Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 157 การมาถึงของ 2 เผ่าที่ทรงพลัง! (3)
เนื่องจากตอนนี้พวกเขาได้เปรียบจากพื้นที่เนินเขาซึ่งสูงลดหลั่น
กันลงมา ความเร็วของทหารยูนิคอร์นจึงเพิ่มมากกว่าเดิมถึงครึ่งหนึ่ง
เพราะได้รับการสนับสนุนจากแรงเฉื่อยอันทรงพลัง อสูรยูนิคอร์น
ทั้งหมดจึงพุ่งเข้าใส่ทั้ง 3 คนอย่างโหดเหี้ยมดุดัน อสูรยูนิคอร์นตัวหนึ่งที่
อยู่ด้านหน้ามีขนาดใหญ่มาก ขนาดของมันใหญ่กว่าสหายรอบข้าง
อย่างเห็นได้ชัด กระทั่งมนุษย์สัตว์ที่ควบขี่อยู่บนตัวของมันก็มีกล้ามเนื้อ
และรูปร่างที่ดีกว่าคนอื่นๆ แม้โจวเหว่ยชิงและคนที่เหลือจะไม่สามารถ
มองเห็นมณีพลังที่อยู่รอบข้อมือของเขาได้ก็ตาม
โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้น ค้อนคู่ในตํานานที่ส่องแสงระยิบระยับก็
ปรากฏขึ้นในอุ้งมือของเขาพร้อมกับแสงสีทองเหลือบดําจากเกราะ
ป้องกันเทพเจ้า ม้าปีศาจผีเขาเดียวของเขาดูเหมือนจะถูกปลุกปั่ นด้วย
พลังของอสูรฝ่ายตรงข้าม และมันก็เร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหันโดย
ไม่ให้สัญญาณล่วงหน้า นั่นเป็นผลให้โจวเหว่ยชิงหลุดจากขบวนรูป
สามเหลี่ยมและพุ่งนําไปข้างหน้าก่อนใครในทันที
หัวหน้ามนุษย์สัตว์ยูนิคอร์นชี้หอกในมือไปที่โจวเหว่ยชิง ในขณะที่
ทั้งสองกําลังจะปะทะกัน ทันใดนั้นหอกของเขาก็ถูกชักกลับไปครึ่งเมตรดูจากรูปการณ์แล้ว ราวกับว่าเขาต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะกับ
ค้อนสงครามของโจวเหว่ยชิงโดยตรง
ในเวลาเดียวกัน โจวเหว่ยชิงก็ได้ยินฝ่ายนั้นตะโกนอะไรบางอย่าง
ทําให้ทั้งตัวของหัวหน้ามนุษย์สัตว์ยูนิคอร์นรวมถึงพาหนะของเขา
เปล่งแสงสีขาวสว่างไสว ก่อนที่หอกยาวในมือของหัวหน้าทหารยูนิ
คอร์นจะพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าอีกครั้ง
โจวเหว่ยชิงแอบประหลาดใจอยู่ข้างในลึกๆ หัวหน้าทหารยูนิคอร์
นคนนี้มีพรสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างแท้จริง อย่างไรก็
ตาม แม้จะคิดเช่นนั้นในใจ แต่มันก็ไม่อาจขัดขวางโจวเหว่ยชิงจากการ
ตอบโต้ ค้อนหน้าร้องไห้ในมือขวาของเขาพุ่งขึ้นไปในแนวโค้งที่แสน
เรียบง่ายทันทีโดยไม่ได้อาศัยทักษะใดๆ
ในแง่ของการแข่งขันด้านความแข็งแกร่งโดยตรง โจวเหว่ยชิงย่อม
ไม่เคยกลัวผู้ใด แม้จะเป็นการปะทะกับคนที่มีระดับพลังปราณสูงกว่าก็
ตาม ในฐานะผู้สืบทอดชุดในตํานาน ‘ชังพสุธาไร้ที่ยก’ ในวันหนึ่ง เมื่อ
เขาสามารถไขว่คว้าทั้งชุดมาสวมได้ เขาก็จะกลายเป็นบุคคลที่
แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ในแง่ของพลังทาง
กายภาพที่บริสุทธิ์ แม้แต่เจ้าเหนือหัวแห่งภูเขาหิมะสวรรค์ที่อยู่ในระดับ
เทพเจ้าก็จะไม่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้ในเรื่องนั้นในสนามรบ บางครั้งเพียงแค่ความแข็งแกร่งทางกายภาพอัน
