Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 129 ต่อสู้ด้วยกัน! (1)
เมื่อเผชิญกับแรงกดดันจากเซินจี้ โจวเหว่ยชิงก็เงียบไปหนึ่งวินาที ราวกับว่าได้เห็นบิดาของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง อันที่จริง ท่านพ่อของเขาก็มักจะกดดันเขาเช่นนี้ทุกครั้งที่เขาทำผิดไม่ใช่หรือ?
เมื่อนึกถึงบิดาที่ถูกปิดผนึกเอาไว้และตกอยู่ในอันตราย โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาในใจ ความกดดันที่ข่มขวัญเขาอยู่ก็ราวกับจะเลือนหายไปอย่างกะทันหัน
“ข้าต้องการเดิมพันกับผู้บัญชาการกองทหาร” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“เดิมพัน? เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติมากพอจะทำเช่นนั้นหรือ?” สายตาของเซินจี้เปรียบเสมือนดาบที่แทงทะลุเข้าไปในหัวใจของโจวเหว่ยชิง
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มกลับไม่ยอมถอย “ผู้บัญชาการกองทหารเซินจี้ ถ้าข้าจำไม่ผิด กองพันนักเลงของเราเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพภาคเหนือ แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของท่านโดยตรง สำหรับตำแหน่งหรือยศในวันนี้ ทุกคนที่มาที่นี่ล้วนอยู่ในชุดของคนธรรมดา ไม่ใช่ชุดทหารของท่าน…นั่นก็หมายความว่าท่านมาที่นี่เพื่อแก้ไขปัญหาเป็นการส่วนตัว ในกรณีนี้ จะต้องมีคุณสมบัติอะไรให้เปรียบเทียบกันอีก?”
แววประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเซินจี้ “ไม่น่าแปลกใจที่เซินปู้จะถูกต้อนให้จนมุม เด็กน้อยเช่นเจ้าก็พอใช้การได้บ้างจริงๆ เอาล่ะ พูดมา เจ้าต้องการเดิมพันแบบไหน?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “นั่นง่ายมาก ข้าแน่ใจว่าพวกท่านทุกคน ณ ที่นี้คือยอดฝีมือจ้าวมณีสวรรค์ใช่ไหม? ในกรณีนี้ ส่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกท่านมาต่อสู้กับข้า หากชนะ ข้าก็จะทำตามที่ท่านพูด คืนทุกอย่างให้ท่าน อีกทั้งยังสามารถจัดการกับข้าได้ตามที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม หากท่านแพ้ เราจะลืมเรื่องทั้งหมดนี้เสีย ข้าจะคืนอุปกรณ์ของทหารม้าหนักรวมถึงอุปกรณ์ของม้าให้ แต่ท่านจะต้องจ่ายเงินเพื่อแลกเปลี่ยนคืน ส่วนม้าและคันธนู ข้าจะขอเก็บเอาไว้”
“ได้” เซินจี้หัวเราะอย่างเต็มที่ “นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ออกกำลังกายหนักๆ วันนี้ข้าจะเล่นกับเจ้าก็แล้วกัน”
“อ้วนน้อย ให้ข้าไป” ท่ามกลางลำแสงวูบวาบ ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พลันปรากฏตัวขึ้นข้างๆ โจวเหว่ยชิง อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เธอได้เปลี่ยนกลับไปเป็นผู้ชายอีกครั้งแล้ว แม้ว่าซ่างกวนเฟยเอ๋อร์จะไม่เคยเห็นเซินจี้คนนี้มาก่อน แต่เขาก็ยังเป็นทหารระดับสูง หญิงสาวจึงไม่อยากถูกค้นพบตัวตนง่ายๆ
“หืม?” โจวเหว่ยชิงมองไปที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อย่างสงสัย การที่เธอเข้ามาแทรกแซงในเวลาเช่นนี้ นั่นอาจหมายถึงสิ่งเดียวเท่านั้น ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์จะไม่คิดว่าเขาจะเอาชนะผู้บัญชาการกองทหารเซินจี้คนนี้ได้
“ให้พวกเจ้าเข้ามาทั้งคู่เลยเป็นไง?” เซินจี้ยิ้มเยาะ
ดวงตาของโจวเหว่ยชิงสว่างวาบขึ้นทันที “นั่นคือคำพูดของท่านเองนะ…เฟยเอ๋อร์ ไปด้วยกันเถอะ”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ชะงัก จากนั้นก็บิดเอวของเขาขณะที่กล่าวว่า “เจ้าไร้ยางอายน้อยกว่านี้จะได้ไหม? เจ้าไม่มีศักดิ์ศรีเลยหรือไง?”
