน! (2)
มณีทุกดวงที่จ้าวมณีสร้างขึ้นจะต้องอาศัยพลังปราณสวรรค์จำนวนหนึ่ง และเมื่อเทียบกับ 3 ระดับสำหรับจ้าวมณีทั่วๆ ไป จ้าวมณีสวรรค์ต้องใช้พลังปราณสวรรค์กว่า 4 ระดับ ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าหมีทรราชจะมีมณี 6 ดวง แต่พลังปราณสวรรค์ของเขาก็อยู่ที่ระดับ 18 เท่านั้น หากเปรียบเทียบกับโจวเหว่ยชิงซึ่งเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 4 ชุดแล้ว พลังปราณสวรรค์ของเขาก็อยู่ที่อย่างน้อยระดับ 16 ซึ่งเป็นระดับที่ 4 ในขั้นทะลวงพิภพ นอกจากนี้ พลังยุทธ์ของเขาก็ยังเป็นความแข็ง แกร่งบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียวและมีสัดส่วนที่มากกว่า ด้วยเหตุนี้เอง ในแง่ของพลังที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมณียุทธ์ โจวเหว่ยชิงก็จึงได้เปรียบหมีทรราชอยู่แล้ว
เด็กหนุ่มยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดกั้นหมัดของหมีทรราชขณะที่พวกมันฟาดลงมา ในช่วงเวลาที่มือของทั้งคู่กระทบกัน เวทีทั้งหลังต่างสั่นสะเทือนเพราะการปะทะครั้งใหญ่นี้
โจวเหว่ยชิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับขณะที่หมีทรราชโซซัดโซเซถอยหลังไปกว่า 4 ก้าวก่อนที่จะกลับมาทรงตัวได้ในที่สุด ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปขณะอุทานว่า “จ้าวมณีสวรรค์!”
ความจริงแล้วระดับพลังของหมีทรราชนั้นถือว่าค่อนข้างใช้ได้ เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งโดยกำเนิดที่เหนือกว่ามนุษย์คนอื่นๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะอ้างว่าเขามีสายเลือดของหมีอสูรสวรรค์ ในฐานะจ้าวมณียุทธ์ระดับ 6 มณี เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบุคคลชั้นนำของกองทัพ แต่ถ้าหากต้องเปรียบเทียบความแข็งแกร่งกับโจวเหว่ยชิง ถึงอย่าง ไรเขาก็ย่อมจะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน
เมื่อได้เห็นมณีสวรรค์ทั้ง 4 ของโจวเหว่ยชิงกับตาตัวเอง หมีทรราชก็ไม่ได้เป็นคนเดียวที่แตกตื่น เนื่องจากเวลานี้ผู้ชมทุกคนต่างก็จ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างรวมถึงอ้าปากค้าง แม้ว่าจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุในกองทัพจ้งเทียนจะเป็นบุคคลที่พบได้ทั่วไป แต่สำหรับจ้าวมณีสวรรค์นั้นกลับไม่ธรรมดาเลย ยิ่งไปกว่านั้น โจวเหว่ยชิงยังมีมณี 4 ชุด เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรก เมื่อเผชิญหน้ากับมณี 6 ดวงของหมีทรราช ผู้ชมที่ดั้งเดิมไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนักก็ถูกทำให้อารมณ์พลิกกลับโดยสิ้นเชิง
ผู้บัญชาการกองร้อยทั้งสองคนจากก่อนหน้านี้อาจจะเป็นผู้ที่ตกตะลึงมากที่สุด ความจริงแล้วในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 4 ชุด โจวเหว่ยชิงย่อมสามารถเป็นผู้บัญชาการกองร้อยได้ทันทีเมื่อเขาสมัครเข้าร่วมกองทัพ นอกจากนี้ หากเด็กหนุ่มสามารถแสดงความเป็นผู้นำและความสามารถทางทหารใดๆ ออกมาได้ ความเร็วในการเลื่อนขั้นก็จะยิ่งรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น ที่สำคัญคือโจวเหว่ยชิงยังดูเด็กมาก น่าจะอายุมากกว่า 20 ปีเล็กน้อย จ้าวมณีสวรรค์ที่อายุน้อยเช่นนี้…เขาจะมีศักยภาพเช่นไรในอนาคตกันเล่า? เวลานี้ไม่มีใครรู้แน่ชัดนักว่าระดับปราณและพลังของเขาแข็งแกร่งเพียงใด!
