Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 159 องค์ชายสิงโต! (2)
พวกเขาเคยมีประสบการณ์ถูกกรมทหารม้ายูนิคอร์นบุกจู่โจมด้วย
ตัวเอง และเมื่อเทียบกับกรมทหารหมาป่าแล้ว สําหรับพวกเขา กรม
ทหารยูนิคอร์นเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่กว่า ไม่ว่าจะเป็นเผ่าอีกาทอง
หรือเผ่าคนเถื่อน บาดแผลส่วนใหญ่ล้วนมาจากทหารยูนิคอร์นทั้งนั้น
หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าพวกเขาได้ย้ายออกไปโจมตีกองร้อยหลัก
ที่ 1 แห่งกองพันไร้พ่าย บางทีแนวป้องกันของพวกเขาอาจพังทลายไป
ก่อนหน้านี้แล้ว
แน่นอนว่าในขณะที่พวกเขาถูกล้อมและต่อสู้พัวพันกันอยู่ใน
ขณะนั้น ทั้งสองเผ่าก็ไม่ได้ตรวจสอบกําลังเสริมของโจวเหว่ยชิงอย่าง
ใกล้ชิดว่ามีจํานวนเท่าใด อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้พวกเขาสามารถเห็น
ได้อย่างชัดเจนว่ากองทหารยูนิคอร์นกําลังโอบล้อมกองพันไร้พ่าย และ
วงล้อมก็มีขนาดค่อนข้างเล็ก เห็นได้ชัดว่าจํานวนกําลังเสริมมีไม่มาก
นัก…บางทีพวกเขาอาจจะหนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้องถูกกวาดล้างของ
ตัวเองด้วยซ�า…เช่นนั้นจะช่วยคุ้มกันทางหนีได้อย่างไร?
โดยธรรมชาติแล้วโจวเหว่ยชิงย่อมสามารถคาดเดาได้ว่าหัวหน้า
เผ่าทั้งสองกําลังคิดอะไรอยู่ และเขาก็หันไปส่งสัญญาณให้ซ่างกวนเฟย
เอ๋อร์ด้วยสายตาซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พยักหน้าและหยิบแตรออกมาจากแหวนมิติของ
เธอก่อนจะเป่ามันอย่างแรง
เสียงแตรนั้นเบาบางทว่าแหลมกรีดหู บนที่ราบที่ว่างเปล่ากว้าง
ใหญ่เช่นนี้ เสียงจึงเดินทางไปได้ไกลลิบ สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาทําให้ทั้งหม่า
หลงและหงหยูอ้าปากค้างพลางจ้องมองด้วยสายตาอัศจรรย์ใจ
ในระยะไกลๆ บริเวณที่กองทหารยูนิคอร์นรวมตัวกันอยู่มีร่าง
ทหารหลายร้อยนายกางปีกขึ้นในอากาศและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในที่สุดกองร้อยหลักที่ 1 แห่งกองพันไร้พ่าย กองกําลังอากาศไร้
พ่ายก็กําลังโผขึ้นสู่ท้องฟ้า! ปีกศาสตรามณียุทธ์กระพือขึ้นลงในอากาศ
พาพวกเขาลอยขึ้นไปหลายร้อยเมตรอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้ เนื่องจากถูกขังอยู่ในทางตัน กรมทหารยูนิคอร์นจึงถูก
ปราบจนลดลงเหลือ 6 ใน 10 ส่วนของจํานวนเดิม เนื่องจากการต่อสู้กับ
ทั้งสองเผ่าก่อนหน้านี้ เมื่อรวมกับความสูญเสียจากธนูศาสตรามณียุทธ์
ตามด้วยการต่อสู้ระยะประชิดกับทหารระดับสูงของกองพันไร้พ่าย
จํานวนคนตายของพวกเขาจึงเพิ่มสูงมาก
ในขณะที่กองกําลังอากาศไร้พ่ายลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขาก็
ฉวยโอกาสพุ่งหอกที่พาดอยู่ด้านหลังลงไปด้านล่างอย่างโหดเหี้ยม
