Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 159 องค์ชายสิงโต! (1)
ครั้งแรกที่เขาเลือกทักษะเทพนรก โจวเหว่ยชิงมีเพียงจุดประสงค์
เดียวนั่นก็คือการเพิ่มขีดความสามารถในการโจมตีของเขาในสนามรบ
โดยปกติทักษะโจมตีผลกระทบวงกว้างย่อมเทียบทักษะโจมตีเป้าหมาย
เดี่ยวในระดับเดียวกันไม่ได้ ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าทักษะนี้ไม่ได้มีดีแค่ให้
ผลกระทบวงกว้างเท่านั้น แม้แต่พลังโจมตีที่แท้จริงของมันก็ยังน่า
เหลือเชื่อ ทักษะเทพนรกไม่เพียงทําลายขบวนดาบของกองทหารหมา
ป่าเท่านั้น แต่ยังปลิดชีวิตพวกเขาทิ้งได้จํานวนมาก เมื่อเห็นแสงสีม่วง
เข้มค่อยๆสลายไป ร่างลวงตาอีกหนึ่งร่างก็เริ่มปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ
ของโจวเหว่ยชิงแทนที่แสงก่อนหน้า คราวนี้มันเป็นสีแดงอมม่วง ร่าง
ปีศาจมังกรสาวปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่าและทรงพลังยิ่ง
กว่าเดิม
ไม่จําเป็นต้องมีใครออกคําสั่ง กองทหารหมาป่าต่างก็เผ่นหนี
กระจัดกระจายกันไปอย่างบ้าคลั่งคนละทิศทาง ใครจะไปรู้ว่าอีกเดี๋ยว
จะมีทักษะบ้าๆอะไรตามมาอีกบ้าง!
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์และหลินเทียนอ้าวรีบพุ่งกลับไปหาโจวเหว่ยชิงที่
เฝ้ามองดูศัตรูกําลังถอยร่นออกไปพร้อมกับภาพทักษะสวรรค์ของปีศาจมังกรสาวที่อยู่เหนือศีรษะของเขา หลังจากรวมกลุ่มกันใหม่แล้ว
พวกเขาก็มุ่งหน้าไปหาเผ่าอีกาทองและเผ่าคนเถื่อนทันที
น่าเสียดาย นักรบมนุษย์หมาป่าจะรู้ได้อย่างไรว่าภาพทักษะสวรรค์
ที่ 2 เป็นเพียงกลอุบายที่มีจุดประสงค์เพื่อทําให้พวกเขาหวาดกลัว
เท่านั้น… ทักษะผนึกมังกรเงียบเป็นทักษะที่ทรงพลังอย่างแท้จริง แต่
มันก็ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงกับทหารธรรมดาเช่นพวกเขา นับประสา
อะไรกับคนจํานวนมากมายขนาดนี้ มีเพียงจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลัง
เท่านั้นที่จะหวาดกลัวทักษะดังกล่าว แต่ก็แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะ
ทักษะเทพนรกก่อนหน้านี้ การขู่ด้วยภาพทักษะสวรรค์เช่นนี้คงไม่
สําเร็จง่ายๆ ทั้งยังมีประสิทธิภาพมากอีกด้วย ในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึง
แนวป้องกันของทั้งสองเผ่าจนได้
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เมื่อกองพันไร้พ่ายมาถึง เผ่าอีกาทองคําและ
เผ่าคนเถื่อนย่อมสังเกตเห็นได้ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกรมทหารยู
นิคอร์นเคลื่อนพลออกไปเพื่อโจมตีกองพันไร้พ่าย แรงกดดันที่พวกเขา
กําลังเผชิญจึงลดน้อยลงไปมาก โดยธรรมชาติแล้วพวกเขายังได้เห็น
แสงสีม่วงเข้มของทักษะเทพนรกอย่างชัดเจน รวมถึงผลลัพธ์ที่เกิด
ขึ้นกับกรมทหารหมาป่าด้วย ตอนนี้ศัตรูกําลังล่าถอยออกไป เผ่าที่ทรง
พลังทั้งสองจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกทั้งหมดถูกโอบล้อมและโจมตีมานานร่วม 2 ชั่วโมง แม้ว่าพวกเขา
จะสร้างปัญหาให้กับกรมทหารหมาป่าและกรมทหารยูนิคอร์นได้ไม่
น้อย แต่ทั้งสองเผ่าก็ยังได้รับบาดเจ็บกันถ้วนทั่ว เพราะถึงอย่างไรพวก
เขาก็ขาดแคลนทั้งชุดเกราะและอาวุธอย่างหนัก ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะ
แข็งแกร่งแค่ไหน ทั้งหมดก็ไม่อาจเอาตัวรอดจากการบุกโจมตีต่อเนื่อง
ของกรมทหารที่ทรงพลังได้ตลอดไป และหลายคนก็ได้รับบาดเจ็บ
สาหัสกันบ้างแล้ว หากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของกองพันไร้พ่ายใน
เวลาที่เหมาะสม บางทีอาการบาดเจ็บของพวกเขาอาจหนักขึ้นจนถึง
จุดที่ยากจะแก้ไข เมื่อถึงเวลานั้น ทั้งหมดอาจตกอยู่ในอันตรายจากการ
ถูกกวาดล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะทําให้ทั้ง 2 กรมทหารจาก
อาณาจักรวั่นโซ่วสูญเสียกําลังพลไปมากเท่าไหร่ก็ตาม
เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้กันมากขึ้น โจวเหว่ยชิงก็มองเห็นได้ทันทีว่า
ชนเผ่าทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บอย่างไร ทั้ง 2 เผ่าค่อนข้างจะแยกความ
แตกต่างได้ง่าย โดยเผ่าอีกาทองจะมีผู้หญิงมากกว่าและมีผู้ชายน้อย
มาก สําหรับเผ่าคนเถื่อน พวกเขามีการผสมผสานของทั้งสองเพศอย่าง
ลงตัว โดยที่ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะเปลือยกายถืออาวุธทุกประเภท
บาดแผลและอาการบาดเจ็บต่างๆสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนบน
ร่างกายของพวกเขา และด้านหน้าแนวป้องกันของทั้งสองเผ่าก็มีศพ
ทหารอาณาจักรวั่นโซ่วกองอยู่เป็นจํานวนมหาศาล
แข็งแกร่งมาก…มองผิวเผินโจวเหว่ยชิงรู้ว่าตนเองมีรูปร่างกํายําและกล้ามเนื้อ
บึกบึนเหมือนพวกเขา แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เด็กหนุ่มกลับพบว่า
ตัวเองไม่อาจเทียบฝ่ายนั้นได้เลย มองผ่านๆเพียงครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่พบ
ใครที่สูงน้อยกว่า 2 เมตรเลยด้วยซ�า พวกเขาทุกคนมีกล้ามเนื้อปูดโปน
ออกมาจนดูไม่เหมือนมนุษย์ โดยมีบางส่วนที่ร่างกายใหญ่มหึมาเหมือน
ภูเขาตระหง่าน สูงอย่างน้อย 2.5 เมตร ไหล่กว้างและหนาราวกับ
กําแพงเมือง
“หัวหน้า!” น�าเสียงตื่นเต้นของหม่าฉุนดังขึ้น และในช่วงเวลา
ต่อมา เขาก็กระโจนเข้าหาโจวเหว่ยชิงพร้อมกับโล่ประสานศาสตรามณี
ยุทธ์ขนาดใหญ่และสวมกอดเขาราวกับหมียักษ์ตัวโต ตอนนี้ร่างกาย
ของหม่าฉุนถูกปกคลุมไปด้วยเลือด และชายหนุ่มก็ทําราวกับว่าได้พบ
ญาติสนิทอีกครั้งเมื่อเห็นโจวเหว่ยชิง
นับตั้งแต่พวกเขามาถึงสถานที่แห่งนี้และถูกล้อมโจมตี ดวงตาของ
อู่หยาและหม่าฉุนก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก�า พวกเขาตกอยู่ภายใต้แรง
กดดันจากการโน้มน้าวชนเผ่าให้อพยพและเคลื่อนย้ายมาที่นี่ ดังนั้น
เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น พวกเขาจึงสามารถสัมผัสถึงสายตาของคนทั้งเผ่าที่มอง
พวกเขาได้อย่างชัดเจน ถึงอย่างไรทั้งคู่ก็ต้องรับผิดชอบที่นําพาชนเผ่า
มาที่นี่ ทว่าเมื่อมาถึง พวกเขากลับต้องต้อนรับศัตรูที่ทรงพลังทันที
นับประสาอะไรกับการทําลายล้างทั้งเผ่าของพวกเขา แม้กระทั่งสมาชิกในเผ่าถูกสังหารเพียงคนเดียว พวกเขาก็จะกลายเป็นคนบาปหนาที่สุด
ของเผ่าแล้ว
เมื่อถูกสวมกอดโดยหม่าฉุน โจวเหว่ยชิงก็สามารถสัมผัสได้อย่าง
ชัดเจนว่าพี่ชายคนนี้ของเขากําลังสั่นสะท้าน สหายที่มีรูปร่างกํายําล�า
สันใหญ่โต แต่ในเวลานี้เขากลับทําตัวอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะ
หมดเรี่ยวแรงจากการต่อสู้อันยาวนาน
“พี่ชายไม่ต้องกังวลไป กําลังเสริมของเราจะมาถึงเร็วๆนี้ ข้าจะนํา
เผ่าของท่านไปยังค่ายใหม่ของเราอย่างปลอดภัย” ไม่มีเวลาสําหรับ
คําอธิบายที่ยืดยาวและน�าเสียงที่หนักแน่นแน่วแน่ของโจวเหว่ยชิงก็ทํา
ให้หม่าฉุนมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
ในขณะนี้ เนื่องจากกองทหารหมาป่าตกใจกลัวทักษะที่น่า
หวาดหวั่นของโจวเหว่ยชิง บาร์เทซจึงสั่งให้ถอยชั่วคราวและจัดแถว
ใหม่ โดยเปลี่ยนรูปแบบขบวนไปเป็นรูปแบบอื่น ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้ก็
ทําให้เผ่าอีกาทองและเผ่าคนเถื่อนมีโอกาสได้หยุดพัก
ร่างมหึมา 2 ร่างหลุดออกมาจากฝูงชนและเดินตรงมาหาพวกเขา
ทั้งคู่เต็มไปด้วยเลือดท่วมตัว คนที่มาพร้อมกับทั้ง 2 คนคืออู่หยาที่ถือ
ขวานอีกาทองในตํานานขนาดใหญ่
โจวเหว่ยชิงและหม่าฉุนหยุดกอดกันและออกไปรับพวกเขา2 คนที่มากับอู่หยาเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายคนนี้ตัวใหญ่และสูง
มาก ถึงขนาดที่โจวเหว่ยชิงก็ต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะได้มองเห็น
รูปลักษณ์ของเขาให้ชัดๆ…คนๆนี้สูงกว่าข้าอย่างน้อย 1 เมตร! นั่นเป็น
ความคิดแรกของโจวเหว่ยชิงเมื่อมองไปที่ชายเบื้องหน้า เมื่อมองเข้าไป
ใกล้ๆ เขาก็ได้เห็นว่าชายร่างใหญ่คนนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับหม่าฉุน
และในอุ้งมือขนาดใหญ่ของเขาก็มีค้อนขนาดมหึมาอยู่ในแต่ละข้าง
ขนาดใหญ่กว่าค้อนคู่ในตํานานของโจวเหว่ยชิงเสียอีก หน้าอกกว้างที่
เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขามีบาดแผลเล็กๆมากมาย และร่างกายของ
ชายคนนี้ก็เปียกชุ่มไปด้วยเลือด ถึงกระนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าเลือดส่วน
ใหญ่มาจากศัตรูของเขา
สําหรับฝั่ งผู้หญิง คนๆนี้สูงกว่าอู่หยาด้วยซ�า ศีรษะตัดสั้น ถือขวาน
สงครามขนาดใหญ่ในมือคู่หนึ่ง ขณะที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาหาพวกเขา
มันก็สะท้อนให้เห็นภาพของกลุ่มนักรบที่ดูน่ากลัวและองอาจกล้าหาญ
“หัวหน้า ข้าจะแนะนําให้รู้จัก นี่คือพ่อของข้า หัวหน้าเผ่าคนเถื่อน
ของเรา” หม่าฉุนกล่าวอย่างรวดเร็ว
โจวเหว่ยชิงก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและยื่นมือไปหาชายร่าง
ใหญ่
พ่อของหม่าฉุนจับค้อนใหญ่ทั้งสองด้วยมือเดียวก่อนจะยื่นมือ
เปล่าไปจับกับโจวเหว่ยชิง “ข้าชื่อหม่าหลง” เสียงของเขาดังชัด ทุ้มกังวานและแข็งกระด้าง ชายผู้นี้เอ่ยเพียงไม่กี่คํา แต่หูของโจวเหว่ยชิงก็
แทบจะระเบิดอยู่ข้างใน
“ท่านลุงหม่า ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าขอโทษที่เรามาช้า พวกเราไม่
คาดคิดมาก่อนว่าการมาถึงของท่านจะตรงกับการบุกโจมตีของ
อาณาจักรวั่นโซ่วพอดี” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย
มือของโจวเหว่ยชิงไม่ถือว่าเล็ก แต่เมื่ออยู่ในมือขนาดใหญ่ของ
หม่าหลง มันก็ราวกับว่าถูกห่อหุ้มไว้ได้ทั้งหมด คล้ายมือของเด็กกับ
ผู้ใหญ่
โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ถึงพลังสายหนึ่งที่แฝงมาพร้อมแรงบีบกระชับ