สำหรับกองทัพ พลังและความแข็งแกร่งส่วนบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการเลื่อนตำแหน่ง
โจวเหว่ยชิงมองไปที่หมีทรราชด้วยรอยยิ้มน้อยๆและพูดว่า “การต่อสู้ของเราจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่?”
หมีทรราชไม่ตอบอะไร ทว่ากลับพุ่งกระโจนเข้าหาเขาอีกครั้งแทนคำตอบ คนผู้หนึ่งอาจพ่ายแพ้ในการต่อสู้ได้ แต่เขาย่อมไม่อาจทำให้ตัวเองเสียหน้าได้ หากก้าวลงเวทีไปแบบนั้น ชายหนุ่มก็คงจะถูกผู้อื่นเหยียดหยามและไม่มีหน้าอยู่ในกองทัพอีกต่อไป
แขนล่ำหนาทั้งสองข้างของหมีทรราชเปรียบเสมือนเสาขนาดใหญ่สองต้นที่พุ่งเข้าใส่โจวเหว่ยชิงอีกครั้ง ถ้าใครเปรียบการโจมตีครั้งก่อนของเขาเหมือนกับการทดสอบกระแสน้ำ ครั้งนี้แน่นอนว่าชายหนุ่มต้องใส่พลังทั้งหมดที่มีออกไป
หมีทรราชรู้ดีว่าด้วยพลังของตัวเอง เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะชนะจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 4 ชุดได้เลย ทว่าชายหนุ่มก็ไม่อยากยอมจำนนไปง่ายๆ เช่นนั้น หากสามารถยันคู่ต่อสู้ไปได้อีกสักระยะหนึ่ง เขาก็พอใจมากแล้ว
อนิจจา โจวเหว่ยชิงไม่ได้วางแผนจะเล่นกับเขานานเกินไป จุดประสงค์ที่เขามาที่โดมท้าประลองในวันนี้ไม่ใช่แค่เพื่อชัยชนะในสนามการประลองระดับกลางธรรมดาๆ เนื่องจากโดมท้าประลองเปรียบเสมือนโอกาสที่เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว เขาจึงจะต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้มั่นและไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไป เด็กหนุ่มต้องการมีตำแหน่งในกองทัพจ้งเทียนให้เร็วที่สุด จากนั้นเขาจึงจะสามารถทำตามแผนของตนได้
*ตูม* เป็นอีกครั้งที่ท่าทางของเขาชัดเจนและตรงไปตรงมา คราวนี้หมีทรราชกระเด็นกลับไปไกลกว่า 1 เมตรพร้อมกับแรงผลักอันยิ่งใหญ่ โจวเหว่ยชิงรีบพุ่งตามไปอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือขวาของเขาฟาดลงบนหน้าอกขอหมีทรราชอีกครั้ง ทำให้อีกฝ่ายพุ่งถลาออกไปจนกระทั่งลงไปนอนหมดกำลังอยู่ด้านล่างเวที
การประลองนี้จัดขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการแข่งขัน ไม่ใช่การต่อสู้แลกชีวิต พวกเขาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธ นับประสาอะไรกับศาสตรามณียุทธ์ติดกาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นย่อมจำกัดพลังของหมีทรราชเช่นกัน มิฉะนั้นหากโจวเหว่ยชิงต้องซ่อนศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บของตัวเอง เขาก็คงจะต้องใช้เวลาและความพยายามพอสมควรในการเอาชนะพละกำลังเต็มเปี่ยมของอีกฝ่าย
หมีทรราชเพิ่งแพ้ไปเช่นนั้น และเป็นการแพ้ในด้านการประลองความแข็งแกร่งซึ่งเป็นสิ่งที่เขามีชื่อเสียงโด่งดังมาโดยตลอด
ความจริงแล้ว การที่หมีทรราชจะพ่ายแพ้ให้กับโจวเหว่ยชิงนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ท้ายที่สุดแม้ว่าเขาจะเกิดมาพร้อมกับพลังที่เหนือธรรมชาติ แต่เมื่อเทียบกับอู่หยาที่มาจากเผ่าอีกาทอง มันก็ยังคงเหมือนความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับนรกอยู่ดี หากกระทั่งอู่หยายังไม่สามารถเทียบเคียงโจวเหว่ยชิงในด้านความแข็งแกร่งทางกายภาพที่บริสุทธิ์ได้ หมีทรราชจะนับเป็นอะไรได้
ผู้บัญชาการกองร้อยพลันฟื้นคืนสติด้วยความยากลำบากก่อนจะประกาศว่า “อ้วนน้อยโจวชนะ!!”