บริสุทธิ์ก็มีประสิทธิภาพมากกว่าทักษะต่อสู้เนื่องจากมันรวดเร็วและ
ตรงไปตรงมากว่า
*เคร้งง* เกิดเสียงดังอีกครั้งเนื่องจากยอดฝีมือทั้งสองปะทะกัน
อย่างหนักหน่วง ปรมาจารย์อสูรยูนิคอร์นมีความมั่นใจอย่างเต็มที่
เกี่ยวกับความแข็งแกร่งทางกายภาพของตนเอง แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกได้
ทันทีว่าในอุ้งมือของตนกําลังร้อนขึ้นเนื่องจากมีพลังมหาศาลพุ่งเข้าใส่
หอกที่ถืออยู่อย่างรุนแรง จากนั้นค้อนอีกอันก็ทุบลงมาและฟาดเข้าที่
ศีรษะของอสูรยูนิคอร์นอันเป็นที่รักของเขาอย่างโหดเหี้ยมทารุณ
แม้ว่าค้อนคู่ในตํานานของโจวเหว่ยชิงจะเป็นของปลอมหนึ่งอัน
และของจริงหนึ่งอัน แต่พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันคือความจริงที่ว่ามัน
สามารถสลับสับเปลี่ยนกันได้ตามต้องการของผู้ถือ ตราบใดที่เขาไม่ได้
ฟาดฟันกับทั้งสองชิ้นในเวลาเดียวกัน มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะ
บอกว่าอันไหนเป็นของปลอมและของจริง แม้ว่าศัตรูจะรู้เกี่ยวกับเรื่อง
นี้มาก่อน แต่การอ่านใจเขาก็ไม่ง่ายเช่นกัน
โจวเหว่ยชิงใช้ค้อนฟาดลงไปครั้งแรกเพื่อผลักหอกของศัตรูไป
ด้านข้าง ก่อนจะทุบลงไปที่ศีรษะของอสูรยูนิคอร์นด้วยค้อนอันที่สอง
จากนั้นก็รีบเปลี่ยนสลับเป็นค้อน ‘ของจริง’ ที่มีน�าหนักก่อนจะทําการโจมตีอีกครั้ง แม้ว่าเขาของอสูรยูนิคอร์นจะแข็งแกร่งมาก แต่มันจะ
ต้านทานค้อนอันทรงพลังของโจวเหว่ยชิงได้อย่างไร?
เกิดเสียงดังอันน่าสยดสยองขึ้น และศีรษะของยูนิคอร์นพร้อมกับ
เขาของมันก็ระเบิดออกเหมือนแตงโมที่ถูกระเบิดผ่าแยกออกเป็นซีก
มือของปรมาจารย์อสูรยูนิคอร์นเองก็ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครั้ง
ก่อนหน้าเช่นกัน การตายของอสูรยูนิคอร์นและแรงเฉื่อยทําให้เขาพุ่ง
ไปข้างหน้าอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ด้วยการสะบัดค้อนออกไปอีก
ครั้ง โจวเหว่ยชิงก็สามารถจบชีวิตศัตรูลงด้วยวิธีการที่ง่ายดายอย่างน่า
เหลือเชื่อ
การปะทะกันครั้งนั้นดูเหมือนจะมีกระบวนการซับซ้อนมากมาย
แต่ทั้งหมดก็เกิดขึ้นในพริบตาเดียวในขณะที่ทั้งคู่ควบม้าสวนกัน
ในทางกลับกัน รูปแบบการต่อสู้ของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กลับ
แตกต่างจากของโจวเหว่ยชิงมาก เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ขาของเธอก็
เกี่ยวเข้ากับอานม้าของตนเอง ร่างกายทั้งหมดเอนไปด้านหน้าใน
ขณะที่กรงเล็บศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าปรากฏขึ้นพร้อมกับแสง
เยียบเย็น ปรมาจารย์อสูรยูนิคอร์นที่เธอเผชิญหน้าด้วยมีความสามารถ
ในการต่อสู้ที่ดีทีเดียว แต่น่าเสียดายที่เมื่อเทียบกับหญิงสาวแล้ว