โจวเหว่ยชิงไม่รู้สึกอับอายใดๆ ในขณะทีกล่าวว่า “ศักดิ์ศรีมีค่าอะไรล่ะ? ข้าต้องคิดแทนพี่น้องกว่าพันคนของข้า นี่ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องศักดิ์ศรี รอพวกเราจะชนะก่อนถึงค่อยคิดเรื่องนั้น”
เซินปู้ยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าเห็บหมัดสองตัวนี่ กล้าท้าทายศิษย์พี่อาวุโสของข้า หึ เจ้าร้องขอความตายเองนะ เขาคือจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นกลางที่มีมณี 8 ชุด ไม่ใช่คนที่เจ้าจะสามารถล้อเล่นได้ง่ายๆ”
นิสัยของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เป็นแบบไหนน่ะหรือ? เมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอก็พูดอย่างเหยียดหยาม “จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นกลาง…เจ้าคิดว่านั่นจะหมายถึงเขาไร้เทียมทานหรือยังไง? ถ้าเป็นเช่นนั้น จ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาหรือเหนือกว่านั้นจะเรียกว่าอะไรล่ะ?”
เซินจี้กล่าวว่า “พอแล้ว พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เนื่องจากนี่คือการเดิมพัน งั้นก็เริ่มกันเลย “แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้มีความคิดที่จะลงมือก่อน ในสายตาของชายหนุ่ม ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ต่างก็เป็นเด็กน้อย ไม่ใช่คนรุ่นเดียวกัน และด้วยสถานะและตำแหน่งของตน เขาจะโจมตีก่อนได้อย่างไร?
โจวเหว่ยชิงทำให้ส่งสายตาให้ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อย่างมีความนัย พวกเขาเดินทางด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้ว และเมื่อเห็นแววตาชั่วร้ายของอีกฝ่าย ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็รู้ทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร เธอหันไปยู่หน้าใส่เขาครู่หนึ่ง จากนั้นในพริบตาต่อมาหญิงสาวก็พุ่งเข้าหาเซินจี้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ลงมือแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ไม่รีบร้อน เขาเรียกธนูราชันย์ออกมาอย่างสบายๆ ราวกับว่าความร่วมมือของพวกเขาในฐานะกลุ่มเดียวกันกำลังล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
ในตอนนี้ ส่วนที่เหลือของกองพันไร้พ่าย ทั้งนายหมู่และผู้บัญชาการกองร้อยทุกคนต่างก็รีบวิ่งเข้ามา
พวกเขาทุกคนได้เห็นความแข็งแกร่งของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์แล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่าความแข็งแกร่งของเธอจะไปถึงระดับไหน เมื่อเห็นพวกเขาเข้าต่อสู้กัน เหล่าสมาชิกหัวรุนแรงเหล่านี้จะไม่สนใจได้อย่างไร นอกจากนี้ พวกเขายังกังวลด้วยว่าอุปกรณ์ที่ได้รับมาในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้จะถูกส่งคืนหรือไม่
เซินจี้ไม่ได้ดูถูกซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ ในฐานะแม่ทัพ เขาจะไม่ดูถูกคู่ต่อสู้เพราะนั่นอาจจะเป็นความผิดพลาดที่เลวร้ายที่สุด เมื่อเขาพูดให้สัญญาณเริ่มการต่อสู้ แม้จะไม่ได้โจมตีก่อน แต่ชายหนุ่มก็ปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมาแล้ว
เป็นมณียุทธ์ 8 ดวงที่คุ้นเคย เช่นเดียวกับของโจวเหว่ยชิง พวกมันคือหยกน้ำแข็งที่ส่องแสงระยิบระยับ เซินจี้ไม่ได้พยายามปกปิดแขนของเขา และมณีธาตุที่ข้อมือซ้ายก็นั้นชัดเจนว่าเป็นเพชรสีทองของธาตุดิน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นกลางประเภทความแข็งแกร่ง/ธาตุดิน
แขนเสื้อของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ปกคลุมมณีธาตุทางด้านขวาของเธอ ทว่าเปิดให้เห็นมณีธาตุลมทางด้านซ้าย เมื่อเซินจี้เห็นมณีธาตุทั้ง 6 ดวงรอบข้อมือขวาของเธอ ดวงตาของเขาก็ปรากฏแววประหลาดใจ แม้ว่าซ่างกวนเฟยเอ๋อร์จะปลอมตัว แต่ตัวของ ‘เขา’ ก็ยังดูอายุ 20 ต้นๆ กระทั่งอาจจะน้อยกว่าเซินปู้ด้วยซ้ำ
มณี 6 ดวง?!