โจวเหว่ยชิงรีบกล่าวว่า “ถ้าหากเป็นไปได้ ข้าขอสู้ต่อ ท่านไม่ได้บอกหรือว่าหากข้าได้รับชัยชนะติดต่อกัน 5 ครั้งในการต่อสู้ระดับกลาง ข้าจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองร้อย? ข้าอยากจะลองสัมผัสดูสักครั้ง และยังไม่คิดว่าเราจะต้องจับฉลากกันอีกแล้ว ยังมีผู้คุมสังเวียนระดับกลางอีก 6 คนใช่หรือไม่? ให้พวกเขาเข้ามาทีละคน ข้าไม่จำเป็นต้องหยุดพักหรอก”
ตอนแรกเขาไม่ได้ใช้ทักษะกักเก็บหรือพลังปราณสวรรค์เลย ดังนั้นพลังของเขาจึงอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมมาก แต่ถึงแม้โจวเหว่ยชิงจะใช้ปราณสวรรค์ไปมากกว่านี้ ด้วยอัตราการฟื้นฟูของวิชาเทพอมตะ มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่โจวเหว่ยชิงจะสามารถต่อสู้ต่อไป แน่นอนว่านี่ยังไม่ได้นับรวมทักษะกลืนกินเข้าไปด้วยซ้ำ
เสียงของโจวเหว่ยชิงไม่ได้ดังก้องมากนัก แต่ด้วยพลังปราณสวรรค์ คำพูดของเขาจึงสามารถแพร่กระจายออกไปได้ทั่วทั้งอาคาร เพื่อที่จะได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มจึงจะไม่สนใจการทำให้คนอื่นขุ่นเคืองอีกต่อไปแล้ว นอก จากนี้ เขายังเคยอยู่ในกองทัพอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์มาก่อนและรู้ว่าในการอวดดีในกองทัพนั้นไม่ผิดตราบใดที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอจะสนับสนุนความเย่อหยิ่งนั้น โจวเหว่ยชิงไม่รู้ว่ากฎของที่นี่อนุญาตให้เขาต่อสู้กับผู้คุมระดับกลาง 5 คนภายในหนึ่งวันหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าอาจต้องใช้ความอวดดีเพื่อยั่วยุผู้คุมสังเวียนระดับกลางคนอื่นๆออกมาสู้ ท้ายที่สุดเขาจึงสามารถต่อสู้ได้ครบ 5 รอบ
“ปล่อยให้ข้าจัดการเอง” น้ำเสียงที่นุ่มนวลดังขึ้น และในชั่วพริบตาต่อมา ร่างหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นบนเวทีระดับกลาง
เมื่อได้ยินเสียงนั้นครั้งแรก โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกแตกตื่นเพราะมันเป็นน้ำเสียงของผู้หญิง ปฏิกิริยาแรกของเขาคือ…หรือว่าซ่างกวนเฟยเอ๋อร์จะบ้าไปแล้ว? อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นผู้หญิงคนนั้นบนเวทีเต็มๆ ตา เด็กหนุ่มก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นั่นไม่ใช่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์!