ช่องว่างนั้นกลับมีมากเกินไป ดังนั้นภาพเหตุการณ์ที่เกิดหลังจากกรง
เล็บตวัดออกไปจึงมีเพียงเลือดที่สาดกระเซ็นสําหรับหลินเทียนอ้าว รูปแบบการต่อสู้ของเขานั้นตรงไปตรงมา
ที่สุด ชายหนุ่มใช้ทักษะเกราะหินครอบคลุมทั้งตัวเขาและม้าพร้อมกับ
ชักนําพลังปราณสวรรค์จํานวนมากออกมาผสานกับทักษะ เมื่อเป็น
เช่นนี้ เขาจึงคงควบม้าและใช้ศีรษะของมันกระแทกเข้าใส่คู่ต่อสู้อย่าง
รุนแรงดุดัน ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์อสูรยูนิคอร์นฝ่ายศัตรูหรืออสูรยูนิ
คอร์นของเขา ทั้งสองต่างก็ถูกส่งลงนอนไปที่พื้น กระดูกหักและมีสภาพ
ยับเยิน
พวกเขาทั้ง 3 คน นําโดยโจวเหว่ยชิงขี่ม้าควบไปข้างหน้าพร้อมกับ
ใช้ค้อนของเขา ราวกับว่าสามารถจัดการทหารหมื่นนายได้ด้วยตัวเอง
บริเวณด้านข้างของเด็กหนุ่มได้รับการปกป้องโดยซ่างกวนเฟยเอ๋อร์
และหลินเทียนอ้าวตามลําดับ ทั้งหมดพุ่งไปทางกองพันทหารม้ายูนิ
คอร์นราวกับหอกปลายแหลม
การบุกจู่โจมของกองกําลังทหารม้านั้นรวดเร็วมาก โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังเช่นยูนิคอร์น นอกจากนี้ทั้งหมดยังอยู่ใน
รูปขบวนแถวสามเหลี่ยมที่สมบูรณ์แบบ อนิจจา ขบวนแถวของพวกเขา
กลับถูกทั้ง 3 ชนจนเสียรูปอย่างรวดเร็วและถูกเจาะทะลวงจนแตกพ่าย
ทั้งกองพัน
คนแรกที่ถูกโจวเหว่ยชิงฆ่าคือผู้บัญชาการกองพันของทหารยูนิ
คอร์น แม้ว่ากองทหารยูนิคอร์นจะมีพลังมหาศาล แต่อันดับของพวกเขาในอาณาจักรวั่นโซ่วก็ไม่ได้สูงนัก สาเหตุหลักเป็นเพราะเผ่าของพวก
เขาไม่มีจ้าวมณีสวรรค์ ด้วยเหตุนี้แม้ว่าสัตว์พาหนะและทหารของพวก
เขาจะแข็งแกร่งเหนือกว่ากองทหารหมาป่า แต่อันดับของพวกเขาใน
อาณาจักรวั่นโซ่วก็เทียบไม่ได้กับเผ่ามนุษย์หมาป่า นั่นเป็นเพราะยัง
ขาดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดไป ขณะที่โจวเหว่ยชิงขี่ม้าเข้าไป เขาก็ได้
แหวกทางออกด้วยค้อนที่กวัดแกว่งไปมาและทุบใส่ฝ่ายตรงข้ามราวกับ
เทพปีศาจที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ ผู้ใดก็ตามที่ปะทะกับค้อนของ
เขาจะต้องเสียชีวิตทันทีหรือบาดเจ็บสาหัส ทันที ไม่มีทหารยูนิคอร์น
แม้แต่คนเดียวที่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับเด็กหนุ่มได้ ด้วยเหตุนั้น พวก
เขาทั้ง 3 สามคนจึงได้ก่อถนนเลือดแหวกผ่านกองพันทหารยูนิคอร์น
เพื่อเร่งรุดไปยังสนามรบหลัก
สิ่งที่สําคัญที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการบุกจู่โจมของเหล่าทหารม้า
คือพวกเขาจะพุ่งไปสุดกําลังและไม่สามารถหยุดชะงักได้ในทันที ไม่ว่า
ทหารม้ายูนิคอร์นจะเก่งกาจเพียงใด เนื่องจากมีรูปแบบโจมตีเช่นนั้น
เมื่อใดที่การเคลื่อนที่ของพวกเขาขาดสมดุล นั่นจะสามารถทําให้
ทั้งหมดตกสู่สถานะยุ่งเหยิงได้ ในเวลานั้นเอง การระดมยิงลูกศรครั้ง
ต่อไปจากกองพันไร้พ่ายกองร้อยหลักที่ 1 ก็มาถึงพร้อมกับเสียงกรีด