เซินจี้ไม่มีเวลากรุ่นคิดให้มากความเนื่องจากซ่างกวนเฟยเอ๋อร์มาถึงตัวเขาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของเขาก็รวดเร็วและตรงไปตรงมา ชายหนุ่มพุ่งกำปั้นขวาออกไป พลังปราณสวรรค์หนาแน่นปกคลุมที่ฝ่ามือพร้อมกับแสงสีเหลืองของธาตุดิน แม้ไม่ต้องใช้ทักษะใดๆ หมัดของเขาก็สามารถสร้างกำแพงแสงสีเหลืองยาว 1 เมตรขึ้นในอากาศได้แล้ว ซึ่งเป็นการผสานระหว่างการโจมตีและการป้องกันอย่างชัดเจน
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดที่น่าตกใจของเธออีกครั้ง ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะถูกชกด้วยหมัดก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอทำได้อย่างไร แต่ร่างกายของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กลับสามารถหยุดลงกลางอากาศได้ และในทันใดนั้น เธอก็หมุนตัวออกไปด้านข้าง
แสงสีขาวสลัวๆ ปรากฏขึ้นรอบๆ ร่างซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ และตำแหน่งที่เธอหยุดก็อยู่ในระยะที่ไกลที่สุดที่การโจมตีของเซินจี้จะไปถึง ด้วยการหมุนตัวครั้งนั้น ราวกับว่าหญิงสาวสามารถเหินข้ามกำแพงแสงสีเหลืองไปได้
การเคลื่อนไหวของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์นั้นรวดเร็วเกินไป สำหรับผู้ชมส่วนใหญ่ พวกเขาเพียงรู้สึกถึงภาพเลือนลางก่อนที่เธอจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งข้างๆ เซินจี้ มือที่มีกรงเล็บยื่นเหยียดออกไปที่ศีรษะของเขาแล้ว
เซินจี้ยังตกใจกับการเคลื่อนไหวของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เนื่องจากไม่เคยพบกับใครที่จัดการกับหมัดกำแพงของตนเช่นนี้มาก่อน ที่สำคัญกว่านั้น การเคลื่อนไหวของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ยังรวดเร็วและลื่นไหลเกินไป ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นตั้งแต่ต้นจนจบ และแม้แต่เขาก็ยังมองไม่เห็นอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ
แม้ว่าระดับพลังปราณของเขาจะสูงกว่าซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ อีกทั้งยังมั่นใจว่า ‘เขา’ คนนั้นจะไม่สามารถทำร้ายตนได้ แต่หากต้องรับการโจมตีของจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 6 ชุดจริงๆ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งดีอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้เขายังอยู่ต่อหน้าทหารใต้บังคับบัญชาจำนวนมาก ชายหนุ่มจะเสียหน้าเช่นนั้นไม่ได้
ขาขวาของเซินจี้กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง และด้วยเสียงระเบิดที่ดังขึ้นกึกก้อง แสงสีเหลืองหนาทึบก็ลุกพรึ่บขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าของเขา ตรงเข้าห่อหุ้มทั้งร่างของเซินจี้เอาไว้ในกำแพงแสง มันเป็นหนึ่งในทักษะป้องกันธาตุดินที่ทรงพลัง นั่นคือโล่จินกัง เขาวางแผนที่จะใช้ทักษะโล่จิงกังนี้ผลักซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ออกไป เพื่อกดดันเธอด้วยระดับพลังปราณที่สูงกว่าของตนเอง น่าเสียดาย นั่นกลับกลายเป็นการทำให้ตัวเองเสียเปรียบเนื่องจากความแข็งแกร่งของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์มีมากเกินความคาดหมายของเขา ขณะที่เท้าของเซินจี้เหยียบลงบนพื้น ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็กระแทกเท้าของเธอลงบนพื้นอย่างแผ่วเบาเช่นกัน ร่างกายของหญิงสาวกระโจนขึ้นขณะที่มือขวาก็ยังคงอยู่ในรูปกรงเล็บ แสงสีทองเหลือบดำพลันพุ่งออกมาจากร่างกายของเธอ มันคือเกราะป้องกันเทพเจ้านั่นเอง