อุ้งมือ อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเด็กหนุ่มกลับไม่ได้แสดงอาการอะไร
ออกไป เขาทําเพียงส่งแรงกลับไปเช่นกัน ไม่ได้พยายามจะข่มคืน แต่
เพียงแค่รักษาสมดุลไม่ให้แรงของฝ่ายตรงข้ามเหนือไปกว่าเขาได้
หม่าหลงยังคงเพิ่มแรงกดดันอย่างช้าๆ สายตาของเขายังคงจับ
จ้องไปที่โจวเหว่ยชิงแม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยอะไรก็ตาม
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ใบหน้าของหม่าหลงก็ปรากฏแววประหลาดใจ
อย่างช้าๆ เขารู้สึกราวกับว่ามือของโจวเหว่ยชิงเป็นก้อนหินแข็งๆ ไม่ว่า
เขาจะใช้กําลังมากเพียงใด โจวเหว่ยชิงก็จะตอบสนองด้วยความ
แข็งแกร่งที่เท่าเทียมกัน ในตอนนี้เขาใช้กําลังไปแล้ว 7 ใน 10 ส่วน แต่เมื่อมองไปที่โจวเหว่ยชิง เขากลับกําลังยิ้มด้วยความจริงใจ ไม่มีอาการ
สะดุ้งสะเทือนหรือแสดงความอ่อนแอใดๆออกมาเลย
“ดีมาก ไม่น่าแปลกใจที่หม่าฉุนตัวน้อยนั่นยกย่องเจ้ามากขนาด
นั้น ความแข็งแกร่งของเจ้าช่างน่าประทับใจจริงๆ”ในที่สุดหม่าหลงก็
ปล่อยมือของเขา มองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างชอบอกชอบใจขณะที่เขา
พยักหน้าให้ตนเอง
“ให้ข้าลองดูบ้าง” นักรบหญิงวัยกลางคนที่มาพร้อมกับอู่หยาส่ง
ขวานให้อู่หยาถือก่อนจะก้าวไปหยุดด้านหน้าโจวเหว่ยชิง หญิงสาวเป็น
คนตรงไปตรงมาและไม่ได้ปกปิดความจริงที่ว่าเธอกําลังจะทดสอบโจว
เหว่ยชิงแม้แต่น้อย
อู่หยารีบพูดอย่างรวดเร็ว “เหว่ยชิง นี่คือแม่ของข้า”
นักรบหญิงวัยกลางคนเถรตรงกว่าอีกคนมาก เธอเอ่ยว่า “ข้าชื่อหง
หยู เรียกข้าว่าป้าหงหยูก็ได้ อู่หยาบอกว่าพลังของเจ้ายิ่งใหญ่กว่านาง
ขอข้าขอดูด้วยตัวเองหน่อยสิ”
ขณะพูดเช่นนั้น เธอก็ยื่นมือที่ไม่เล็กไปกว่าของหม่าหลงออกมา
โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆและพูดว่า “ท่านป้าได้โปรดช่วยชี้แนะข้า
ด้วย” ในขณะที่เอ่ย โจวเหว่ยชิงก็ยื่นมือออกไปโดยไม่กระพริบตาพวกเขากําลังจะทดสอบความแข็งแกร่งทางกายภาพที่แท้จริง
เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ได้ปลดปล่อยมณีพลังออกมา
หงหยูไม่เหมือนหม่าหลง ทันทีที่ฝ่ามือทั้งสองสัมผัสกัน โจวเหว่ย
ชิงก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีพลังหลั่งไหลออกมาจากฝ่ามือของเธอ สีหน้าของ
เด็กหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขาไม่กล้าที่จะประมาท โจวเหว่ยชิงตั้ง
สมาธิอย่างเต็มที่ ทันใดนั้น พลังสายหนึ่งก็พุ่งมาจากส่วนลึกใต้ผิวหนัง
ของทั้งสอง และฝ่ามือที่จับกันอยู่ของพวกเขาก็ซีดลงเพราะความ
แข็งแกร่งที่แต่ละฝ่ายต้องเผชิญ
“เอาล่ะ เอาล่ะ…หงหยู เจ้าคิดว่าความแข็งแกร่งของเจ้ายิ่งใหญ่ไป
กว่าข้าหรือ?” หม่าหลงกล่าวอย่างโกรธเคือง ชายหนุ่มวางค้อนใหญ่ใน
มือซ้ายของเขาลงบนฝ่ามือที่กําลังจับกันแนบแน่น จากนั้นโจวเหว่ยชิง
และหงหยูก็ปล่อยมือออกพร้อมกัน
หงหยูมองไปที่หม่าหลงและพูดว่า “อะไรนะ? เจ้าไม่เต็มใจยอมรับ
หรือ? แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของเจ้าเทียบไม่ได้กับของข้าอยู่แล้ว
ถ้าเจ้ากล้าก็อย่าเข้าสู่สถานะคลั่งของเจ้าสิ พวกเราถึงจะแข่งความ
แข็งแกร่งทางกายภาพอย่างแท้จริงได้ เอาเช่นนั้นเป็นอย่างไร?”