ร้องหวีดหวิวกลางอากาศ
ทั้ง 2 กองร้อยเคยล้มเหลวก่อนหน้านี้แล้ว แต่ครั้งนี้มีทหารถึง 1
กองพัน นั่นจะยังเพียงพอหรือไม่? นอกจากนี้ การเคลื่อนที่ของพวกเขาก็ยังหยุดชะงักอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ดังนั้นเมื่อระดมยิงครบ 5 ครั้ง และ
ทั้งกองพันจึงถูกกวาดล้างไปอีกรอบอย่างง่ายดาย
ในฐานะที่ยอดฝีมือที่ดีที่สุดของกองพันไร้พ่ายมารวมตัวกัน
กลายเป็นกองร้อยหลักที่ 1 นับตั้งแต่ที่ถูกก่อตั้งขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่พวก
เขาได้แสดงความสามารถในสมรภูมิจริง และพลังที่น่ากลัวของธนู
ศาสตรามณียุทธ์ก็ได้รับการพิสูจน์อีกครั้งอย่างไร้เงื่อนไข
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในสนามรบทําให้ทั้ง 2
กรมทหารจากอาณาจักรวั่นโซ่วต้องเพ่งเล็งความสนใจไปที่อีกฝั่ งทันที
เพราะถึงอย่างไรทหารทั้ง 1 กองพันและ 2 กองร้อยก็ถูกกําจัดด้วยเสียง
แหวกอากาศของลูกศรเท่านั้น และนอกจากยูนิคอร์นไร้เจ้าของเพียง
ไม่กี่ตัวที่วิ่งเตลิดไปทุกทิศทางแล้วก็ไม่มีสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียวที่ยัง
รอดชีวิตอยู่
บาร์เทซ ผู้บัญชาการกรมทหารหมาป่าเถื่อนเป็นน้องชายของบัต
เลอร์ ผู้บัญชาการกรมทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสายฟ้าเทพเจ้า
อสูรมืดของโจวเหว่ยชิง แน่นอนว่าเมื่อเปรียบเทียบกับบัตเลอร์แล้ว
ระดับพลังปราณของเขายังเทียบผู้เป็นพี่ชายไม่ได้ แต่เขาก็ยังโหดเหี้ยม
ดุดันและกล้าหาญพอๆกันเมื่อพบว่าสถานการณ์ในอีกด้านหนึ่งเกิดความผิดปกติ เขาก็นึกถึง
กรมทหารหมาป่าเท้าเร็วของพี่ชายตนเองและความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่
พวกเขาเคยประสบมาก่อนหน้านี้ทันที
หลังบัตเลอร์กลับมาที่เผ่าของพวกเขาเป็นครั้งแรก พี่ชายก็ยังคงมี
สติดีและเล่าถึงความพ่ายแพ้ให้ชาวเผ่าฟังอย่างละเอียด แม้ว่าบาร์เทซ
จะมีนิสัยหยาบกระด้าง ตรงไปตรงมาและไม่ชอบคิดมากในเรื่อง
หยุมหยิม แต่เขาก็มั่นใจว่าตนเองเพิ่งได้พบกับกองพันธนูที่ทําให้กรม
ทหารหมาป่าเท้าเร็วของพี่ชายพ่ายแพ้ไปอย่างย่อยยับ เพราะถึง
อย่างไรพี่ชายของเขาก็ได้พูดถึงการต่อสู้เกิดที่ขึ้นแถวๆบริเวณนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กลับมีทหารเพียง 500 คน แล้วที่เหลืออีก
1,000 คนไปไหน? นั่นเป็นความคิดแรกในใจของบาร์เทซขณะเหงื่อ
เย็นๆไหลอาบลงมาที่แผ่นหลังของเขา ชายหนุ่มจําได้ขึ้นใจว่าพี่ใหญ่
เอ่ยถึงการบุกจู่โจมอันทรงพลังของกรมทหารหมาป่าเท้าเร็วที่ทําให้
พวกเขาทั้งหมดได้รับความสูญเสียไปกว่า 4 ใน 10 ส่วนอย่างไร
“กัมโปรา ทิ้งที่นี่ให้กรมทหารของเราจัดการเถอะ เจ้านํากรมทหาร
ของเจ้าไปจัดการพลธนู 500 คนนั้น อย่าได้ประมาทพวกเขา ใช้