สร้างเส้นทางโชกเลือดผ่านร่างทหารยูนิคอร์นเทพธนูทั้ง 7 แห่งหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ไม่มีปีกศาสตรามณียุทธ์
และพวกเขาก็ฉวยโอกาสนี้พุ่งแหวกออกมาเป็นอิสระจากวงล้อม พวก
เขาทั้งหมดมีม้าปีศาจผีที่สามารถใช้ความเร็วและพลังป้องกันพุ่งแทรก
ผ่านช่องโหว่ของกรมทหารยูนิคอร์นออกมาอย่างกล้าหาญในขณะที่
หอกชุดที่ 2 กําลังพุ่งลงมาจากด้านบน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป แม้จะไม่ใช่หอกทุกอันที่สามารถ
โค่นศัตรูได้ แต่ด้วยการขว้าง 2 รอบ ทหารยูนิคอร์นอย่างน้อย 600 คน
จึงต้องจบเสียชีวิตลงทันที
กัมโปราไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
แม้ว่าพวกเขาจะเพลี่ยงพล�ามาเป็นเวลานานและพบกับความสูญเสีย
มากมาย แต่ม้าศึกที่กองพันไร้พ่ายใช้เป็นโล่ส่วนใหญ่ก็ตายไปแล้ว ใน
สายตาของกัมโปรา พวกเขากําลังจะเอาชนะคู่ต่อสู้ผู้ซึ่งจัดการได้
ยากลําบากเหล่านี้สําเร็จแล้ว แม้ว่าแต่เดิมจะสูญเสียทหารไปมากมาย
แต่เขาก็ทําได้แค่กัดฟันอดทนและเดินหน้าต่อไป มิฉะนั้นหากเขาปล่อย
ศัตรูที่ทรงพลังเหล่านี้หลุดรอดไปได้ ธนูและลูกศรอันทรงพลังของฝ่าย
นั้นก็จะต้องก่อปัญหาและเพิ่มจํานวนผู้เสียชีวิตให้ฝ่ายพวกเขาอย่าง
แน่นอน นี่ยังไม่ได้เอ่ยถึงสงครามในอนาคตด้วยซ�า กระนั้น ใครจะนึก
ออกว่าจู่ๆศัตรูจะโผบินขึ้นและทะยานสู่ท้องฟ้า หลุดลอยออกไปพ้นมือ
พวกเขาได้ “ถอย!” กัมโปราสั่งให้กองทหารส่วนที่เหลือทั้งหมดถอยกลับ
ด้วยความเร็วสูงสุดอย่างไม่ลังเลกองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง แต่วิธีจัดอันดับ
ในกองทัพของพวกเขานั้นแตกต่างจากศูนย์บัญชาการของอาณาจักร
มนุษย์มาก อํานาจของกองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วยังคงยึดติดอยู่กับชน
เผ่าของตน หรืออาจพูดได้ว่าขึ้นอยู่กับความสามารถของนักรบชั้นสูงใน
เผ่า หากกองทัพของเผ่าใดเผ่าหนึ่งไม่ก้าวหน้าและไม่สามารถรั้ง
ตําแหน่งเดิมเอาไว้ได้ก็อาจทําให้ทั้งเผ่าตกต�าลงไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่ากองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วจะทรงพลัง ดุดัน
เหี้ยมโหด และเก่งกาจในการปะทะกันโดยตรง แต่ถ้าหากจํานวน
ผู้เสียชีวิตมีมากเกินไป พวกเขาก็จะไม่ยอมต่อสู้จนตายอย่างแน่นอน
นั่นไม่ใช่เพราะความขี้ขลาด แต่เป็นเพราะพวกเขาต้องการรักษา
อํานาจของเผ่าตนเอาไว้
ก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงและกองพันไร้พ่ายได้พบกับกรมทหารหมา
ป่าเท้าเร็วและมันก็เป็นเช่นนั้น คราวนี้กรมทหารยูนิคอร์นก็ย่อมต้องลง
มือตามความเหมาะสมเช่นกัน เมื่อเห็นว่าความสูญเสียของพวกเขามี
มากเกินไป และศัตรูก็ทะยานขึ้นไปในอากาศจนไกลเกินเอื้อม กัมโปรา
