Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 126 กองโจรทหารไร้พ่าย! (2)
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พึมพำด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงโจวเหว่ยชิงเท่านั้นที่ได้ยิน “ตอนนี้เจ้าดูเหมือนหัวหน้าโจรจริงๆ”
โจวเหว่ยชิงหันมาหาเธอและพูดอย่างร่าเริง “ไม่ใช่แค่โจรธรรมดาๆ นะ แต่เป็นทหารโจร ทหารโจรกองพันไร้พ่าย!”
เมื่อมาถึงจุดนี้ เซินอี้ก็กลับไปถึงกองร้อยทหารม้าหนักแล้ว หญิงสาวคำรามออกมาด้วยความโกรธ “กองร้อยทหารม้าหนักที่ 1 เตรียมบุก!”
เสียงสั่นกระทบของชุดเกราะดังออกมาอย่างเป็นระเบียบ สำหรับทหารม้าหนัก เกณฑ์การคัดเลือกรวมถึงการฝึกฝนในหน่วยของพวกเขาถือว่าเข้มงวดที่สุดในกองทัพทั้งหมด และเมื่อได้รับคำสั่ง ทุกคนก็สามารถตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีได้อย่างรวดเร็ว
“ผู้บัญชาการกองพันเซินอี้ เราจะบุกจริงหรือ?” ผู้บัญชาการกองร้อยทหารม้าหนักที่ 1 รีบขยับม้าศึกของเขามาข้างหน้าและกดเสียงถาม
เซินอี้กัดฟันและพูดว่า “ไอ้โจรบ้ากามพวกนี้ พวกมันไม่เพียงแต่ไม่วางแผนจะคืนอาวุธยุทโยปกรณ์ พวกมันยังกล้าจะหัวเราะเยาะเย้ยและตัวทำกำเริบเสิบสานกับข้าด้วย หากข้าไม่ตอบแทนอย่างสาสม สกุลของข้าก็คงไม่ใช่เซิน!”
“แต่…ผู้บัญชาการกรมทหารขอให้พวกเรามาที่นี่เพื่อข่มขู่พวกเขาเท่านั้น ไม่ได้ให้เราลงมือจริงๆ เสียหน่อย หากเราบุกเข้าไปจริงๆ เราจะตอบคำถามกองทัพภาคเหนือได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราได้รับบาดเจ็บขึ้นมา?”
เซินอี้กล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นผู้บัญชาการหรือข้าเป็นผู้บัญชาการ? หากมีปัญหาอะไร ข้าจะรับผิดชอบ เอง!” ขณะพูดเช่นนั้น หญิงสาวก็ชักดาบออกมาและชี้ไปยังเหล่าทหารนอกคอกก่อนจะตะโกนออกไปเสียงดัง “จู่โจม!!!”
ในขณะที่กองร้อยทหารม้าหนักเริ่มขยับตัว โจวเหว่ยชิงก็มองเห็นทั้งหมดได้อย่างชัดเจนจากตำแหน่งที่ได้เปรียบของตนเอง แม้ว่าจะกำลังจู่โจม แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในแถวขบวนที่เป็นระเบียบเรียบร้อย
ทหารม้าหนัก 50 นายต่อ 1 แถว รวมทั้งหมดเป็น 2 แถว สำหรับแถวแรก ทหารแต่ละคนจะควบม้าอยู่ห่างกันประมาณ 6 เมตร ส่วนแถวที่ 2 ก็คล้ายคลึงกัน แต่ทหารหนึ่งคนจะยืนอยู่ระหว่างช่องว่างของแถวแรก ด้วยวิธีนี้ หากการบุกของแถวแรกหยุดชะงักก็จะไม่มีผลต่อการจู่โจมของแถวที่ 2 นอกจากนั้น ทหารเหล่านี้เป็นทหารกล้าที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
500 เมตรเป็นระยะทางที่มากเกินพอให้หน่วยทหารม้าตั้งหลัก และแม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนเพียงหนึ่งร้อย แต่ทุกคนก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าเหมือนคลื่นพายุเหล็กกล้า
ไม่ควรมีใครดูถูกกองร้อยทหารม้าหนัก หากพวกเขาเผชิญหน้ากับทหารราบที่ไม่มีการเตรียมการใดๆ แค่เพียง 100 คนก็สามารถวิ่งทับและทำให้ทั้งหมดราบเป็นหน้ากองได้แล้ว