ความสามารถทั้งหมดรวมถึงพรสวรรค์ในการยิงธนูของเจ้า อย่าเพิ่งบุก
เข้าไปประชิดแบบสุ่มสี่สุ่มห้า” บาร์เทซหันไปหาผู้บัญชาการกรมทหาร
ยูนิคอร์นและบอกกับเขาพวกเขาสองคนเฝ้าดูอยู่ที่ด้านข้างสนามรบและไม่ได้เข้าร่วมใน
การต่อสู้ก่อนหน้านี้
“คนเหล่านั้นเป็นใคร? คันธนูและลูกศรที่ทรงพลังเช่นนี้ถึงกับ
สามารถคร่าชีวิตนักรบของข้าได้ในระยะ 500 หลาเลยทีเดียว” ผู้
บัญชาการกรมทหารยูนิคอร์นกัมโปราเองก็โกรธและตกใจมากเช่นกัน
ถึงอย่างไรเผ่ามนุษย์สัตว์ยูนิคอร์นทั้งหมดของพวกเขาก็มีนักรบเพียง 2
กรมเท่านั้น และเมื่อสักครู่ก็ถูกกวาดล้างไปถึง 1 กองพัน เขาจะไม่ปวด
ใจอย่างรุนแรงได้อย่างไร
“ข้าจะรู้ได้เล่าอย่างไรว่าพวกมันเป็นใคร? เร็วเข้าเถอะ พวกมัน
อาจมีธนูและลูกศร แต่ทหารยูนิคอร์นของเจ้าก็ไม่ใช่ว่ามีเหมือนกัน
หรือ? ทุกคนไม่เคยเรียกตัวเองว่านักธนูแต่กําเนิดหรอกหรือ? รีบกําจัด
พวกมันและข้าจะช่วยนําเสนอความดีความชอบของเจ้าให้เหล่าคน
เบื้องบนรับทราบ” บาร์เทซกล่าวอย่างราบเรียบ
แม้ว่าในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวม กรมทหารยูนิคอร์นจะ
แข็งแกร่งกว่ากรมหมาป่าเถื่อน ในแง่การจัดอันดับพลังของแต่ละบุคคล
ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 7 ชุด บาร์เทซจึงอยู่ในอันดับที่สูงกว่ากัม
โปรามาก
มนุษย์สัตว์ทุกคนก้าวร้าวและชอบทําสงคราม กัมโปราจึงไม่ได้ข่าว
เกี่ยวกับกองพันไร้พ่ายจากบัตเลอร์ก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดสงสัยอะไรและส่งเสียงคํารามออกมาในทันที พริบตาเดียวกองทหารยู
นิคอร์นทั้งหมดของเขาก็หมุนตัวกลับและพุ่งเข้าหากองร้อยหลักที่ 1
ของกองพันไร้พ่ายโดยมีกัมโปราเป็นผู้นําในทันที
เหตุผลที่เขากระตือรือร้นที่จะนํากองทหารของตนเองไปก็
เพราะว่าการต่อสู้ด้านนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เผ่าอีกาทองและเผ่าคน
เถื่อนเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดไว้ คนพวกนั้นเป็นมนุษย์
จริงๆหรือ? พวกเขาดูเหมือนมนุษย์สัตว์มากกว่ามนุษย์สัตว์ตัวจริงเสีย
อีก! แต่ละคนมีความแข็งแกร่งและความทนทานอย่างน่าเหลือเชื่อ เห็น
ได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้สวมชุดเกราะใดๆ แต่การโจมตีด้วยหอกก็ยัง
หลงเหลือไว้เพียงรอยเล็บถากๆบนผิวหนังเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
นักรบหญิงที่มีรูปร่างใหญ่โต ความสามารถในการป้องกันของพวกนั้น
น่าตกใจมาก แม้แต่เผ่ามนุษย์หมีก็เทียบไม่ได้ด้วยซ�า หลังจากทั้งสอง
ฝ่ายปะทะกันเป็นเวลานาน ผู้ที่ล้มลงเกลื่อนพื้นนั้นแท้จริงแล้วส่วน
ใหญ่เป็นทหารจากกรมทหารอาณาจักรวั่นโซ่วทั้งสองต่างหาก! สําหรับ
เผ่าอีกาทองและเผ่าคนเถื่อน แม้อาการบาดเจ็บของพวกเขาจะเพิ่มขึ้น
