Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 156 มณีชุดที่ 5! (3)
หลังจากนั้นโจวเหว่ยชิงก็ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาเพื่อเข้าใกล้
เหลยซี ก่อนที่จะผสานทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ ทักษะโซ่ตรวนวายุ
และทักษะสายฟ้าแห่งหายนะ 3 ทักษะควบคุมอันทรงพลังเพื่อจํากัด
การเคลื่อนไหวของเหลยซีและปิดท้ายด้วยทักษะระดับเกือบเทียบเท่า
เทพเจ้าอย่างผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจ และพิธีเลือดตราประทับธาตุมืด
นับประสาอะไรกับเหลยซี กระทั่งคนที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ
มณี 6 ชุดที่พกพาศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บมาครบชุด เขาหรือ
เธอก็ยังไม่สามารถต้านทานพลังของทักษะเหล่านี้ได้อยู่ดี
แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงไม่ต้องการให้เหลยซีกลายเป็นผู้ติดตามของ
ตนจริงๆ แต่เพียงแค่ต้องการสอนบทเรียนอันแสนเจ็บปวดให้กับสหาย
คนนี้มากกว่า ถ้าบทเรียนนั้นไม่ทําให้เขาเข็ดหลาบมากพอและกลับมา
วุ่นวายท้าสู้กับเขาอีกในอนาคตเรื่อยๆ นั่นจะไม่ใช่เรื่องน่าปวดหัว
มากกว่าหรอกหรือ? ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงใช้โอกาสนี้แสดงพลังให้
เห็นว่าสามารถโค่นเหลยซีได้อย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกันก็เป็นการ
บอกใบ้ให้ทหารใหม่คนอื่นๆเกรงกลัวและยอมจํานนเสียดีๆ
…กองบัญชาการใหญ่ กองพลที่ 7
เมื่อโจวเหว่ยชิงและเว่ยเฟิงมาถึง กองบัญชาการใหญ่ก็เต็มไปด้วย
เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของกองพลที่ 7 ผู้ที่อยู่ที่นั่นอย่างน้อยก็มี
ตําแหน่งรองผู้บัญชาการกรมทหารขึ้นไป โดยที่ชุดเกราะของพวกเขา
แสดงสถานะให้เห็นอย่างชัดเจน
การมาถึงของโจวเหว่ยชิงและเว่ยเฟิงไม่ได้กระตุ้นความสนใจของ
คนอื่นๆเพราะตอนนี้พวกเขากําลังตั้งใจฟังเซินจี้อยู่
อย่างไรก็ตาม เซินจี้หันไปมองไปที่โจวเหว่ยชิง และใบหน้าที่แต่
เดิมเข้มงวดก็แย้มยิ้มน้อยๆชั่วครู่ ชายหนุ่มพยักหน้าให้โจวเหว่ยชิงก่อน
จะเอ่ยธุระของตนต่อไป
แม้เขาจะเกรงกลัวภูมิหลังของโจวเหว่ยชิงเล็กน้อย แต่ในตอนนี้
เซินจี้ย่อมไม่อาจให้การดูแลเขาเป็นพิเศษ เพราะท้ายที่สุด นั่นจะ
เปิดเผยตัวตนและสถานะของเด็กหนุ่มได้อย่างง่ายดาย
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าให้เซินจี้เป็นการทักทายก่อนจะไปยืนอยู่
ด้านหลังเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ
เนื่องจากเซินจี้ให้ความสนใจกับเขา เจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านหน้าจึงหัน
กลับไปมองโจวเหว่ยชิงโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน สําหรับคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้
มีปฏิกิริยาอะไร แต่เมื่อเซินปู้เห็นโจวเหว่ยชิง สีหน้าของเธอกลับแปรเปลี่ยนไปกะทันหันและรีบหันหน้าหนีไปในทันที โจวเหว่ยชิงรู้สึก
ประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาเห็นใบหน้าของเธอขึ้นสีแดงเรื่อที่ข้างแก้ม
ขณะทําเช่นนั้น
โจวเหว่ยชิงกระพริบตาด้วยความประหลาดใจก่อนจะหันไปหาเว่ย
เฟิงที่อยู่ข้างๆแล้วพูดด้วยน�าเสียงกดต�า “เฒ่าเว่ย วันนี้แม่นางเซินปู้ตัว
น้อยคนนั้น…ดูแปลกๆไปนะว่าไหม? ทําไมนางถึงหน้าแดงตอนเห็นข้า
ล่ะ?”
