Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 122 หา! ข้าเอาชนะผู้บัญชาการกรมทหาร! (3)
โจวเหว่ยชิงส่ายหัวกล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เราคงจะต้องรอดูก่อน เฮ้อ อย่างที่โบราณเคยว่าไว้นั่นแหละ มีเพียงชายหญิงจิตใจคับแคบเท่านั้นที่ยากจะรับมือ ถ้านางมีนิสัยแบบนั้นจริงล่ะก็ ไม่ต้องพูดถึงว่าข้าจะได้ตำแหน่งผู้บัญชา การกองพันหรอก เราอาจถูกกำจัดที่นี่ไปแล้วด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก…หากเราไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้จริงๆ…ถึงยังไงชายแดนทางตอนเหนือก็มีขนาดใหญ่มาก พวกเรายังมีที่ให้ไปต่ออีกมากและสามารถเข้าร่วมค่ายอื่นๆ แทนได้”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์หัวเราะคิกคักและพูดว่า “อย่างน้อยตอนนี้เจ้าก็สามารถมองโลกในแง่ดีได้ล่ะนะ ใครขอให้เจ้าลงมือหนักขนาดนี้ล่ะ ตอนที่เรามาที่นี่ครั้งแรก เจ้ายังพูดว่าห้ามทำตัวเป็นจุดสนใจอยู่เลย แต่นาทีที่เจ้าก้าวขึ้นไปบนเวที เจ้าก็ลืมสิ่งที่ตัวเองพูดไปหมดซะอย่างนั้น ถ้าหยุดแค่ตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อย เจ้าจะมีปัญหามากขนาดนี้ไหม? นี่เป็นผลมาจากความใจร้อนเกินเหตุของเจ้านั่นแหละ”
โจวเหว่ยชิงเกาหัวแกร่กๆ และมองไปที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ขณะที่หัวเราะเบาๆ “นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่คำพูดของเจ้าดูเข้าท่า”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พูดอย่างเคืองขุ่น “เจ้าหมายความว่ายังไงนะ! เจ้าครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะถูกข้าสั่งสอนอีกรอบใช่ไหม? อย่าลืมว่าเจ้ายังเป็นหนี้ข้าอยู่!”
โจวเหว่ยชิงส่งเสียงหึในลำคอและพูดว่า “เจ้าก็อย่าลืมว่าตัวเองยังติดหนี้ตีก้น 20 ทีเช่นกัน!”
“เจ้า…” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์โกรธมากจนหน้าอกหอบสะท้อนขึ้นลงอย่างหนักหน่วง ทันใดนั้น เธอก็หันกลับไปและพูดว่า “หึ งั้นก็ตีข้าสิ ถึงอย่างไรเจ้าก็พูดกระแนะกระแหนข้าแล้วนี่”
เมื่อมองไปที่บั้นท้ายเล็กๆ นั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงไอร้อนผ่าวที่ใบหน้า เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่แน่ใจ “งั้นข้าจะตีแล้วนะ?”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรและหันหน้าไปทางอื่นด้วยอารมณ์โกรธ
โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้นฟาดลงไปที่บั้นท้ายของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์รวดเร็วราวกับลมพัด เขารู้สึกได้ว่าเธอเกร็งตัวขึ้นทันทีที่ทำเช่นนั้น
*เพี๊ยะ*
แม้ฝ่ามือของเขาจะเคลื่อนไหวแหวกอากาศอย่างรวดเร็วและดังก้อง แต่แรงมือของเขาก็นุ่มนวลมาก ขณะที่ฝ่ามือของโจวเหว่ยชิงปะทะที่บั้นท้ายของหญิงสาว ก็ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ เกิดขึ้นเลย ราวกับถูกลูบไล้มากกว่าทุบตีด้วยซ้ำ
เมื่อไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่คาดไว้ ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ผ่อนคลายกล้ามเนื้อเกร็งแน่นและคิดกับตัวเองว่า อย่างน้อยเจ้าอันธพาลนี่ก็ก็มีสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่ในตัวบ้าง เขาทนตีข้าจริงๆ ไม่ลงจริงๆ ด้วย
สำหรับซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อก็ถือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับโจวเหว่ยชิง มันเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ในขณะที่มือของเขาสัมผัสที่บั้นท้ายกลมกลึงของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ เด็กหนุ่มก็สามารถรับรู้ถึงผิวที่นุ่มลื่นราวกำมะหยี่ซึ่งถูกปิดกั้นด้วยเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชั้นได้อย่างชัดเจน สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือการที่บั้นท้ายตึงแน่นค่อยๆ คลายตัวเช่นนั้น ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความกลมกลึงและอ่อนนุ่ม…ความรู้สึกนั้นเหมือนกับการเอามือมาเกาในใจที่กำลังคันยิบ แต่เดิมมือที่ควรจะยกขึ้นจึงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปและบีบเค้นลงไปที่บั้นท้ายยั่วยวนใจนั้นแทน…
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ตัวสั่นสะท้าน พยายามก้าวไปข้างหน้าเพื่อหลบหลีกฝ่ามือแสนร้ายกาจของเขา “เจ้า…” เธอหันกลับไปหาโจวเหว่ยชิงอย่างกะทันหัน อย่างไรก็ตาม ภายในดวงตาที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำของหญิงสาว โจวเหว่ยชิงกลับไม่เห็นความโกรธเคืองอยู่ภายใน
“ข้าตีเจ้าแค่ครั้งเดียว…” โจวเหว่ยชิงสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วและซ่อนความอับอายไว้ภายใน ถึงอย่างไรซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็เป็นพี่สะใภ้ของเขา เด็กหนุ่มจะสัมผัสอีกฝ่ายแบบนั้นได้อย่างไร เขาได้แต่ตะโกนด่าตัวเองในใจ
“เจ้าคนขี้โกง!” ในที่สุดซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็โกรธขึ้นมา เธอพุ่งตัวไปข้างหน้าและคว้าแขนขวาของโจวเหว่ยชิงเอาไว้
โจวเหว่ยชิงไม่ได้ต่อต้าน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนผิด ด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขา เด็กหนุ่มจึงสามารถปล่อยให้เธอทุบตีตนเล็กน้อยเพื่อระบายความโกรธได้
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาโจวเหว่ยชิงกลับไม่ถูกเตะส่งออกไปเหมือนปกติ แต่ในขณะเดียวกันนั้น เขากลับรู้สึกเจ็บแปลบที่หลังมือ และก็เป็นซ่างกวนเฟยเอ๋อร์นั่นเองที่กัดมือของเขา!
“อ๊ากกกกก…เจ้าเป็นหมาเหรอ!” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยความเจ็บปวด
“ฮึ่ม! ข้าอยากจะกัดเจ้า แล้วยังไงล่ะ!” เสียงของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ลอดผ่านไรฟัน
จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ได้ กัดข้า กัดข้าสิ เจ้าสามารถกัดข้าให้นานกว่านี้ก็ได้”
ถึงคราวที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ชะงักด้วยความประหลาดใจ เป็นไปได้ไหมว่าแรงกัดของตนไม่ทำให้เขาเจ็บปวด? ปฏิกิริยาแบบนั้นคืออะไรกันแน่? แต่…เมื่อกี้เขาก็ดูเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัดนี่นา! แต่ทำไมจู่ๆ ถึงดูมีความสุขแทนล่ะ?
ในขณะที่เธอกำลังงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น จู่ๆ หญิงสาวก็ได้ยินโจวเหว่ยชิงพูดว่า “คำว่า ‘กัด’ มีความหมายลึกล้ำมาก เมื่ออยู่ด้วยกัน มันก็คือกัด แต่ถ้าแยกคำออกไปซ้ายขวาล่ะ?”
“แยกออกไปซ้ายและขวา? คำว่ากัด…แยกออกเป็นสอง[1]…”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อ้าปากค้างและปล่อยมือทันที หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้างดงามที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหน้ากากมนุษย์ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถเห็นก็ตาม
“อ้วนน้อยโจว…เจ้ามัน!”