จึงตัดสินใจทันทีว่าจะไม่มีประโยชน์ที่จะสูญเสียกําลังพลไปมากกว่านี้
นั่นเป็นผลให้เขาออกคําสั่งให้ถอยทันที… อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องออก
จากสนามรบให้ได้ก่อนที่จะตัดสินใจอย่างอื่นต่อไป มิฉะนั้น ใครจะรู้ว่า
พลธนูกลุ่มเล็กๆนี้ ด้วยชุดเกราะที่แข็งแกร่งจนน่าขยะแขยงของพวก
เขา ทั้งหมดจะสามารถนําความเสียหายแบบไหนมาสู่ฝั่ งตนเองได้หลังจากทําสงครามกับอาณาจักรจ้งเทียนมาหลายครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่
เขาได้พบกับ ‘อาหาร’ ที่เคี้ยวยากขนาดนี้
ดังคํากล่าวที่ว่า ‘กองทัพถูกตีแตกก็เหมือนดินถล่มเป็นทอดๆ’ เมื่อ
เห็นว่ากรมทหารยูนิคอร์นกําลังจะล่าถอย บาร์เทซที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ไม่
ลังเลที่จะออกคําสั่งเดียวกัน
ความจริงแล้วตอนนี้บาร์เทซค่อนข้างหวาดกลัว เขาไม่ต้องการ
เดินตามรอยพี่ชายของตนเอง และพลังที่โจวเหว่ยชิงแสดงออกมาก็ทํา
ให้เขากริ่งเกรง หากตอบตามความจริง บาร์เทซก็รู้ว่าเขาสู้เด็กหนุ่มคน
นั้นไม่ได้ ชายหนุ่มอาจดูหยาบกระด้างและตรงไปตรงมา แต่กว่าจะมา
เป็นผู้บัญชาการกรมทหารได้ เขาก็ต้องมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดอยู่ก่อน
แล้วแน่นอน บาร์เทซสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้โจวเหว่ย
ชิงอยู่ในระดับมณี 5 ชุดแล้ว ทว่าตอนที่พี่ชายของเขากล่าวถึงการ
เผชิญหน้ากันครานั้น เด็กหนุ่มยังอยู่ในระดับมณี 4 ชุดเท่านั้น!
เนื่องจากยืนยันได้แล้วว่าโจวเหว่ยชิงคือคนที่เผชิญหน้ากับพี่ชายของ
เขา ชายหนุ่มจึงมั่นใจว่าฝ่ายศัตรูได้เติบโตขึ้นมากนับตั้งแต่นั้นเป็นต้น
มา นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของบาร์เทซยังเทียบพี่ชายของเขาไม่ได้
เขาจึงรู้ว่าตนเองจะไม่สามารถปะทะกับโจวเหว่ยชิงตรงๆได้แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายหลักของการบุกจู่โจมก็คือการปล้นสะดม
ไม่ใช่การสังหารศัตรูทั้งหมด ถึงอย่างไรนั่นก็คือเหตุผลที่พวกเขาบุกโจมตีก่อนฤดูหนาวอันแสนโหดร้ายจะมาถึง นี่ไม่ใช่แค่การรุกรานเพื่อ
ยึดครองดินแดน แต่เป็นการปล้นชิงทรัพยากรเพื่อทําให้ผู้คนสามารถ
ผ่านพ้นในฤดูหนาวอันขมขื่นไปได้ หากพวกเขาสังหารศัตรูทั้งหมดนี้ได้
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือ? การสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่คุ้มค่า และ
สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาจะปล้นจากศัตรูก็ทดแทนความตายของผู้คนใน
ชนเผ่าไม่ได้แน่นอน
ก่อนหน้านี้ บาร์เทซก็เป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว เขา
พยายามต่อสู้กับความกลัวของตัวเองภายในจิตใจหลายครั้ง ด้วยเหตุนี้