เว่ยเฟิงกระแอมเสียงต�าและพูดว่า “ผู้บัญชาการกองพัน สําหรับ
เรื่องนี้…ไม่ว่าท่านจะฉลาดแค่ไหน ข้าก็มั่นใจว่าท่านจะไม่มีวันเดาเหตุ
ผลได้แน่นอน”
โจวเหว่ยชิงชะงักไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “อะไรกัน … อย่าบอก
นะว่านางตกหลุมรักข้าอีกคน? นั่นไม่ถูกต้อง… แม้ว่าข้าจะเป็นชายที่ดู
อ่อนโยน มีเสน่ห์และน่าหลงใหลแค่ไหน แต่ข้าก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงวัยนาง
หรอกนะ! ”
เว่ยเฟิงแทบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้ว เขาข่มใจตัวเองแอบขําใน
ลําคอเล็กน้อยและส่ายหัวให้โจวเหว่ยชิง เจ้าหน้าที่บางคนที่อยู่ใกล้พวก
เขาหันมามองทั้งสองคนด้วยความโกรธ ในสายตาของพวกเขา การที่
เจ้าหน้าที่ระดับต�าสองคนนี้มาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก แต่พวกเขาก็ยังกล้าที่จะสนทนาและหัวร่อต่อ
กระซิกกันในการประชุมที่จริงจังเช่นนี้อยู่ได้
โจวเหว่ยชิงทําเป็นไม่เห็นแววตาเคืองขุ่นของพวกเขาและเอ่ยถาม
เบาๆ “บอกข้าเร็ว เกิดอะไรขึ้น?” เด็กหนุ่มยังคงอยากรู้อยากเห็นเป็น
อย่างมาก
เว่ยเฟิงแสยะยิ้มและกล่าวว่า “หึๆ นับตั้งแต่พวกเขาได้รับความ
สูญเสียครั้งใหญ่เพราะพวกเรา เซินปู้ก็ประพฤติตัวดีขึ้นบ้างในบางครั้ง
ก็อย่างที่ท่านทราบ พี่หลินเป็นคนที่ขยันขันแข็งมาก และเขาจะออกไป
นอกค่ายทุกวันเพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้ของเขา วันหนึ่งเขาไปเจอ
กับเซินปู้เข้าโดยบังเอิญ…เนื่องจากทั้งสองเคยปะทะกันมาก่อน เซินปู้
ไม่กล้าแก้แค้นท่าน…แต่เมื่อนางเห็นพี่หลิน พวกเขาจึงลงเอยด้วยการ
ต่อสู้กัน โดยธรรมชาติแล้วผลที่ตามมาคือนางแพ้พี่หลินไปอย่างราบ
คาบ แต่นางรู้ว่าพี่หลินจะไปฝึกที่นั่นทุกวัน นางจึงตามไปหาเขา
เพื่อที่จะต่อสู้ด้วย พี่หลินต่อสู้กับนางทุกวัน แม้ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่
ใครจะรู้ว่า…หลังจากผ่านไปสักพัก พวกเขาจะดูเหมือนไปด้วยกันได้
ดี…”
ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ และเขาก็
พึมพํากับตัวเอง “แม่เจ้า ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ แม้ว่าเจ้าจะทุบตีข้าจน
ตาย ข้าก็ยังเดาเรื่องนี้ไม่ออกอยู่ดี! สรุปนั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นสินะ?”เนื่องจากความตกใจ เสียงของเขาจึงดังโผงผางไปสักหน่อย และคราวนี้
เจ้าหน้าที่เกือบทั้งหมดก็หันกลับมาจ้องพวกเขาเป็นตาเดียว
เซินจี้ยังก็ได้ยินเสียงของโจวเหว่ยชิงเช่นกัน คิ้วของเขาขมวด
เล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “ผู้บัญชาการกองพันโจว โปรดมาที่ด้านหน้า
ด้วย…”
โจวเหว่ยชิงควบคุมสติตัวเอง ซ่อนความประหลาดใจไว้ในใจก่อน
จะก้าวไปด้านหน้า เมื่อเด็กหนุ่มเดินผ่านเซินปู้ เขาก็จ้องมองเธออย่าง
แปลกประหลาด อืม ระดับพลังปราณของผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เลวเลย เป็น
คนที่เหมาะสมสําหรับหลินเทียนอ้าว แต่นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเล็กน้อย!