*ปั่ก*
อย่างที่โบราณเคยกล่าวไว้ ความทุกข์ที่เรานำมาสู่ตัวเองนั้นยากที่จะทานทนได้ที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่อ้าปากพูดโดยไม่คิดจึงได้สัมผัสกับพื้นแข็งๆ และเย็นเฉียบอีกครั้ง
“ท่านวีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ข้าแค่เตือนท่านถึงน้ำหนักของคำพูด…”
“เบาๆ หน่อย…แขนข้าหักแล้ว…ข้าผิด…ข้าผิดไปแล้ว…ได้โปรดดด…”
หลังจากผ่านการทรมานกว่า 15 นาที ในที่สุดซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ปล่อยโจวเหว่ยชิงและหันหน้าหนีไปอย่างไม่สนใจแม้จะยังเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธและอับอายก็ตาม ทุกครั้งที่นึกถึงประโยคซึ่งคนเจ้าคนไร้ยางอายนั้นพูดว่า ‘กัดข้า งั้นก็กัดข้าสิ เจ้าสามารถกัดข้าให้นานกว่านี้’ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากจะฆ่าเขาให้ตาย
พวกเขาอยู่ในกระโจมกองบัญชาการใหญ่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ผู้บัญชาการกรมทหารอย่างเซินปู้ก็ยังไม่มาถึง ราวกับว่าเธอลืมเรื่องของเขาไปแล้ว
ท้องของโจวเหว่ยชิงกำลังร้องคำรามด้วยความหิวโหย และเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอาอาหารแห้งออกมากินประทังชีวิตเพื่อไม่ให้ตัวเองหมดแรงไปก่อน
“เฮ้ แบ่งให้ข้าบ้างสิ เจ้าจะเอาออกมากินแค่ของตัวเองได้ยังไง” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์หันไปเห็นโจวเหว่ยชิงกำลังเคี้ยวอาหารแห้งด้วยความเอร็ดอร่อยจึงอดไม่ได้ที่จะถามหาอาหารบ้างเช่นกัน ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้กินอาหารมาทั้งวันเหมือนกับเขา และหญิงสาวก็ไม่มีนิสัยพกอาหารติดตัวไปไหนมาไหนด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ได้รับอาหารจากโจวเหว่ยชิงมาโดยตลอด
โจวเหว่ยชิงส่งเสียงหึในลำคอและพูดว่า “ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้เจ้ากำลังโกรธข้าอยู่หรือ? กินแค่ความโกรธทำให้อิ่มท้องแล้ว ทำไมยังต้องกินอีกล่ะ!” เขาเพิ่งถูกซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ทำร้ายและร่างกายของเขาก็ยังคงปวดหนึบอยู่ ‘ความรู้สึกเสน่หา’ จากการกระทำครั้งก่อนหน้าได้หายไปนานแล้ว
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว จะให้ข้าดีๆ หรือไม่?” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์จ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง
คนฉลาดย่อมรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง โจวเหว่ยชิงพยักหน้าส่งอาหารให้เธอโดยไม่ลังเล
แม้ว่าพวกเขาสองคนจะทานอาหารง่ายๆ เสร็จแล้ว เซินปู้ก็ยังมาไม่ถึง ทำให้ทั้งคู่ได้แต่สงสัยว่าเธอลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ หรือไม่
“ยังไม่มีใครมาเลย…เราจะทำยังไงดี?” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ถามโจวเหว่ยชิง
โจวเหว่ยชิงเหลือบมองเธอและพูดว่า “ถึงยังไงตอนนี้เราก็อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นก็ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ที่สุดแล้วหัน ข้าจะฝึกปราณรอไปพลางๆ ก่อน ถึงยังไงเราก็มีกระโจมป้องกันลมฝนอยู่เหนือศีรษะ ดังนั้นฝึกปราณที่นี่จะเป็นไรไปเล่า?”