หญิงสาวที่อยู่บนเวทีไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบทหารกองทัพจ้งเทียน แต่กลับสวมชุดรัดรูป ศีรษะปกคลุมด้วยเส้นผมตัดสั้นสีเขียวอ่อน ให้บรรยากาศผู้กล้าที่งดงามและมีชีวิตชีวา เธอดูเหมือนจะอยู่ในช่วงอายุ 20 กลางๆ รูปร่างผอมเพรียวและแข็งแรง ผิวของหญิงสาวเป็นสีข้าวสาลีที่เปล่งประกายอย่างคนสุขภาพดี แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายใช้เวลาอยู่กลางแจ้งมากแค่ไหน แขนเสื้อของเธอถูกพับขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนที่สวยงาม แม้ว่าในตอนนี้มือของหญิงสาวจะกำแน่นเป็นหมัดและจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างเย็นชาราวกับสิงโตคลั่งก็ตาม
“อ้วนน้อยโจวใช่หรือไม่…เจ้าจะต้องเสียใจที่ทำให้หมีทรราชขายหน้าแบบนั้น ข้าเป็นผู้บัญชาการกองพันของเขา และข้าจะล้างคำสบประมาทที่เจ้าทำไว้กับกองพันของเราเป็นการส่วนตัว เข้ามา! ข้าเป็นผู้คุมสังเวียนระดับกลางอันดับต้นๆ ในกรมทหารที่ 16 หากเจ้าเอาชนะข้าได้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสู้ต่อในการประลองระดับกลางแล้ว ข้าสามารถออกคำสั่งตกรางวัลเจ้าเป็นเหรียญทอง 20 เหรียญและเลื่อนขั้นให้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองร้อยได้โดยตรง” ขณะพูดเช่นนั้น แสงสีขาวจางๆ ก็ปรากฏขึ้นรอบตัวของหญิงสาวตรงหน้าแล้ว
มณีสวรรค์ 4 ชุดปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเธอพร้อมด้วยหยกหินมังกรและทับทิมแดงดารา ทั้งหมดเป็นการผสมผสานที่ค่อนข้างลงตัวของทักษะธาตุไฟและทักษะยุทธ์ความว่องไว
การที่ผู้บัญชาการกองพันธรรมดาๆ จะเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 4 ชุด นั่นเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในอาณาจักรขนาดเล็กๆ แห่งอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้บัญชาการกองพันผู้นี้เป็นเพียงหญิงสาวผู้หนึ่งเท่านั้น
เมื่อมองไปยังฝ่ายตรงข้าม โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ตอนนั้นคนรักของเขาก็เป็นผู้บัญชาการกองพันไม่ใช่หรือ?
“น้องโจว เช่นนั้นเราจะเริ่มการต่อสู้เลยดีไหม?” ผู้บัญชาการกองร้อยที่ผันตัวเป็นผู้ตัดสินชั่วคราวถามโจวเหว่ยชิง
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย โจวเหว่ยชิงก็หายจากอาการสับสนทันที ขณะมองไปยังผู้บัญชาการกองพันหญิงสาวผู้แสนกล้าหาญ เขาก็ยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ข้าขอถามได้หรือไม่ ผู้บัญชาการกองพันสาวสวยท่านนี้ชื่ออะไรหรือ?”
เธอตอบด้วยความเย็นชา “ข้าชื่อเซินอี้ (神依)”
“เซินอี้ (神医/หมอเทวดา)?”
“ฮึ่ม! อี้ที่มาจากอี้อี้ปู้เส่อ (依依不舍/อาลัยอาวรณ์ที่จะจากไป) ไม่ใช่ว่าเจ้าอวดดีนักรึ? หยุดเสียเวลาพูดพล่ามเรื่องไร้สาระได้แล้ว อยากจะสู้อยู่หรือไม่?” แม้ไม่ต้องถาม เซินอี้ก็รู้จากน้ำเสียงประหลาดใจของโจวเหว่ยชิงแล้วว่าเขาเข้าใจความหมายชื่อของเธอผิดไป แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ใช่คนแรกและจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่ทำเช่นนั้น เธอจึงรีบแก้ไขอย่างรวดเร็ว
โจวเหว่ยชิงหัวเราะร่วนและพูดว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นก็เข้ามาเลย!”