คนนิ่งๆเงียบๆแบบพี่หลินหาภรรยาได้ง่ายดายเสียเหลือเกิน! เด็กหนุ่ม
กรุ่นคิดกับตัวเอง
ในขณะที่ก้าวไปด้านหน้า โจวเหว่ยชิงก็โค้งคํานับให้เซินจี้เล็กน้อย
พร้อมกับเอ่ยทักทาย “คารวะผู้บัญชาการกองพลเซินจี้”
เซินจี้พยักหน้าให้เขาก่อนจะหันไปหาเจ้าหน้าที่คนอื่นๆและพูดว่า
“ข้าจะแนะนําให้ทุกคนรู้จัก นี่คือผู้บัญชาการกองพันไร้พ่าย กองพันไร้
พ่ายเป็นหน่วยที่แยกตัวออกไปจากกองพลของเรา พวกเขาเป็นกอง
กําลังพิเศษและจะเข้าร่วมการต่อสู้ในปีนี้ด้วย หน่วยนี้ประกอบด้วยพล
ธนูเต็มอัตรา แม้ว่าผู้บัญชาการกองพันโจวจะครองตําแหน่งผู้บัญชาการกองพันเท่านั้น แต่กองพันไร้พ่ายของเขาก็มีกําลังพล
มากกว่า 5,000 นาย”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ในกะโจมแห่งนี้ก็เริ่มเข้าใจโดย
พร้อมเพรียงกัน ไม่น่าแปลกที่นายทหารระดับผู้บัญชาการกองพันจะ
เข้าร่วมการประชุมระดับสูงครั้งนี้ เขาเป็นผู้นํากองทหารจํานวนมาก
และมีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่นั่นเอง
เซินจี้กล่าวต่อ “เอาล่ะ กลับไปที่หัวข้อหลักที่เราเพิ่งพูดถึง
สถานการณ์ในปีนี้ดูไม่ดีนัก โดยปกติทุกๆปี กองกําลังของอาณาจักรวั่น
โซ่วจะมุ่งเน้นส่งคนไปยังพื้นที่ภาคเหนือตอนกลางเป็นหลัก และแรง
กดดันบริเวณพื้นที่แถบนั้นก็จะมีมากที่สุด ทว่า ในปีนี้ กองกําลังของ
พวกเขามีจํานวนมากขึ้น และสิ่งที่เราต้องแบกรับก็มีไม่น้อยเช่นกัน
ตามรายงานเบื้องต้นจากหน่วยสอดแนมชายแดนทางตะวันตกเฉียง
เหนือของเรา มีทหาร 17 กรมทหารจากอาณาจักรวั่นโซ่วไปรวมตัวกัน
ที่นั่นแล้ว นี่เป็นการแสดงพลังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ถึงอย่างไร
ทหารอาณาจักรวั่นโซ่วก็มีเพียง 58 กรมที่เรารู้จัก ในครั้งนี้ กล่าวได้ว่า
พวกมันออกมาโจมตีเราจากทุกแนวรบ สําหรับกองทัพภาคตะวันตก
เฉียงเหนือของเรา นอกเหนือจากกองพลที่ 4 7 และ 8 ที่ประจําการที่นี่
ด้วยกําลังพลราว 300,000 นายแล้ว เรายังสามารถรวมตัวกับกองพลที่
9 และ 10 ที่ประจําการในเมืองเทียนเป่ยได้ หากไม่นับกองกําลังสํารอง
บางส่วน กําลังรวมของเราก็จะมีมากกว่า 600,000 นายเล็กน้อยถึงแม้ว่ากองทัพของเราจะมีจํานวนมากกว่าศัตรูถึง 4 เท่า แต่อย่างที่
พวกเจ้ารู้กันดี นั่นยังคงไม่เพียงพอสําหรับสงครามที่จะมาถึง
สถานการณ์ในปีนี้ดูไม่สู้ดีเอาเสียเลย”
เมื่อได้ยินเซินจี้อธิบายถึงความแข็งแกร่งของทหารระหว่างทั้งสอง
ฝ่าย โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นพรึงในใจ ไม่น่าแปลกที่ทุกๆปี
อาณาจักรวั่นโซ่วจะสามารถปล้นสะดมจากอาณาจักรจ้งเทียนได้…
ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายนั้นถือเป็น
ช่องว่างที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ!