ชายหนุ่มจึงบุกร่วมกับกัมโปรา ตอนนี้กัมโปราถอยออกไปก่อนแล้ว เขา
จึงมีเหตุผลให้ลงมือในแบบเดียวกัน ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็สั่งให้กรม
ทหารหมาป่าของเขาติดตามกรมทหารยูนิคอร์นของกัมโปราออกไป
รวมพลกัน จากนั้นค่อยเร่งความเร็วกลับไปทางทิศเหนือ
โดยธรรมชาติแล้วโจวเหว่ยชิงและคนอื่นๆย่อมไม่รู้ความคิดที่อยู่
ภายในใจของผู้บัญชาการกรมทหารอาณาจักรวั่นโซ่วทั้งสอง อย่างไรก็
ตาม ดูจากสถานการณ์แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของหม่าหลง
และหงหยู มันก็ราวกับว่าทันทีที่กองร้อยหลักที่ 1 ของกองพันไร้พ่าย
ลอยขึ้นสู่อากาศเพื่อปลดปล่อยการโจมตีลงไป 2 รอบและสังหารศัตรู
ได้จํานวนมาก ทั้งกรมทหารยูนิคอร์นและกรมทหารหมาป่าเถื่อนต่างก็
วิ่งหนีเหมือนสุนัขถูกไล่ฟาด ภาพดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้แก่
พวกเขาเป็นอย่างมากในขณะที่ศัตรูทั้งสองกรมถอยทัพกลับไป มีเพียงหม่าหลงและหงห
ยูเท่านั้นที่รู้ว่าสิ่งที่เหลืออยู่ในสนามรบไม่ได้มีเพียงซากศพจํานวนมาก
แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจที่สุดก็คืออสูรยูนิคอร์นที่สูญเสียเจ้านาย พวก
มันไม่ได้ถูกพาตัวกลับไปเพราะจะเชื่อฟังเพียงคําสั่งของเจ้านายเท่านั้น
ดังนั้นนอกเหนือจากอสูรยูนิคอร์นที่ถูกฆ่าตายไปแล้วก็ยังมีอสูรยูนิ
คอร์นเหลืออีกประมาณสองถึงสามพันตัว
ในอีกด้านหนึ่ง หัวหน้าเผ่าทั้งสองก็กําลังตกอยู่ในห้วงภวังค์
ความคิดของตนเอง คนที่บินได้…หรือพวกเขาอาจจะเป็นเผ่า ‘มนุษย์
นก’ ?? ทั้งสองกําลังเข้าใจผิด คิดว่าโจวเหว่ยชิงนํากองทหารมนุษย์สัตว์
เผ่านกมากับเขา
“ถอยกันก่อนเถอะ ออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เราสามารถพูดคุยได้ใน
ภายหลัง” เมื่อเห็นกรมทหารมนุษย์สัตว์ทั้งสองกําลังเร่งจากไป ดวงตา
ของเขาก็เปล่งประกายห้วงความคิดอันลึกล�า หลังจากที่ได้ต่อสู้กับ
กองทัพมนุษย์สัตว์ขนาดใหญ่ 2 ครั้ง เขาก็เริ่มเล็งเห็นรูปแบบและ
ลักษณะเฉพาะบางอย่างของศัตรูแล้ว
นี่คือพรมแดนทางเหนือ และใครจะรู้ว่าศัตรูที่แข็งแกร่งจะปรากฏ
ตัวออกมาเมื่อใด โจวเหว่ยชิงนําทหารมาเพียง 500 นาย และแม้ว่า
กองร้อยหลักที่ 1 จะเป็นจ้าวมณียุทธ์ชั้นยอด แต่พวกเขาก็ไม่สามารถ
คงสภาพปีกศาสตรามณียุทธ์ได้นานนัก มิฉะนั้นก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงก็คงไม่จําเป็นต้องตามหาม้าและพาทั้งหมดบินมาที่นี่ทันที ไม่ว่าจะ
อย่างไรก็ควรออกจากสถานที่นี้โดยเร็วที่สุด อย่างน้อยก็ถอยออกไปให้
ได้ประมาณ 100 ลี้และหวังว่าจะได้ไปสมทบกับกองพันที่เหลือ
ด้านหลัง เพียงเท่านี้ พวกเขาก็จะค่อนข้างปลอดภัยแล้ว
ด้านหม่าฉุนและหงหยูเองก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ได้