เรื่อยๆ แต่ทั้งหมดก็ยังคงต่อสู้อย่างกล้าหาญ ขับไล่การบุกโจมตีครั้ง
แล้วครั้งเล่าด้วยความอดทนที่ไม่รู้จักจบสิ้น
หากพวกเขาต่อสู้เช่นนี้ต่อไปก็มีความเป็นไปได้ที่สุดท้ายจะลงเอย
ด้วยการที่มนุษย์ทรงพลังเหล่านี้ถูกฆ่าทั้งหมด เพราะถึงอย่างไรพวก
เขาก็นับจํานวนนักสู้ได้แค่ 4,000 คนเท่านั้น และอุปกรณ์ของพวกเขาก็ยังเรียบง่าย ไม่มีชุดเกราะใดๆติดกาย และบางคนก็ยังขาดอาวุธที่
เหมาะสม พวกเขาหลายคนใช้อาวุธที่ร่วงตกพื้นของทหารหมาป่าหรือ
ทหารยูนิคอร์นด้วยซ�า แต่เมื่อการบาดเจ็บของพวกเขาเพิ่มขึ้น ทั้งหมด
ก็ค่อยๆสูญเสียเลือดมากขึ้นเช่นกัน และมีแนวโน้มว่าพวกเขาอาจจะ
เสียชีวิตด้วยความอ่อนเพลียหรือบาดเจ็บในที่สุด อย่างไรก็ตาม กว่าจะ
ถึงเวลานั้น มันก็จะกลายเป็นความสูญเสียอันหนักหน่วงสําหรับทั้ง 2
กรมทหาร เนื่องจากจนถึงตอนนี้พวกเขาสูญเสียไปเกือบ 2 กองพันแล้ว
และใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากยุติการต่อสู้ พวกเขาจะเหลือ
ทหารกลับไปเท่าใด ก่อนหน้านี้ทั้งบาร์เทซและกัมโปราได้แต่สงสัยว่า
ตั้งแต่เมื่อไรที่มนุษย์แข็งแกร่งและยากที่จะรับมือขนาดนี้
บาร์เทซได้ขอให้กัมโปราจัดการกับกองพันไร้พ่าย และเขาก็มี
ความสุขที่จะจัดการฝั่ งนี้มากกว่า ในเวลาเดียวกัน บาร์เทซก็ไม่ได้ยืนอยู่
เฉยๆ เขาพุ่งต่อไปข้างหน้าโดยมีผู้บัญชาการกองพันทั้ง 4 ควบอสูร
หมาป่าอยู่เคียงข้างเขา
หลังจากฝ่ายโจวเหว่ยชิงทั้ง 3 คนได้บุกทะลวงผ่านขบวนแถวกอง
พันศัตรูก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เข้ามาอยู่ในใจกลางสนามรบแล้ว ค้อนคู่
ในตํานานของเด็กหนุ่มน่าหวาดกลัวเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งทาง
กายภาพเพียงอย่างเดียว ทุกที่ที่เขาไปจึงเกิดชิ้นส่วนเปื้ อนเลือด
กระจายไปทั่ว โจวเหว่ยชิงไม่จําเป็นต้องใช้พลังปราณสวรรค์ด้วยซ�า
และสิ่งเดียวที่จําเป็นคือพลังปราณสวรรค์ที่ใช้รักษาสภาพของค้อนคู่ในตํานาน รวมถึงพละกําลังที่ต้องใช้เหวี่ยงค้อนออกไป ในความเป็นจริง
ความเร็วในการฟื้ นตัวของวิชาเทพอมตะของเขาเร็วกว่าพลังปราณที่
ถูกใช้ไปด้วยซ�า! เพราะหลังจากมาถึงระดับมณี 5 ชุด เขาก็ได้ทําลายจุด
ตายที่ 20 แล้ว
พลังของมนุษย์สัตว์และความได้เปรียบของฝ่ายนั้นมีผลต่อทหาร
มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น เมื่อเทียบกับจ้าวมณีสวรรค์เช่นทั้ง 3 คน มนุษย์
สัตว์ธรรมดาย่อมจะต้องพบกับจุดจบ เว้นเสียแต่พวกเขาจะใช้ความ
ได้เปรียบด้านจํานวนและเสียสละตัวเองเพื่อโค่นล้มจ้าวมณีสวรรค์
มิฉะนั้นพวกเขาก็ไม่อาจกลายเป็นภัยต่อยอดฝีมือเช่นนี้ได้ โดย
ธรรมชาติแล้วบาร์เทซย่อมไม่ยืนอยู่ที่นั่นเฉยๆและเฝ้าดูชนเผ่าของเขา
ถูกฆ่าตาย ชายหนุ่มจึงรวบรวมทหารฝีมือดีใต้บังคับบัญชาและพุ่งตัว
ออกไปในทันที
……………………………………….