แม้อาจจะฟังดูเกินจริงไปเสียหน่อยหากจะบอกว่าทหารอาณาจักร
วั่นโซ่ว 1 กรมสามารถโค่นทหารอาณาจักรจ้งเทียนทั้งกองพลได้ เพราะ
ถึงอย่างไรอาณาจักรจ้งเทียนทั้งหมดก็มีหน่วยทหารที่ทรงพลังมาก
เช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น แม้การส่งทหาร 600,000 นายออกไปต่อกรกับ
ทหาร 10 กรมจากอาณาจักรวั่นโซ่วจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่การ
ทําเช่นนั้นก็ย่อมส่งผลดีมากกว่า ในแง่ของพละกําลังและความสามารถ
ในการต่อสู้ระหว่างที่ปะทะกันบนภูมิประเทศเช่นที่ราบเปิดอันกว้าง
ใหญ่ กองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วจะมีความได้เปรียบมากกว่าและสามารถ
ใช้พรสวรรค์ของตนได้อย่างเต็มที่ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่มีศัตรูถึง
17 กรมทหาร… หลังจากการต่อสู้ไปสองสามยก บางทีกองทัพตะวันตก
เฉียงเหนืออาจไม่สามารถหยุดยั้งการรุกคืบของพวกเขาได้ด้วยซ�า“17 กรมทหาร? หัวหน้า เป็นไปได้ไหมว่าหน่วยสอดแนม
ผิดพลาด? ทุกๆปีกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือของเราต้องเผชิญกับศัตรู
มากที่สุด 6-7 กรมทหารเท่านั้น และนั่นก็เป็นขีดจํากัดของเราแล้ว
เช่นกัน พวกเขาจะเพิ่มตัวเลขเป็นสองเท่าในปีนี้ได้อย่างไร?” หนึ่งในผู้
บัญชาการกรมทหารที่ประดับขนนกสีเหลืองบนหมวกและนั่งอยู่แถว
หน้าร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
เซินจี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผิด? ข้าก็หวังว่ามันจะผิดพลาด
เช่นกัน…อนิจจา ข้อเท็จจริงมากองอยู่ตรงหน้าเราแล้ว และเราก็ต้อง
หาทางจัดการกับมันให้ได้ สถานการณ์ในปีนี้แปลกประหลาดมาก …
กองทัพภาคเหนือตอนกลางกําลังเผชิญหน้ากับทหารอาณาจักรวั่นโซ่ว
15 กรม ซึ่งนั่นเป็นจํานวนปกติ ส่วนกองทัพภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็
มีเพียง 5 กรมเท่านั้น ซึ่งก็เป็นจํานวนตามปกติหรือน้อยกว่าเดิมด้วยซ�า
แม้แต่อาณาจักรเป่าโปและอาณาจักรเฟยหลี่ก็เผชิญหน้ากับกองทัพ
อาณาจักรวั่นโซ่วเพียง 5 กรม แต่ในทางกลับกัน เป็นพวกเราเองที่ต้อง
เผชิญหน้ากับศัตรูจํานวนมากที่สุด ครั้งนี้อาณาจักรวั่นโซ่วส่งกองทัพ
ออกมามากกว่า 40 กองพล และมากกว่า 1 ใน 3 ของพวกเขามารวมตัว
กันที่ฝั่ งของเรา กองบัญชาการใหญ่ของเราได้ส่งคําขอไปยังหน่วย
บัญชาการกลางภาคเหนือเพื่อขอกําลังเสริมแล้วและหวังว่าพวกเขาจะ
สามารถช่วยเราได้บ้าง”เซินปู้กล่าวว่า “ผู้บัญชาการกองพล ข้าเกรงว่านั่นจะเป็นเรื่องยาก
มาก พวกเขากําลังเผชิญกับแรงกดดันหนักหน่วงเช่นกัน… บางทีอาจจะ
เป็นการดีกว่าหากขอกําลังเสริมจากกองทัพภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
เซินจี้ไม่ตอบกลับ แต่บรรยากาศในกระโจมขนาดใหญ่ได้กลายเป็น