ทั้งคู่จึงไม่กล้าลังเล สั่งให้ชนเผ่าของตนออกจากแถวล้อมป้องกันและ
เริ่มเคลื่อนย้ายออกไปพร้อมกับข้าวของทั้งหมด มุ่งหน้ากลับไปยังค่าย
ทหารจ้งเทียนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สําหรับกองร้อยหลักที่ 1 แห่ง
กองพันไร้พ่าย พวกเขาได้บินกลับลงมาที่พื้นและติดตามอยู่ข้างหลัง
เพื่อคุ้มกันการล่าถอย โจวเหว่ยชิง ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์และหลินเทียน
อ้าวเป็นคนสุดท้ายที่จากมา โดยเข้าควบคุมขบวนล่าถอยเป็นกลุ่ม
สุดท้ายพลางสังเกตการณ์ทางเหนือไปด้วย
ทันใดนั้น เสียงทุ้มต�าเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากระยะไกลๆ เต็มไป
ด้วยพลังและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
“โจวเหว่ยชิง!!!!!”
คําง่ายๆเพียง 3 คํา แต่โจวเหว่ยชิงกลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า
เจ้าของเสียงนั้นกําลังใกล้เข้ามาด้วยความเร็วที่น่าตกใจจากทิศเหนือ ไกลออกไปในทิศทางที่กรมทหารมนุษย์สัตว์ทั้งสอง
ล่าถอยกลับไป มีร่าง 3 ร่างกําลังเร่งทะยานเข้ามาหาพวกเขาด้วย
ความเร็วดุจสายฟ้า
“แข็งแกร่งมาก!” สีหน้าของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เปลี่ยนไปในทันที
จากความเร็วของทั้ง 3 คนที่กําลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามา พวกเขาสามารถ
บอกได้ทันทีว่าฝ่ายนั้นทรงพลังเพียงใด
โจวเหว่ยชิงรั้งบังเหียนม้าปีศาจผีเขาเดียวและพูดกับฮั่วเฟิง
“อาจารย์หัวเฟิง ท่านพาคนอื่นๆคุ้มกันการล่าถอยของเผ่าอีกาทองและ
เผ่าคนเถื่อนด้วยความเร็วสูงสุด 3 คนนี้ดูเหมือนจะมาที่นี่เพราะข้า
พวกเราจะหยุดพวกเขาไว้สักพักก่อนที่จะไล่ตามพวกท่านไป” พวกเขา
ประสบกับปัญหามากมายในการช่วยเหลือชนเผ่าทั้งสอง และการดูแล
ความปลอดภัยของพวกเขาก็คือสิ่งสําคัญที่สุดในตอนนี้
กลุ่มคนจํานวนมากล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้
ในขณะที่โจวเหว่ยชิง ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์และหลินเทียนอ้าวหยุดม้าเพื่อ
รอทั้ง 3 คนที่กําลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามา หลังจากไปถึงระดับมณี 5 ชุด โจว
เหว่ยชิงก็ค่อนข้างมั่นใจในพลังของตัวเอง แม้เขาจะไม่รู้ว่าทั้ง 3 คนที่
กําลังใกล้เข้ามาคือใครและทําไมพวกเขาถึงรู้จักชื่อของตน แต่เด็กหนุ่ม
ก็มั่นใจว่าแม้จะไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ แต่ทั้ง 3 คนก็ยังสามารถ
หลบหนีได้โดยไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงมีจักรพรรดิสีเงินถั่วแดงน้อยอยู่กับเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขาคงจะไม่โชคร้ายพบกับยอดฝีมือระดับ
ราชาสวรรค์ในดินแดนรกร้างว่างเปล่าแห่งนี้ใช่หรือไม่?