ในขณะที่ผู้ตัดสินประกาศเริ่มการประลองอีกครั้ง การต่อสู้ครั้งที่ 5 ของโจวเหว่ยชิงในโดมท้าประลองก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ขณะเผชิญหน้ากับเซินอี้ โจวเหว่ยชิงรู้ดีว่าเขาไม่สามารถต่อสู้แบบสบายๆและทำตามที่ตนพอใจได้อีกต่อไป ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ แม้เขาจะมั่นใจในการต่อสู้กับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีระดับพลังอยู่ในขั้นเดียวกัน แต่เด็กหนุ่มก็จะไม่วันประมาท ถึงอย่างไรจ้าวมณีสวรรค์ก็แตกต่างจากจ้าวมณีทั่วๆ ไปมาก ใครจะรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้อาจจะมีทักษะลับเหมือนตัวเขาก็เป็นได้? เด็กหนุ่มเคยเห็นจ้าวมณีสวรรค์พ่ายแพ้มานักต่อนักเพราะประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป แค่ในงานประลองมณีสวรรค์เพียงอย่างเดียว ก็ไม่ใช่ว่าคนเหล่านั้นพ่ายแพ้เขาและเพื่อนร่วมกลุ่มไปมากมายเสียขนาดนั้นเพราะประเมินต่ำความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไปหรอกหรือ? เช่นนี้โจวเหว่ยชิงจึงจะไม่มีวันทำผิดพลาดแบบเดียวกันเด็ดขาด
หญิงสาวสะกิดปลายเท้ากระโจนขึ้น ร่างเพรียวบางของเซินอี้จู่โจมเข้าหาโจวเหว่ยชิง มือทั้งสองข้างลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีแดงขณะพุ่งเข้าหาเขา
นี่คือความเหนือกว่าของจ้าวมณีสวรรค์ ร่างกายของพวกเขาได้รับการเสริมพลังด้วยมณียุทธ์ขณะที่ยังสามารถใช้มณีธาตุของตนกับศัตรูได้ เมื่อต้องเผชิญกับการจู่โจมด้วยเปลวไฟที่รุนแรงและทรงพลังเช่นนี้ แม้ว่าความแข็งแกร่งของโจวเหว่ยชิงจะมีมากกว่าคู่ต่อสู้ เขาก็ไม่อาจรับการโจมตีโดยตรงได้ง่ายๆ ถึงอย่างไรร่างของเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ฟันแทงไม่เข้า เห็นได้ชัดว่าย่อมต้องได้รับบาดเจ็บจากเปลวไฟที่ทรงพลังเช่นนี้แน่นอน
เพราะโจวเหว่ยชิงเลือกที่จะเปิดเผยทักษะธาตุลมของตน เขาจึงต้องแสดงตัวเหมือนจ้าวมณีสวรรค์ธาตุลมจริงๆ ขณะเผชิญหน้ากับการโจมตีของเซินอี้ โจวเหว่ยชิงก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วโดยการอาศัยพลังจากทักษะธาตุลม ด้วยเหตุนี้ความเร็วของเขาจึงพอๆ กับเซินอี้ ในเวลาเดียวกันนั้น ไฟสีเขียวสองดวงก็สว่างขึ้นรอบแขนของเขา และพวกมันก็ก่อตัวขึ้นเป็นใบมีดแสงสีเขียวที่คมกริบตามแขนแต่ละข้าง
การจู่โจมครั้งแรกของเซินอี้ไม่สามารถโจมตีโจวเหว่ยชิงได้สำเร็จ แต่ทว่านั่นก็ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดในแผนการของเธอ หญิงสาวกระตุกมือ ลูกบอลเพลิงทั้งสองพลันพุ่งทะยานเข้าหาโจวเหว่ยชิงในเวลาเดียวกันกับที่แสงสีเขียวก่อตัวขึ้นเป็นใบมีด
ขณะประจันหน้ากับลูกไฟสีส้มแดงทั้งสองลูกที่เห็นได้ชัดว่ามีพลังเหนือกว่าบอลอัคคีระดับต่ำทั่วไป โจวเหว่ยชิงก็ยังคงรักษาความสงบของตนเองเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แขนของเขาโบกสะบัดเป็นคลื่นเรียบง่ายกลางกลางอากาศ จากนั้นดาบแสงสีเขียว 2 สายก็ขยับเข้าไขว้กันเป็นรูปกากบาทและพุ่งตัวออกไป ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดยังคงดำเนินต่อไปขณะลูกไฟทั้ง 2 ถูกใบมีดของโจวเหว่ยชิงผ่ากลางจนแยกออกจากกันราวกับมะเขือเทศที่ถูกหั่นเป็น 4 ชิ้นอย่างประณีต ก่อนจะกระจายตัวออกไปกลางอากาศในที่สุด
“ทักษะนั้นคืออะไรกัน?!” เมื่อเห็นลูกไฟอันทรงพลังของตนถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย เซินอี้ก็ตกตะลึงไป