ในขณะที่พูดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็นั่งลงขัดสมาธิและเริ่มฝึกวิชาเทพอมตะที่ทั้งน่าอัศจรรย์และน่าขมขื่นอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน เขาก็เริ่มระลึกไปถึงการต่อสู้ระหว่างตัวเองกับเซินปู้
แม้ว่าเขาจะชนะการต่อสู้ครั้งนั้นได้ แต่ก็เป็นเอาชนะแบบเฉียดฉิว ยิ่งกว่านั้นคือเป็นเพราะเซินปู้ประเมินเขาต่ำเกินไป นอกจากนี้ โจวเหว่ยชิงยังยืนยันว่าจะใช้ความตั้งใจเดิมฝึกทักษะต่างๆ ของตนโดยใช้วิธีอัดทักษะ 3,000 ครั้งต่ออีกสักระยะหนึ่งเมื่อเขารักษาตำแหน่งในกองทัพได้อย่างมั่นคงแล้ว อย่างน้อยโจวเหว่ยชิงก็ต้องการจะทำความเข้าใจทักษะทั้งหมดของเขาอย่างเต็มที่ก่อน ไม่ว่าทักษะนั้นจะทรงพลังเพียงใด หากไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เขาก็จะไม่สามารถใช้ศักยภาพของพวกมันได้ถึงขีดสุด ในการต่อสู้จริง ทักษะที่เขาใช้วิธีอัดทักษะ 3,000 ครั้งในการฝึกฝนนั้นให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ามาก
ในขณะที่คิดถึงเรื่องนั้น เด็กหนุ่มก็ค่อยๆ เข้าสู่สภาวะทำสมาธิและพลังปราณสวรรค์ในบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่หลุมดำพลังปราณทั้ง 16 แห่งในอัตราความเร็วที่สูงขึ้น โดยค่อยๆ รวมเข้ากับพลังปราณสวรรค์ภายในและเพิ่มระดับพลังของเขาขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากฝึกฝนและทดลองมาหลายเดือน โจวเหว่ยชิงก็ได้ค้นพบว่าพลังปราณสวรรค์ที่กลืนกินจากคนอื่น แม้ว่าพวกมันจะช่วยให้พัฒนาได้เร็วกว่า แต่ก็ยังไม่เหมาะสมสำหรับการสร้างรากฐานที่มั่นคง แม้ว่าในระหว่างกระบวนการกลืนกินพลังปราณสวรรค์ เขาจะต้องชำระล้างและค่อยๆ ผสานเข้ากับพลังปราณสวรรค์ก่อน แต่มันก็ยังไม่บริสุทธิ์และเสถียรเทียบเท่าเขาฝึกปราณด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจว่าจะพยายามละเว้นไม่ใช้ทักษะกลืนกินบ่อยนัก และในทุกๆครั้งที่เขาใช้มันก็จะต้องอาศัยวิชาฝึกปราณระดับพื้นฐานที่สุดเพื่อทำให้พลังปราณสวรรค์ของเขาเสถียรและสร้างรากฐานที่เหมาะสม แม้ว่าพลังปราณในปัจจุบันของเขาจะอยู่ที่ระดับมณี 4 ชุด แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อยากจะรีบร้อนมากจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเส้นทางที่ยาวไกลของตน เขายังมีทักษะมากมายที่เพียงพอต่อการใช้งาน วิชาเทพอมตะและทักษะกลืนกินเพื่อช่วยพัฒนาพลังอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงยังอายุไม่ถึง 18 ปีด้วยซ้ำ และเขามีเวลาอีกมากพอสมควร ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้นเพื่อสร้างรากฐานที่เหมาะสมสำหรับการฝึกปราณในอนาคตของเขา นอกเหนือจากนั้น วิชาเทพอมตะก็ยังกำหนดให้เขาต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่งและมั่นคงก่อน…และโจวเหว่ยชิงก็ไม่อยากตายก่อนวัยอันควรเพราะลมปราณแตกซ่านจากวิชาเทพอมตะ
หลังจากผ่านแบบทดสอบและความยากลำบากนานับประการในงานประลองมณีสวรรค์ รวมทั้งสภาพจิตใจและจิตวิญญาณที่เยือกเย็นขึ้นเนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ โจวเหว่ยชิงก็เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด เขาต้องคอยควบคุมอารมณ์เดือดดาล ความรู้สึกร้อนใจอย่างบ้าคลั่ง และต้องเร่งเพิ่มระดับพลังปราณอย่างโหดเหี้ยมทารุณ …ทั้งหมดนี้บังคับให้เขาต้องเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าของเขาดูเงียบสงบและตั้งอกตั้งใจ ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า คนๆ นี้บางครั้งก็น่ารังเกียจ แต่เขามักจะมีความคิดที่น่าสนใจและไม่ธรรมดา แตกต่างจากคนอื่นๆ นัก…ปิงเอ๋อร์ถูกเขาดึงดูดเพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่? การได้อยู่เคียงข้างอีกฝ่าย แม้ว่าการกระทำของเขามักจะทำให้ต้องโกรธอยู่ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริง เธอกลับไม่เคยรู้สึกขุ่นเคืองเขาในใจเลย ทุกๆ วันที่ใช้ไปกับโจวเหว่ยชิงขณะกำลังเดินทางดูเหมือนจะมีความหมายยิ่งขึ้นเพราะเขา ปิงเอ๋อร์…บางทีข้าอาจจะเริ่มรู้สึกอิจฉาเจ้า…แต่ตอนนี้…เจ้าอันธพาลขี้โกงคนนั้น…กลับกล้าลูบบั้นท้ายของข้า…ฮึ่ม!