แสงสีทองเหลือบดำและแสงสีเหลืองปะทะกัน โล่จิงกังและเกราะป้องกันเทพเจ้าเป็นทักษะป้องกันเหมือนๆ กัน ตามทฤษฎีแล้ว ทั้งสองอย่างก็ไม่ควรจะทำร้ายกันและกันได้ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มือขวาของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็อยู่ใกล้กับศีรษะของเซินจี้มาก พลังทั้งสองต่างกำลังปะทะเข้าด้วยกัน
ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นชัดเจนมาก เกราะป้องกันเทพเจ้าเป็นอุปกรณ์ป้องกัน ไม่ใช่อาวุธโจมตี ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์จึงไม่สามารถใช้มันเพื่อทำลายโล่จินกังได้ อย่างไรก็ตาม ระดับพลังปราณของเซินจี้ก็มากกว่าหญิงสาวไม่เกิน 12 ระดับ นอกจากนี้ โล่จินกังก็ไม่อาจส่งผลกระทบต่อเกราะป้องกันเทพเจ้าได้
ด้วยเหตุนี้ โล่จินกังจึงก่อตัวขึ้นมาจริงๆ แต่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กลับไม่ได้ถูกโยนออกไปเพราะมัน เมื่อมาถึงจุดนี้ บริเวณมือขวาถึงไหล่ของเธอก็ปรากฏกรงเล็บศาสตรามณียุทธ์ขึ้น
กรงเล็บของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไม่เหมือนกับโจวเหว่ยชิง แค่กรงเล็บบนถุงมือสีทองเหลือบดำเพียงอย่างเดียวก็มีความยาวมากกว่า 7 นิ้วแล้ว
เซินจี้เป็นนักสู้ที่มีประสบการณ์ในสนามรบ และเมื่อเขาเห็นแสงอันเจิดจ้าของเกราะป้องกันเทพเจ้า เขาก็รู้ทันทีว่าหลังจากนี้สิ่งต่างๆ จะไม่ดำเนินไปด้วยดีแน่นอน
ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า! นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้อย่างแน่นอน! แม้ว่าเซินจี้จะเป็นผู้บัญชาการกองทหารที่ควบคุมกองกำลังกว่าแสนนาย แต่เขาก็ไม่มีศาสตรามณียุทธ์ในระดับนั้นแม้แต่ชิ้นเดียว
เมื่อเห็นแสงสีทองเหลือบดำ เขาไม่สนใจศักดิ์ศรีอีกต่อไป ชายหนุ่มรีบตอบสนองด้วยความว่องไว เขากระโดดไปข้างหลัง หมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ให้ถึงขีดสูงสุดและปลดปล่อยศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดของตนออกมา ในเวลาเดียว กัน เซินจี้ก็ยังเรียกใช้ทักษะชุดเกราะหินด้วย
เกราะสีเหลืองธาตุดินหนาทึบพลันปรากฏขึ้นรอบตัวเขา นอกจากค้อนยาวในมือแล้ว อีก 7 ชิ้นล้วนเป็นศาสตรามณียุทธ์ครบชุด
หมวกเกราะ เกราะไหล่คู่ เกราะหน้าอก สายคาดเอว เกราะหุ้มขาคู่ ชุดศาสตรามณียุทธ์ 7 ชิ้น นี่เป็นศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะ
แสงสีเหลืองหนาแน่นอีกชั้นพลันเล็ดลอดออกมาเมื่อศาสตรามณียุทธ์ถูกปลดปล่อยออกมาเต็มชุด ปิดกั้นกรงเล็บมือขวาของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไว้ได้ชั่วขณะ ในเวลาเดียวกัน ทักษะชุดเกราะหินก็ปรากฏขึ้นล้อมรอบชุดเกราะศาสตรามณียุทธ์ไว้อีกชั้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ชมทั้งหมดกลับยังคงได้ยินเสียงที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น ร่างกายของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ถูกผลักกลับอย่างรุนแรงด้วยแสงสีเหลืองจากพลังของชุดศาสตรามณียุทธ์ที่เซินจี้มี ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ใช้ประโยชน์จากแรงดีดสะท้อนเพื่อล่าถอย แต่กระนั้น กรงเล็บข้างขวาของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนร่างของเขาแล้ว
ทักษะชุดเกราะหินถูกฉีกกระชากออกจากกันอย่างรุนแรง รอยกรงเล็บที่ลึกอย่างน่าหวาดกลัว 5 รอยถูกทิ้งไว้บนเกราะหน้าอกและสายคาดเอวของเขา หากการโจมตีครั้งนั้นไม่ถูกป้องกันไว้ได้ด้วยทักษะชุดเกราะหิน หากศาสตรามณียุทธ์ของเขาถูกผ่าแยกด้วยเช่นกัน ก็ไม่มีใครรู้ได้แน่ชัดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เซินจี้สะดุดถอยหลังไปเกือบ 4-5 ฟุตก่อนที่เขาจะกลับมายืนตรงได้ในที่สุด
……………………………………………………..