หม่าหลงพูดด้วยความโกรธ “หึ ถ้าเจ้ามีความสามารถก็จงลด
น�าหนักของตัวเองให้อยู่ในระดับเดียวกับมนุษย์ปกติสิ!”ริมฝีปากของโจวเหว่ยชิงบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดในขณะที่หัวใจ
ของเขากระตุกเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะไม่ลงรอยกันเท่าไหร่นัก
ที่ด้านข้าง ทันใดนั้นอู่หยาก็หัวเราะคิกคักก่อนจะพูดว่า “เหว่ยชิง
อย่าไปถือสาพวกเขาเลย แม่ของข้ากับลุงหม่าคุ้นเคยกับการโต้เถียงกัน
ตลอดเวลาเช่นนี้แหละ ความจริงพวกเขาเป็นสหายที่ดีต่อกันมาก”
หม่าหลงเหลือบมองอู่หยาและพูดด้วยความโกรธ “ในอดีต ถ้าไม่ใช่
เพราะพ่อของเจ้าแย่งชิงความรักของข้าไป เจ้าก็คงจะไม่ได้เป็น
ลูกสะใภ้ของข้า แต่เป็นลูกสาวของข้าแทน!”
หงหยูตอบอย่างโกรธเคือง “เจ้าคนโง่เง่า อย่างกับว่าข้าจะตกหลุม
รักเจ้าได้อย่างนั้นแหละ หยุดฝันกลางวันเสีย ทําตัวให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นข้า
จะรายงานเรื่องนี้ให้พี่สะใภ้ทราบ”
สิ่งที่ทําให้โจวเหว่ยชิงประหลาดใจก็คือเมื่อนักรบที่บ้าดีเดือดและ
ตัวใหญ่ยักษ์อย่างหม่าหลงได้ยินคําพูดของหงหยู เขาก็หันหน้าหนีด้วย
ความรู้สึกผิด เสียงของเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัดขณะที่เอ่ยว่า “ฮึ่ม ใคร
จะรู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ เจ้าตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ แต่กลับไปตกหลุมรัก
ผู้ชายตัวเล็กๆแบบนั้นได้”
หงหยูพูดอย่างเกรี้ยวกราด “หุบปากของเจ้าซะ! ถ้าเจ้ากล้าพูดถึง
เขาอีก อย่าคิดว่าข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้า” โจวเหว่ยชิงจึงต้องรีบโดดเข้าไป
แทรกแซงในเวลาเช่นนี้ทันที ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังไม่ได้ปลอดภัยเต็มร้อย และใครจะรู้ว่าอาณาจักรวั่นโซ่วจะส่งกําลังเสริมมาด้วยหรือไม่
“หัวหน้าเผ่าทั้งสองท่าน เรายังไม่รอดพ้นจากอันตราย ควรรีบออกไป
ก่อนค่อยสนทนากันต่อ”
หม่าหลงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ทหารหมาป่าพวกนั้น…พวกเขายัง
มีอีกอย่างน้อย 7-8 กองพัน เราจะจากไปแบบนี้ได้อย่างไร?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “พวกท่านทุกคนรีบถอยหนีและปกป้อง
ตนเองก่อนเถอะ ข้าจะให้คนของข้าช่วยคุ้มกันเผ่าของพวกท่าน
หลบหนี”
“คนของเจ้า?” ทั้งหม่าหลงและหงหยูต่างรู้สึกงงงวยเล็กน้อย และ
พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองออกไปในระยะไกลๆ
ไม่ว่าจะเป็นทั้งสองเผ่าหรือกรมทหารหมาป่า พวกเขาต่างก็
สามารถมองเห็นกรมทหารยูนิคอร์นกําลังล้อมโจมตีกองพันไร้พ่าย
ขนาดเล็กได้ในระยะไกลๆ
……………………………………