ความกดดันสุดกู่ พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าโอกาสในการได้รับกําลังเสริมนั้น
ต�ามาก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ�า ถึงอย่างไรกองกําลังของ
อาณาจักรวั่นโซ่วก็แข็งแกร่งเกินไป และทหารจํานวน 5 กรมก็ไม่ใช่สิ่งที่
สามารถดูถูกได้ พวกเขาแต่ละคนเป็นนายทหารระดับผู้บัญชาการ ใคร
จะเต็มใจส่งกองกําลังออกไปช่วยเหลือผู้อื่นในขณะที่บ้านตัวเองยังมีศึก
ให้ต้องต่อสู้ ถ้าสิ่งนั้นทําให้ปราการป้องกันของพวกเขาแตกพ่ายเสียเอง
มันก็จะกลายเป็นความผิดร้ายแรงมาก
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเซินจี้ก็กล่าว “ตอนนี้หน่วย
บัญชาการภาคตะวันตกเฉียงเหนือยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะล่าถอยกลับไป
ที่เมืองเทียนเป่ยหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ในขณะที่เรากําลังรอ
คอยคําสั่ง ข้าต้องการให้ทุกคนเริ่มเตรียมตัวสําหรับสถานการณ์การ
ต่อสู้ที่ยากลําบากที่สุด การเตรียมตัวให้พร้อมมีความสําคัญมาก
เนื่องจากอาณาจักรวั่นโซ่วสามารถบุกโจมตีได้ตลอดเวลา แต่ก็อย่าเพิ่ง
ท้อใจไป ข้ายังมีข่าวดีที่จะแบ่งปันให้ทุกท่านทราบ กองทัพภาคเหนือ
ตอนกลางได้ตกลงที่จะส่งความช่วยเหลือมาให้เราแล้ว แม้ว่าจํานวนจะ
น้อย แต่พวกเขาก็จะให้เรายืมกองกําลังชั้นยอดที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา นั่นคือกองกําลังพิเศษ 1 กองพัน ด้วยวิธีนี้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
เราก็น่าจะอดทนต่อไปได้อีกสักระยะ”
สิ่งที่ตามมาคือเซินจี้จัดระเบียบทหารใต้บังคับบัญชา มอบหมาย
งานและหน้าที่ต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว การเตรียมการเหล่านั้นก็
ยกตัวอย่างเช่นการขุดสนามเพลาะและการเตรียมการรบอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าประจําการอื่นๆที่โจวเหว่ยชิงยังไม่เข้าใจอยู่ด้วย
ในที่สุด หลังจากออกคําสั่งเสร็จสิ้นแล้ว เซินจี้ก็กล่าวว่า “เอาล่ะ
จบการประชุมในวันนี้ ทุกคนรีบกลับไปเตรียมตัว เตรียมทหารของเจ้า
ให้พร้อมรบได้ทุกเมื่อ”
“ขอรับท่าน!” เจ้าหน้าที่ทหารต่างค้อมกายคํานับโดยพร้อมเพรียง
กันก่อนจะเดินออกจากกระโจมไป ทว่าก่อนที่จะได้ก้าวขาออกไป โจว
เหว่ยชิงก็ถูกเซินจี้หยุดเอาไว้ “ผู้บัญชาการกองพันโจว โปรดรอก่อน
สักครู่”
“ผู้บัญชาการกองพล ท่านมีคําสั่งใดหรือ?” โจวเหว่ยชิงหยุดฝีเท้า
และถาม
เซินจี้มองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอย่าง
ลังเล “ผู้บัญชาการกองพันโจว ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านยังอยู่ใน
กองพันหรือไม่?”โจวเหว่ยชิงเฉลียวฉลาดแค่ไหนทุกคนย่อมตระหนักได้ดี เมื่อได้ยิน
คําถามนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเซินจี้กําลังพยายามจะทําอะไร เด็กหนุ่มจึง
กล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้า “ข้าขอโทษด้วยขอรับผู้บัญชาการ
กองพลเซินจี้ อย่างที่ทราบกันดีว่าอาจารย์ของข้าเป็นยอดฝีมือที่ไม่
สามารถเข้าร่วมการต่อสู้เช่นนี้ได้ ไม่เช่นนั้นมันอาจนําไปสู่ความแยก
แตกในระดับที่เลวร้ายสุดกู่ ทว่าถึงอย่างไรกองพันไร้พ่ายของเราก็เป็น
ส่วนหนึ่งของกองพลที่ 7 และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็ยินดีที่จะ
ต่อสู้และดําเนินการตามที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเต็มที่”
แววผิดหวังวาบผ่านในดวงตาของเซินจี้ขณะที่เขากล่าวว่า
“ขอบคุณสําหรับความร่วมมือของท่าน ผู้บัญชาการกองพันโจว ทหาร
กองพันไร้พ่ายของท่านล้วนเป็นนักแม่นธนู และเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ข้า
ย่อมจําเป็นต้องให้ท่านช่วยสนับสนุนกองทัพหลักของเราแน่นอน”
ในความเป็นจริงเซินจี้ไม่ได้คาดหวังในตัวกองพันไร้พ่ายมากนัก
แม้เขาจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในกองพันไร้พ่ายด้วยตัวเอง
แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงเป็นกลุ่มนักเลงหัวไม้ และเซินจี้ก็ไม่กล้า
ปล่อยให้กองกําลังดังกล่าวเข้าสู่สนามรบได้ง่ายๆ จะเป็นอย่างไรหาก
เกิดปัญหาวุ่นวายขึ้น มันอาจส่งผลกระทบต่อพันธมิตรที่เหลือและทํา
ให้เกิดหายนะได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่สามารถข่มใจทําตัวตามสบายกับ
ทหารนักเลงกว่า 5,000 นายได้ง่ายๆโดยธรรมชาติแล้ว บุคคลที่เซินจี้ยกย่องอย่างแท้จริงย่อมเป็น
อาจารย์ของโจวเหว่ยชิง ถ้าเขาเดาไม่ผิด ฝ่ายนั้นคงเป็นยอดฝีมือระดับ
ราชาสวรรค์หรืออาจจะเป็นระดับมหาราชาสวรรค์ ด้วยความช่วยเหลือ
ของยอดฝีมือดังกล่าว อย่างน้อยเขาก็จะสามารถกําราบศัตรูได้ 1 กรม
ทหารและช่วยเหลือฝ่ายจ้งเทียนได้มาก ในช่วงเวลาสําคัญ บุคคลเช่นนี้
อาจเป็นกุญแจนําไปสู่ชัยชนะในตอนท้าย อนิจจา จากสิ่งที่กําลังเกิดขึ้น
ดูเหมือนว่าการใช้งานยอดฝีมือเช่นนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย
ให้ช่วยสนับสนุนกองทัพหลัก? เมื่อได้ยินคําพูดของเซินจี้ โจวเหว่ย
ชิงก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จากน�าเสียงและคําพูดของเซินจี้ เห็นได้ชัดว่า
เขาไม่ได้วางแผนที่จะให้กองพันไร้พ่ายออกไปรบเป็นส่วนหนึ่งของ
กองทัพหลัก กระนั้น ถ้าพวกเขาไม่ได้ต่อสู้ แล้วจะบรรลุเป้าหมายใน
การฝึกกองพันไร้พ่ายได้อย่างไร?
ขณะที่พวกเขาสองคนกําลังครุ่นคิดก็ถูกขัดจังหวะด้วยน�าเสียงรีบ
ร้อนที่ดังมาจากด้านนอกทันที “รายงานขอรับท่าน!”
………………………………………