อนิจจา ความคิดของมนุษย์ก็อาจไม่ถูกต้องเสมอไป และบางครั้ง
ความเป็นไปได้ที่ต�าที่สุดก็อาจเกิดขึ้นได้!
เมื่อทั้ง 3 คนเข้าใกล้มากขึ้น การแสดงออกของโจวเหว่ยชิงและ
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปทันที
ในแง่ของระดับพลังปราณ บางทีหลินเทียนอ้าวอาจแข็งแกร่งกว่า
โจวเหว่ยชิงเล็กน้อย ทว่าในแง่ของการตัดสินใจและการประเมินกําลัง
ของศัตรู โจวเหว่ยชิงยังคงเหนือกว่าเขาเล็กน้อย
ทั้ง 3 พุ่งเข้ามาจากระยะไกลๆ เร็วมากเสียจนโจวเหว่ยชิงรู้ว่าแม้
ตนเองจะทะยานมาพร้อมความเร็วสูงสุดจากการระเบิดพลังของขา
ขวาปีศาจ เขาก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงฝ่ายนั้นได้ นั่นหมายความว่า
อย่างไรกันแน่? หมายความว่าระดับพลังปราณของกลุ่มคนทั้ง 3 ที่เข้า
มาใกล้อยู่เหนือกว่าพลังของตัวเขาเอง นอกจากนี้ เขายังสังเกตเห็น
รายละเอียดอีกอย่างหนึ่ง… แม้จะรวดเร็วดุจสายฟ้า แต่พวกเขากลับ
ไม่ได้ก่อเสียงใดๆเลย กล่าวคือพวกเขาสามารถควบคุมพลังปราณ
สวรรค์ได้ในระดับที่ยอดเยี่ยมมาก สามารถใช้ปราณสวรรค์ตัดผ่าน
อากาศเพื่อลดแรงเสียดทานและแรงต้านอากาศทําให้เพิ่มความเร็วได้
สูงขึ้น การใช้วิธีเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นวิธีการที่สิ้นเปลืองพลังปราณมาก มีเพียงผู้ที่มั่นใจในปริมาณปราณสวรรค์และอัตราการฟื้ นฟูของ
ตัวเองเท่านั้นที่กล้าทําเช่นนี้ ที่สําคัญกว่านั้น…โดยปกติแล้วผู้ที่ทําได้
จะต้องมีระดับพลังปราณสูงกว่า 8 มณีขึ้นไปเป็นอย่างต�า!
ยอดฝีมือระดับมณี 8 ชุดที่มาพร้อมกัน 3 คน? ยอดฝีมือระดับ
ดังกล่าวย่อมต้องมีตําแหน่งและสถานะที่สําคัญในอาณาจักรวั่นโซ่ว แม้
อาณาจักรวั่นโซ่วจะไม่มีโครงสร้างและรูปแบบการจัดอันดับในกองทัพ
เหมือนกับอาณาจักรมนุษย์ แต่ทุกคนก็ใช้กรมทหารเป็นหน่วย
พื้นฐาน…การที่มียอดฝีมือจํานวนมากปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในคราว
เดียว เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาตั้งเป้าโจมตีโจวเหว่ยชิงเป็นพิเศษ?
……………………………………………