เวลาผ่านไป…เกือบ 4 ชั่วโมงนับจากเวลาที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เข้ามาในกระโจมกองบัญชาการใหญ่ ในที่สุดเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก
ทั้งสองคนมีประสาทสัมผัสที่ฉับไวเป็นพิเศษ และพวกเขาก็ออกจากสภาวะฝึกปราณพร้อมกันก่อนจะลืมตาขึ้นและลุกยืนตรง
เซินปู้เข้าไปในกระโจม ใบหน้าของเธอฉายแววเยือกเย็น ผู้ที่ตามเข้ามาด้วยคือทหารส่วนตัวของเซินปู้อีกหลายสิบคน แต่หญิงสาวกลับหยุดอยู่ตรงทางเข้ากระโจมและโบกมือส่งสัญญาณให้ทหารยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก
ผู้บัญชาการกรมทหารมีหน้าที่รับผิดชอบทหาร 10,000 คน และหากอยู่ในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ตำแหน่งของเซินปู้ก็จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในตำแหน่งสูงสุดในกองทัพทั้งหมด โจวเหว่ยชิงนึกถึงบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดร้าวในใจ
“เจ้า ออกไป” เซินปู้ชี้ไปที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไม่เคยถูกสั่งในลักษณะเช่นนี้มาก่อน และเธอก็เกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว โจวเหว่ยชิงดึงเสื้อหญิงสาวจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว หยุดเธอไว้กลางทางก่อนจะตบบั้นท้ายของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เบาๆ อีกครั้ง
ร่างของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อ่อนยวบลงในทันที ความโกรธที่เพิ่งปะทุขึ้นภายในตัวพลันหายไป หญิงสาวจ้องมอง โจวเหว่ยชิง จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป ทิ้งเซินปู้และโจวเหว่ยชิงไว้ตามลำพังในกระโจม
เซินปู้เดินไปยังเก้าอี้กลางกระโจมและนั่งลง ในขณะนี้เธอได้เปลี่ยนไปสวมชุดเกราะแหวนสีเงินแวววาว และหมวกเกราะของเธอก็มีขนนกสีเหลืองประดับ ซึ่งนั่นกำลังบ่งบอกสถานะผู้บัญชาการกรมทหารของเซินปู้
ในกองทัพอาณาจักรจ้งเทียน ขนนกประดับหมวกของผู้บัญชาการกองร้อยเป็นสีแดงในขณะที่ผู้บัญชาการกองพันเป็นสีส้ม ผู้บัญชาการกรมทหารเป็นสีเหลือง และผู้บัญชาการกองทหารเป็นสีเขียว ผู้บัญชาการเหล่าทัพจะเป็นสีคราม ในขณะที่ผู้บัญชาการกองทัพจะเป็นสีน้ำเงิน และสุดท้าย ผู้บัญชาการสูงสุดของอาณาจักรจะเป็นสีม่วง
ขณะนั่งอยู่ที่นั่น เซินปู้ก็จ้องไปที่โจวเหว่ยชิงโดยไม่พูดอะไร ทว่าความเย็นชาในสายตาของเธอกลับทำให้ร่างของเขารู้สึกสั่นสะท้านอยู่ลึกๆ ภายใน
………………………………………………………….
[1] นี่เป็นเรื่องตลกที่ใช้ได้กับตัวอักษรจีนเท่านั้น กัด 咬 เมื่อแยกออกเป็นสองคำจะได้口 กับ 交 ซึ่งเป็นคำแสลงแปลว่าออรัลเซ็กส์