ในเวลานี้ทหารกองพันนักเลงกำลังรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะมั่นใจในความสามารถของตัวเอง แต่การเผชิญหน้ากับคลื่นพายุม้าเหล็กดังกล่าวก็ยังคงทำให้ใบหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไป ทหารทั้งหมดเป็นผู้มีประสบการณ์และรู้ดีถึงพลังของทหารม้าหนัก ทั้งมนุษย์ ม้า และอุปกรณ์ น้ำหนักที่แท้จริงของทั้งหมดนั้น เมื่อรวมกับแรงผลักจากความเร็วของพวกเขา…ทหารม้าหนักที่พุ่งเข้ามาเต็มกำลังย่อมสามารถเอาชนะมณียุทธ์ระดับต่ำได้แน่
โจวเหว่ยชิงยกมือขวาขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ หมอกน้ำแข็งพลันปรากฏขึ้นพร้อมแสงวูบวาบของธนูราชันย์
เซินอี้เลือกให้ทหารม้าหนักบุกเข้าโจมตีแทนที่จะยิงธนู ถึงอย่างไรระยะทาง 500 หลาสำหรับนักธนูธรรมดาก็ถือว่าอยู่ไกลเกินกว่าระยะยิงของพวกเขา และในสายตาของเซินอี้ กองพันนักเลงเป็นเพียงกลุ่มคนจับฉ่ายที่ไร้แบบแผน ในแง่ของความเข้าใจที่หญิงสาวมีต่อกองพันนักเลง เซินอี้ย่อมไม่สามารถเปรียบเทียบกับเซินปู้ พี่สาวของตนได้
ไม่ช้าทหารม้าหนักก็เข้ามาประชิด 300 หลาจากพวกเขาแล้ว ทว่าในระยะทางเช่นนั้นก็ยังถือว่าไกลเกินกว่าระยะยิงของนักธนูทั่วไป
ในขณะนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็เริ่มลงมือ เขากระโดดลงไปด้วยปลายเท้า ร่างทั้งร่างกระโจนราวกับเสือชีตาห์ที่กำลังล่าเหยื่อ ขณะที่พุ่งไป ธนูราชันย์ก็ถูกง้างจนตึงแล้ว คราวนี้เขาไม่ได้ใช้ลูกศรใดๆ แต่กลับเป็นแสงสีขาวหนาทึบที่รวมตัวกันบนสายธนูเป็นรูปลูกศรโดยมีแสงสีฟ้าเจือปนอยู่ภายใน และด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว มันจึงทะยานออกไปราวกับสายฟ้าฟาด
เมื่อระดับพลังของโจวเหว่ยชิงพัฒนาขึ้น ทักษะการยิงธนูและความสามารถของเขาก็มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในความเป็นจริงหลังจากผ่านไปถึงขั้นทะลวงพิภพแล้ว โจวเหว่ยชิงก็สามารถควบแน่นพลังปราณสวรรค์เป็นลูกศรได้เหมือนคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นั่นก็ยังต้องอาศัยพลังปราณสวรรค์ค่อนข้างมาก เขาจึงพยายามจะไม่ใช้มันบ่อยๆ แต่ในขณะนี้สิ่งที่เขาต้องการคือสร้างความตกใจและความหวาดกลัว ไม่ใช่กับฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นเหล่าทหารเลือดร้อนแห่งกองพันไร้พ่ายของตนเอง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงใช้พลังปราณสวรรค์ของเขาเพื่อควบแน่นเป็นลูกศร
อย่างที่ใครๆ สามารถจินตนาการได้ ลูกศรที่สร้างจากพลังปราณสวรรค์นั้นทรงพลังมากกว่าลูกศรธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีทักษะฝังอยู่ภายใน นั่นจึงทำให้มันมีพลังมากกว่าปกติ
ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงใช้เพียงแค่ทักษะเดียวคือฝ่ามืออสนีบาต ทำให้สิ่งที่เขายิงออกไปคือลูกศรราชันย์อสนีบาต
ความเร็วของลูกศรที่ยิงออกไปจากธนูราชันย์นั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง และเกือบจะในช่วงเวลาเดียวกับที่เขาปล่อยสายธนู ลูกศรก็ไปถึงเป้าหมายแล้ว ทหารกองพันไร้พ่ายสามารถมองเห็นร่องรอยสีฟ้าม่วงเลือนลางที่ถูกทิ้งไว้ในอากาศก่อนจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงจนทำให้ทั้งหุบเขาสั่นสะเทือนได้อย่างชัดเจน
การระเบิดครั้งใหญ่ไม่ได้มีผลกระทบต่อมนุษย์นัก แต่ก็ส่งผลต่อม้าศึกเป็นอย่างมาก แม้ว่าม้าเหล่านี้จะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่พวกมันก็ยังเป็นสัตว์ป่า สิ่งที่มาพร้อมกับการระเบิดคือทั้งกองร้อยชะลอความเร็วลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะม้าศึกที่อยู่ข้างหน้าพวกมันดีดขาขึ้นและส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก
ลูกธนูของโจวเหว่ยชิงนั้นแม่นยำมาก มันไม่ได้พุ่งชนทหารหรือม้าของพวกเขา แต่กลับพุ่งตรงไปบริเวณพื้นที่ด้านหน้าของทหารม้าหนักซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร ทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่และหลุมลึกขึ้นมา
ทันทีที่ปล่อยลูกศรดอกแรกออกไป โจวเหว่ยชิงก็ไม่หยุดรอดูผลของมัน เขากระโดดลงจากเนินเขา ปล่อยลูกศรดอกที่ 2 ออกไปในเวลาเดียวกันทันที ลูกศรดอกที่ 2 นั้นถูกยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยตรง ทั้งยังเป็นสีน้ำเงินม่วงเช่นกัน
เกิดระเบิดดังขึ้นอีกครั้งเกือบจะทันทีหลังจากครั้งแรก แม้จะไม่ได้เสียงดังเท่าครั้งก่อนหน้า แต่ก็มีสายฟ้าขนาดมหึมาสีน้ำเงินม่วงวาบผ่านลงมาจากท้องฟ้า แม้พื้นที่ผลกระทบไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่มันก็เพียงพอสำหรับครอบคลุมทหารม้าหนักหลายร้อยนายได้แล้ว มันคือทักษะอสนีบาตพันสายของโจวเหว่ยชิงนั่นเอง
ทักษะอสนีบาตพันสายไม่ได้มีพลังทำลายล้างมากนัก แต่มันเป็นทักษะผลกระทบวงกว้างที่ใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ โลหะจากชุดเกราะฝ่ายตรงข้ามยังเป็นตัวนำไฟฟ้า ดังนั้นทันทีที่ทักษะอสนีบาตพันสายปรากฏขึ้น ภาพอันน่าแปลกประหลาดก็เกิดตามมาทันที
ทหารและม้าศึกของพวกเขาเริ่มตัวสั่นสะท้าน ความเร็วของพวกเขาช้าลงอย่างมากในคราวเดียว รูปขบวนที่เคยเป็นระเบียบพลันแตกฮือกระจัดกระจาย และความรู้สึกชาหนึบอย่างรุนแรงก็ทำให้เหล่าทหารต่างพากันทิ้งหอกลงพื้น
โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างเต็มที่และตะโกนออกมา “พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้ารออะไรกันอยู่! ปล้นพวกมันให้หมด!”
แม้ว่าเขาจะยิงลูกศรออกไปเพียง 2 ดอก แต่ผลลัพธ์ที่เกิดก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน บรรดาทหารกองพันนักเลงที่กำลังเฝ้าดูจึงต้องตกตะลึงไป ลูกศรเพียงแค่ 2 ดอกเท่านั้น!! เขาหยุดกองทหารม้าหนักทั้งกองร้อยได้ด้วยลูกศรเพียง 2 ดอก ทั้งยังตีขบวนของพวกเขาจนแตกแถว!
“ได้เวลาตีหมาตกน้ำ[1]แล้ว” และนี่ก็เป็นนิสัยเฉพาะของทหารนักเลงเหล่านี้ พวกเขาจะปล่อยโอกาสดีๆ หลุดลอยไปได้อย่างไร! กลุ่มคนทั้งหมดนำโดยเว่ยเฟิงและผู้บัญชาการกองร้อยคนอื่นๆ ต่างพุ่งลงมาจากเนินเขาเหมือนฝูงตั๊กแตนแตกฮือ พวกเขายังจำคำพูดของโจวเหว่ยชิงได้ดี สิ่งที่ปล้นได้จะกลายเป็นของพวกเขา
ในขณะนี้ เซินอี้กำลังอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงสุดขีด ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรก ทักษะอสนีบาตพันสายไม่ได้ส่งผลอะไรกับเธอมากนัก ทว่าหญิงสาวกลับไม่คาดคิดเลยว่าโจวเหว่ยชิงจะมีทักษะธาตุสายฟ้าและการบุกจู่โจมของพวกเขาจะถูกหยุดลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ เมื่อเห็นกองพันนักเลงจับกลุ่มกันมุ่งลงเขามาหาพวกเขา หญิงสาวก็พลันรู้สึกหนักอึ้งในใจ
………………………………………………………..
[1] ตีหมาตกน้ำ หมายถึง ซ้ำเติมคนอื่นเวลาที่เขาเดือดร้อน